Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1918 ผู้กล้ากลับกลายเป็นมังกรชั่วร้าย

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1918 ผู้กล้ากลับกลายเป็นมังกรชั่วร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากกองทัพที่มีไพร่พลนับล้านของจินเก๋อเข้าไปในไกลกันดารแล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ไปกัน พาพวกเจ้าไปดูอะไรเป็นการเปิดหูเปิดตา” กล่าวจบลงจากเรือนิรันดร

“บุก ของวิเศษ โชคโดยบังเอิญแท้ๆ ข้ามาแล้ว ทั้งหมดต้องเป็นของข้า” อู่ชีหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่อยู่กับร่องกับรอย วิ่งเข้าไปเหมือนดั่งพายุ

พวกของซึหุนหลินรีบติดตามหลี่ชิเย่ลงจากเรือนิรันดรเช่นกัน เมื่อเทียบกับท่าทางที่ดีใจของอู่ชีแล้ว พวกเขาดูจะสุขุมและใจนิ่งกว่ากันมากทีเดียว

เริ่มจากกำลังทหารนับหมื่นของจินเก๋อที่กรีธาทัพเข้าไปยังไกลกันดาร เวลานี้พวกของหลี่1ชิเย่ก็เข้าไปในไกลกันดารแล้วเช่นกัน ซึ่งทำให้บังเกิดความกล้าให้กับผู้คนจำนวนมากที่อยู่บนเรือนิรันดร พลันทยอยกันเดินทางเข้าไปยังไกลกันดารจำนวนไม่น้อย

เมื่อก้าวเท้าเข้าไปยังไกลกันดาร พวกของธิดาราชันฉีหลินต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อสูดลมหายใจเอาอากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไกลกันดารเข้าไปแล้ว พวกเขารู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้

เมื่อสูดเอาอากาศจากไกลกันดารเข้าไปในปอดแล้ว รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเผาไหม้อยู่ภายในอย่างนั้น มันหาใช่เป็นการเผาไหม้ที่ทำให้อวัยวะภายในได้รับความเจ็บปวด แต่เป็นการเผาไหม้จนจิตวิญญาณของตนให้ได้รับความเจ็บปวด เหมือนมีอะไรบางอย่างลวกเอาวิญญาณของตนเข้าให้อย่างแรง เป็นความเจ็บปวดชนิดที่เรียกว่าสลักอยู่ในส่วนลึกกลางใจและลุกลามออกไป

ความรู้สึกเช่นนี้ใช่ว่ามีเพียงธิดาราชันฉีหลินเท่านั้นที่เป็น ทุกคนที่เหยียบย่ำเข้าไปในไกลกันดารต่างมีความรู้สึกเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่สามารถทำให้จิตวิญญาณรู้สึกไม่เป็นสุข!

“นี่มันอะไรกันแน่?” อู่ชีถึงกับตกใจ และกล่าวว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าหัวใจถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ เหมือนมีคนจับข้าฉีกอกอย่างนั้น”

“นี่ไม่เรียกว่าถูกบีบให้เจ็บ มันคือเสียงร้องโหยหวน” หลี่ชิเย่เดินเหยียบดินที่อยู่บนพื้น พูดเฉยเมยขึ้นมาว่า “เป็นเสียงร้องโหยหวนที่ตายเสียดีกว่าอยู่ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของสรรพชีวิตนับล้านล้านชีวิต ไม่ได้ผุดได้เกิด มองไม่เห็นตะวันไปตลอดกาล เป็นเสียงโหยหวนที่แม้กระทั่งกาลเวลาก็ยากจะลบเลือนไปได้! ความเจ็บปวดใดๆ ในหล้าล้วนเทียบไม่ได้กับมัน!”

“เสียงร้องโหยหวน…” อู่ชีพยายามพิเคราะห์คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ ถึงกับสะท้านขึ้นมา เนื่องจากนาทีนี้เขาเหมือนได้ยินสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนกำลังร้องโหยหวนอยู่ภายในใจของตนอย่างนั้น

ภูมิประเทศของไกลกันดารงดงามอลังการมาก และกว้างขวางมาก แต่ โลกที่กว้างขวางงดงามอลังการเช่นนี้กลับถูกหมอกควันปกคลุมเอาไว้ หากสังเกตดูให้ละเอียด หมอกควันที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีเทา แต่มันมีสีดำอมม่วง ขณะเดียวกันสีสันแบบนี้ไม่เพียงเป็นแต่เป็นสีของหมอกควันที่อยู่ฟ้าเท่านั้น แม้แต่ดินบนพื้นดินก็เป็นสีนี้เช่นกัน สีเช่นนี้ดูแปลกๆ มีส่วนคล้ายสีของน้ำเลือดที่แห้งกรังอย่างนั้น

เมื่อลองดมดูกลิ่นนี้อย่างละเอียด รู้สึกถึงบางอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนเป็นกลิ่นชะมด และท่ามกลางกลิ่นชะมดนี้แฝงไว้ซึ่งกลิ่นเหม็นคาวจางๆ

“นี่มันกลิ่นคาวเลือด!” ธิดาราชันฉีหลินละเอียดมากขณะเดียวกันก็ไวมากด้วย เมื่อนางดมดูอย่างละเอียดแล้วร้องด้วยความตระหนกขึ้นมา นางมองดูท้องฟ้าและพื้นดินด้วยสัญชาตญาณ

“ถูกต้อง นี่ก็คือกลิ่นคาวเลือดที่นมนานมาก กลิ่นคาวเลือดที่กระทั่งผ่านยุคสมัยดึกดำบรรพ์มาก็ไม่สามารถลบเลือนมันได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา

ธิดาราชันฉีหลินมองดูสีของผืนแผ่นดิน แล้วก็มองดูหมอกควันบนท้องฟ้า ภายในใจของนางบังเกิดความคิดที่น่าสยดสยอง กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “หรือว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการย้อมด้วยเลือดสดๆ จนแดงฉาน!” เมื่อนึกถึงจุดนี้ นางถึงกับสะท้านขึ้นมา

“ถูกต้อง เลือดสดๆ ย้อมผืนแผ่นดินจนแดงฉาน ย้อมโลกมนุษย์จนเป็นสีแดง” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับมองไปยังระยะห่างไกล

“ไม่น่าเป็นไปได้มั้ง หากจะให้เลือดสดๆ ย้อมที่ตรงนี้จนแดงฉาน เกรงว่าคงต้องอาศัยกองทัพนับล้านล้านมาโจมตีไกลกันดารแห่งนี้กระมัง” อู่ชีหลุดปากพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ใครบอกว่าเป็นเพราะพวกเราโจมตีที่นี่ส่งผลให้เลือดสดๆ ย้อมที่นี่จนแดงฉาน?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “นี่มันเป็นเลือดสดๆ ของพวกเขาเอง เป็นเลือดสดๆ ของพวกเขาที่ย้อมที่นี่จนแดงฉาน”

“เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่?” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับเอ่ยถามด้วยความตระหนก

“ง่ายมาก การเก็บเกี่ยว” หลี่ชิเย่มองไปทางระยะห่างไกลออกไป แววตากลับกลายเป็นลึกล้ำมาก และกล่าวว่า “มันเป็นยุคสมัยที่เจิดจรัส มั่งคั่ง รุ่งเรือง สงบปลอดภัย เป็นยุคสมัยที่ผู้คนใฝ่ฝันหา แต่ทว่า ยุคสมัยที่ก้าวไปถึงจุดสูงสุดเช่นนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่านี่คือยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง แต่ว่า ค่ำคืนนั้นเอง มีผู้มาทำการเก็บเกี่ยวชีวิต เพียงชั่วข้ามคืน ยอดฝีมือจำนวนนับพันนับหมื่นถูกเก็บเกี่ยวเอาชีวิตไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรแต่ละองค์ถูกเก็บเกี่ยว…”

“…สรรพสิ่งมีชีวิตเป็นล้านล้านชีวิตถูกเก็บเกี่ยวเอาชีวิตไป สงครามเกิดขึ้น โดยที่สงครามในครั้งนี้ยืดยื้ออยู่ไม่นาน สุดท้ายแล้วยุคสมัยที่รุ่งเรืองล่มสลาย ผู้ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้เหลือเพียงผู้ที่อ่อนด้อยและเด็ก ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองกลับสู่ยุคหิน ไม่มีผู้ใดทราบว่ารายละเอียดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ ผู้โชคดีที่รอดชีวิตมาได้ที่มีเพียงผู้อ่อนด้อยและเด็กก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าได้เกิดอะไรขึ้น พวกเขาค่อยๆ ลืมเลือนเหตุการณ์เก็บเกี่ยวในครั้งนี้ ลืมเหตุเข่นฆ่าครั้งนี้ไป”

เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา

“เป็นใครกันที่ทำการเก็บเกี่ยวยุคสมัยนี้? เหตุใดจึงต้องเก็บเกี่ยว?” อู่ชีถึงกับเอ่ยถามด้วยความตระหนก

“เหตุใดจึงต้องเก็บเกี่ยวยุคสมัยนี้?” หลี่ชิเย่มองหน้าอู่ชีแวบหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “ที่เจ้ามองเห็นเป็นเพียงยุคสมัยที่ชั่วคราวและสั้นเท่านั้นเอง เมื่อเจ้าสามารถทอดสายตามองดูยุคสมัยทั้งยุค เจ้าจึงสามารถมองเห็นได้ว่า นี่เป็นเพียงการเก็บเกี่ยวที่เป็นกิจวัตรประจำที่ปรกติมากครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“การเก็บเกี่ยวที่เป็นกิจวัตรประจำที่ปรกติมาก?” อู่ชีถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง

“เมื่อเจ้าทอดสายตามองดูยุคสมัยนี้ เจ้าจึงได้เห็นเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดขึ้นซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อยุคที่รุ่งเรืองถูกเก็บเกี่ยวไป ผู้ที่อ่อนแอและเด็กหลงเหลือรอดชีวิตมาได้ ดิ้นรน พัฒนา เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองอีก ภาษิตกล่าวไว้ว่า เจริญถึงขีดสุดแล้วก็เสื่อม เมื่ออยู่ในยุคที่เจริญ การเก็บเกี่ยวหวนกลับมาอีกครั้ง” เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ยิ้มจางๆ ขึ้นมา

“เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดแล้วเสื่อม คือวัฏสงสารรึ?” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับพูดขึ้นมา แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้

“คือฟาร์มปศุสัตว์” ซึหุนหลินเข้าใจถึงเบื้องหลังความลี้ลับมหัศจรรย์โดยสิ้นเชิงแล้ว เขาทอดถอนใจเบาๆ และกล่าวว่า “ยุคสมัยยุคหนึ่ง ยุคที่เจริญรุ่งเรืองยุคหนึ่ง มันก็แค่ฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งเท่านั้น ยุคสมัยหนึ่งเริ่มต้นพัฒนาจากอ่อนแอและเล็กกระทั่งเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่ง มันก็คล้ายดั่งเจ้าได้เลี้ยงวัวเลี้ยงแพะภายในฟาร์มปศุสัตว์อย่างนั้น เมื่อวัวและแพะเติบใหญ่อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องเชือดแล้ว”

“นำเอาสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับล้านล้านชีวิตในยุคสมัยหนึ่งเปรียบเป็นสัตว์เดรัจฉาน” พวกของธิดาราชันฉีหลินต่างรู้สึกหวาดผวากับสิ่งนี้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้โดยละเอียดแล้ว พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ เฉกเช่นพวกเขา ถ้าหากเป็นเพียงวัวหรือแกะในฟาร์มปศุสัตว์ของคนอื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองยิ่งนัก

เมื่อนึกถึงเรื่องที่สยดสยองเช่นนี้ พวกเขาถึงกับท้องไส้ปั่นป่วน อยากจะอาเจียนออกมา

“การเก็บเกี่ยวในแต่ละยุคสมัย การเริ่มต้นจากอ่อนแอและเล็กจนเติบใหญ่แข็งแกร่ง กลายเป็นยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง การวัฏสงสารครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งยุคสมัยยุคนี้สิ้นสุดลง” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ ออกมา

“ใครคือคนที่เก็บเกี่ยวยุคสมัยนี้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมารร้าย?” ธิดาราชันฉีหลินเอ่ยถามขึ้นมา

“โลกนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีมารร้าย มีเพียงจิตของมนุษย์ มีเพียงตัวของพวกเขาเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมย

“พวกเขาเก็บเกี่ยวตัวเอง? ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเก็บเกี่ยวผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า?” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเป็นแบบนี้ทุกคนเลยรึ? หรือว่าไม่มีใครลงมือขัดขวาง หรือเข้าให้การช่วยเหลือ?”

“โลกนี้ไม่เคยมีพระเจ้าที่ช่วยโลก” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง คำพูดนี้ฟังดูเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่ามกลางคำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้สอดแทรกอะไรมากมายเหลือเกิน

พวกของอู่ฟ่งหยิ่งไม่ตระหนัก แต่ธิดาราชันฉีหลินตระหนัก เนื่องจากคำพูดเช่นนี้หลี่ชิเย่เคยพูดกับนางมากกว่าหนึ่งครั้ง เวลานี้เมื่อได้ยินอีกครั้ง ธิดาราชันฉีหลินมีสัมผัสทั้งห้าที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง นางรู้สึกขนหัวลุก ถึงกับสะท้านขึ้นมา

“โลกนี้ไม่มีผู้กล้าจริงๆ รึ? ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลกจริงรึ?” อู่ชีเริ่มจะรับไม่ได้ อย่างไรเสียเขามีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียน ด้วยมุมมองของเขา หากยามคับขัน ราชันเซียนที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขาต้องลงมือเข้าช่วยเหลือ

“ผู้กล้า?” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เคยฟังนิทานเรื่องผู้กล้ากลายเป็นมังกรหรือไม่?”

“นิทานเรื่องผู้กล้ากลายเป็นมังกร?” อู่ชีตะลึงนิดหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหลี่ชิเย่หมายถึงอะไร

“ยังมีมังกรชั่วร้ายตัวหนึ่ง ทุกๆ ปีจะขอให้หมู่บ้านจัดส่งหญิงสาวพรหมจรรย์คนหนึ่งเพื่อเป็นการบูชายันต์ ทุกๆ ปีก็จะมีผู้กล้าไปต่อสู้กับมังกรชั่วร้าย แต่ว่า ไม่เคยมีใครรอดชีวิตกลับมา มาปีนี้ก็มีผู้กล้าก้าวสู่เส้นทางการสังหารมังกรอีก แต่ว่า คราวนี้ได้มีชาวบ้านคนหนึ่งแอบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบๆ ภายในถ้ำมังกร ชาวบ้านผู้นี้มองเห็นทรัพย์สมบัติจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่ผู้กล้าได้อาศัยกระบี่วิเศษสังหารมังกรชั่วร้ายนั่น จากนั้นเขาได้นั่งลงบนซากศพของมังกร มองดูขุมทรัพย์ที่ส่งประกายแวบวับ เขาค่อยๆ ปรากฏเกล็ดขึ้นบนตัว มีหางงอกออกมา สุดท้ายได้กลับกลายเป็นมังกรชั่วร้ายอย่างช้าๆ ตัวหนึ่ง”

เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาได้มองไปยังที่ที่ห่างไกลมาก แววตาของเขาแลดูลึกล้ำมาก สุดท้ายได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เพียงแต่ สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดถึงก็คือ ผู้กล้าไม่แน่เสมอว่าจะต้องฆ่ามังกรชั่วร้ายให้ตาย เขาอาจจะเหมือนมังกรชั่วร้ายที่อยู่ในรัง มองดูขุมทรัพย์ที่ส่งประกายแวบวับ แล้วค่อยๆ กลายเป็นมังกรชั่วร้ายไป” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ

“โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังนิทานเรื่องนี้ของหลี่ชิเย่จนจบ นางถึงกับหัวใจสั่นเทานทีหนึ่ง และเข้าใจคำพูดที่เป็นสัจธรรมคำนี้ของหลี่ชิเย่ได้อย่างถ่องแท้!

“วัฏสงสารในแต่ละยุคสมัย เลือดสดๆ ย้อมดินจนแดงฉาน เลือดชั่วร้ายบดบังท้องฟ้า” ซึหุนหลินถึงกับพึมพำออกมาว่า “มิน่าเล่า ทุกครั้งที่เหยียบลงบนไกลกันดารล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการทิ่มแทง มันคือเสียงร้องโหยหวนของสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตของยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานมากๆ เสียงร้องโหยหวนเช่นนี้ก็ยากจะเลือนหาย!”

คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำเอาพวกของธิดาราชันฉีหลินถึงกับสั่นเทา ผืนแผ่นดินถูกกลบด้วยน้ำเลือด บนท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเลือดชั่วร้าย ผู้คนที่ถูกสังหารมีจำนวนเท่าไรกันแน่ ลักษณะของการเก็บเกี่ยวเข่นฆ่าสังหารเช่นนี้ได้รักษามากี่ยุคกี่สมัยกันแน่

เมื่อพวกเขานึกถึงยุคสมัยเช่นนี้ ศักราชเช่นนี้ต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ นี่มันนรกอเวจีชัดๆ กระทั่งสยองขวัญยิ่งกว่านรกอเวจีพันเท่าหมื่นเท่าเสียอีก!

“พวกเขาเก็บเกี่ยวไปเพื่ออะไร?” อู่ชีรู้สึกสะท้าน และกล่าวว่า “หรือว่าเพียงเพราะต้องการขุมทรัพย์อย่างนั้นรึ?”

“ยามที่เจ้ายืนอยู่ในระดับที่สูงมากพอ โลกนี้ยังจะมีขุมทรัพย์อะไรอีก เพราะนั่นคือจุดสูงสุดแล้ว ยังจะมีขุมทรัพย์ใดสามารถเข้าตาเจ้าได้อีกรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ทุกอย่างก็เพียงแค่ต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น!”

“มีชีวิตอยู่?” อู่ชีตะลึงนิดหนึ่ง ไม่สามารถเรียกสติกลับมาเป็นเวลานาน ในเวลานี้เขาไม่สามารถตระหนักถึงความลึกซึ้งพิสดารที่อยู่ภายใน

“โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก!” ซึหุนหลินก็เข้าใจได้แล้ว เขาถึงกับมองดูหลี่ชิเย่ เขาเองก็เข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่ถึงได้พูดว่า “โลกนี้ไม่มีพระเจ้าช่วยโลก”

“ตอนนี้เจ้าคิดไปก็เปล่าประโยชน์ มีเพียงเจ้าก้าวไปถึงระดับนั้นเท่านั้นเจ้าก็จะเข้าใจเอง เวลานี้ต่อให้เจ้าสามารถเข้าใจได้มันก็แค่เป็นการเพิ่มความกังวลเปล่าๆ เท่านั้นเอง พยายามให้ตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงวันนั้นเจ้าก็จะเข้าใจเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา เมื่อมองเห็นอู่ชีที่ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *