Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1854 ออกเดินทาง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1854 ออกเดินทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1854 ออกเดินทาง
“ที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก การสืบทอดชะตาฟ้าไม่ใช่จุดสิ้นสุด เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง” จอมเทพท่าซิงก็กล่าวทอดถอนใจออกมา

ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับเช่นจอมเทพท่าซิง ย่อมรู้เรื่องความลับอะไรต่างๆ มากกว่า

จากนั้น จอมเทพท่าซิงได้กล่าวอีกว่า “เจ้าหนูเหรินเซิ่นคนนี้แม้ว่าพลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ายังคงมีพลังแฝงอยู่ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เขามีสายเลือดไร้ขีดจำกัด ในอนาคตเขายังเปี่ยมด้วยความหวัง หากใต้เท้าสนใจสามารถไปตรวจสอบสักครั้งหนึ่ง”

สายเลือดไร้ขีดจำกัดเป็นหนึ่งในสองสายเลือดโบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกจัดให้อยู่ภายใต้สายเลือดราชามนุษย์คู่กับสายเลือดเก้ากระถางของจอมเทพท่าซิง อาจกล่าวได้ว่าหากชายหนุ่มลักษณะเช่นนี้สามารถเป็นเซียนหวังล่ะก็ ในอนาคตย่อมมีพลังแฝงไม่มีสิ้นสุดอย่างแท้จริง

“เรื่องเช่นนี้ต้องขึ้นอยู่กับวาสนา” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ขอเพียงมีวาสนา ย่อมต้องมีโอกาสอยู่แล้ว”

จอมเทพท่าซิงเองก็ต้องพยักหน้ากับคำพูดเช่นนี้ แม้จะกล่าวว่าเหรินเซิ่นนั้นสุดยอดยากจะหาผู้ใดเทียม แต่ว่า ใต้เท้าเคยพบเจอดาวรุ่งมามากมายเหลือเกิน แม้แต่เลือดเซียนก็เคยเห็นมาแล้ว เลือดโบราณจึงไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าตาของเขาได้

“การมาคราวนี้ของใต้เท้าต้องการเดินทางไปที่ใดรึ? เข้าไปในแดนแห่งการสืบค้นรึ? หรือบางทีอาจไปพบกับจอมราชันเซียนหวัง?” จอมเทพท่าซิงเอ่ยถามขึ้นมา

ณ แดนแห่งการสืบค้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีจอมราชันเซียนหวัง จอมเทพ และเทพโบราณที่หลบซ่อนตัวอยู่ในนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย ถ้าหากจะมีผู้ที่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมคารวะจอมราชันเซียนหวัง ก็จะต้องเดินทางไปที่แดนแห่งการสืบค้นแน่นอน

“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “พบกับจอมราชันเซียนหวังหรือไม่นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตัดสินใจ ข้าตั้งใจจะไปที่ไกลกันดารสักครั้ง สถานที่แห่งนั้นมีวาสนากับข้าอยู่บ้าง”

“ไกลกันดาร…” จอมเทพท่าซิงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำๆ นี้ และกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้ไปกันยากนะ ฟังมาว่าราชันซื่อตี้เคยไปอยู่ครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมามือเปล่า”

ต่อให้เป็นระดับจอมเทพอย่างเขายังอดที่จะกังวลไม่ได้เมื่อพูดถึงไกลกันดาร ความจริงแล้วสถานที่ที่ชื่อว่าไกลกันดารแห่งนี้แม้แต่จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปโดยง่ายดาย

“ปล่อยไปตามวาสนาเถอะ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “เรื่องบางเรื่องไม่สามารถฝืนได้อยู่แล้ว ข้าแค่ต้องการไปครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรเสียเวลาผ่านไปนานมากเกินไปแล้ว นานจนไม่สามารถไล่เรียงอีกแล้ว สิ่งของบางสิ่ง เรื่องราวบางเรื่องไม่สามารถขุดลึกลงไปได้อีกแล้ว”

“ข้าเชื่อว่าใต้เท้าสามารถทำได้สำเร็จ ถ้าหากแม้ใต้เท้ายังทำไม่สำเร็จ คนอื่นๆ ยิ่งยากที่จะทำได้อีกแล้ว” จอมเทพท่าซิงยิ้มกล่าว

หลี่ชิเย่ยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “การปิดกั้นสิบสามทวีปในครั้งนี้เป็นความคิดของใครกัน?”

จอมเทพท่าซิงกล่าวว่า “ข้าเองไม่ได้ไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในครั้งนี้ การปิดกั้นสิบสามทวีปในครั้งนี้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าสวรรค์ ผู้ริเริ่มหากไม่ใช่ราชันซื่อตี้ก็คือพวกสวรรค์ ยุคหลังใต้เท้าไม่ได้อยู่ในสิบสามทวีป ในยุทธภพมีเหตุการณ์แปลกๆ มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นถี่มาก…”

“…ดังนั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนร่วมปรึกษาหารือกัน เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดังนั้น จึงร่วมปรึกษาหารือให้มีการปิดกั้น ตัดขาดการเชื่อมต่อกันของสิบสามทวีป ป้องกันเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วลามไปทั่วทั้งสิบสามทวีป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน!”

“ความกังวลของพวกราชันซื่อตี้ใช่จะไม่มีเหตุผล” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “ภายหลังการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ใครจะไปรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บทเรียนจากอเวจีเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันลืมเลือน เมื่อมีบทเรียนจากคราวก่อนระวังเอาไว้บ้างก็ดี อย่างน้อยก็ยังได้ป้องกันไว้บ้าง”

“ตามความเห็นของข้า พวกเขากำลังย้อมแมวขายเท่านั้นเอง การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่หกผ่านไปนานขนาดนี้พวกเขาเพิ่งจะมาทำเรื่องนี้ เกรงว่าจะมีแผนการอย่างอื่น” จอมเทพท่าซิงหัวเราะและกล่าวว่า “พวกราชันซื่อตี้เกรงว่าใต้เท้าจะมาแดนสิบอีกครั้ง ดังนั้น จึงชิงลงมือก่อนด้วยการปิดกั้น ปิดบังซ่อนเร้นความลับสวรรค์ เพื่อสะดวกต่อการที่พวกเขาจะลอบโจมตีต่อใต้เท้า”

“เรื่องนี้กลับไม่เป็นปัญหา ต่อให้พวกเขาไม่ทำการปิดกั้นก็จะไม่มีใครรุดมาช่วยเหลือ เรื่องนี้ก่อนที่ข้าจะไปจากในครั้งนั้นก็มีการตกลงกันแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ราชันซื่อตี้เป็นศัตรูกับข้ามาทุกยุคทุกสมัย เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้ดี เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง”

“คงมีสักวันที่ต้องคิดบัญชีกันอยู่แล้ว” จอมเทพท่าซิงกล่าวว่า “การศึกในครั้งนั้น เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่ายังคงไม่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้”

“ใครจะเป็นฝ่ายคิดบัญชีใครยังไม่รู้เลย” หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “ในอนาคตสถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่แน่นักเมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะถูกคิดบัญชีไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้น บางทีอาจมีวันนั้น จะเป็นร้อยชาติพันธุ์ก็ดี เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่าก็ช่าง ล้วนแล้วแต่หนีชะตาที่ต้องถูกปิดบัญชีก็เป็นได้”

“ความหมายของใต้เท้าคือ…” สีหน้าของจอมเทพท่าซิงเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้แต่หลี่ชิเย่ยังพูดคำๆ นี้ออกมา นั่นย่อมบ่งบอกว่าสถานการณ์ไม่สู้จะดีนัก

“เป็นเพียงความน่าจะเป็นอย่างหนึ่งเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยุคสมัยนานเกินไปแล้ว เมื่อตกผลึกมาถึงสถานที่เช่นนี้นับว่ารุ่งเรื่องขีดสุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะมีกฎเกณฑ์ มีระเบียบของมัน รุ่งเรื่องถึงขีดสุดแล้วเสื่อม หาใช่เป็นเรื่องที่จะต้องตื่นตะหนกแปลกใจอะไร”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้จิตใจของจอมเทพท่าซิงรู้สึกหดหู่ขึ้น ถึงกับพูดออกมาว่า “หรือว่าข้าสามารถมองเห็นวันนั้นมาถึงอย่างนั้นรึ?”

“เรื่องนี้พูดยาก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ช่างเถอะ พวกเราไม่พูดเรื่องนี้อีก พูดมากไปก็จะกลายเป็นกังวลเกินเหตุแล้ว ปล่อยไปตามกรรมเถอะ”

“ก็ถูก” จอมเทพท่าซิงถึงกับหัวเราะขึ้นมา

หลี่ชิเย่กับจอมเทพท่าซิงไม่ได้พบกันมานานมาก จึงไม่พูดถึงเรื่องหนักๆ เรื่องอื่นอีก เพียงพูดคุยเฉพาะเรื่องทั่วๆ ไป

การกลับมาของจอมเทพท่าซิงทำให้ตระกูลเผิงคึกครื้นยิ่งนัก ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ต้องการเข้าคารวะต่อจอมเทพท่าซิง อย่างไรก็ตาม จอมเทพท่าซิงไม่ได้ให้ความสนใจทั้งสิ้น

หลี่ชิเย่เป็นแขกอยู่ในตระกูลเผิงหลายวันติดต่อกัน ช่วงระหว่างหลายวันที่ผ่านมาเขาได้พูดคุยสนทนากับจอมเทพท่าซิงถึงเรื่องราวใหญ่ๆ ในชิงโจว หลี่ชิเย่นั้นเรียกได้ว่าไปจากสิบสามทวีปมานาน เขาจากไปก่อนมีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งที่หก ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมาจอมเทพท่าซิงจึงได้พูดคุยเพื่อให้หลี่ชิเย่ได้รับรู้และเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้านในหลายๆ ยุคสมัยที่ผ่านมา

หลังจากที่หลี่ชิเย่พักอยู่ที่ตระกูลเผิงได้หลายวันแล้ว ธิดาราชันฉีหลินก็ได้เดินทางมาถึงตามนัด หลังจากที่นางมาถึงแล้วได้เข้าคารวะต่อจอมเทพท่าซิง โดยมีหลี่ชิเย่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“มีท่วงท่าทายาทรุ่นหลังของเซียนหวัง” หลังจากที่จอมเทพท่าซิงได้พบกับธิดาราชันฉีหลินแล้ว อดพยักหน้าและกล่าวชื่นชมว่า “ตระกูลราชันฉีหลิน มีผู้สืบทอดแล้ว”

“จอมเทพท่านชมเกินไปแล้ว” ธิดาราชันฉีหลินให้ความเคารพต่อจอมเทพท่าซิงเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะกำลังความสามารถของจอมเทพท่าซิง หรือว่าฐานะในร้อยชาติพันธุ์ของเขา ล้วนแล้วแต่คู่ควรที่จะให้ผู้คนต้องเคารพเลื่อมใส

“วันหน้าหากได้พบกับเซียนหวังฉีหลิน ช่วยถามทุกข์สุขแทนข้าด้วยนะ” จอมเทพท่าซิงยิ้มกล่าว

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คำพูดนี้ดูเหมือนเป็นการอวดดี แต่เมื่อออกจากปากของจอมเทพท่าซิงกลับดูเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ไม่รู้สึกเป็นการถือดีแม้แต่น้อย

แม้ว่าเซียนหวังฉีหลินแห่งตระกูลราชันฉีหลินจะเป็นเซียนหวังที่มีสิบเอ็ดลัคนาแปดชะตาฟ้าคนหนึ่ง ในบรรดาจอมราชันเซียนหวังด้วยกันก็นับเป็นเซียนหวังที่มีความโดดเด่น ต่อให้ด้านกำลังความสามารถจอมเทพท่าซิงอาจจะด้อยกว่าเซียนหวังฉีหลินก็ตาม แต่ด้านฐานะและบารมีแล้ว จอมเทพท่าซิงไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนหวังฉีหลินเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองกับเซียนหวังฉีหลินก็มีการไปมาหาสู่กัน

“หากสามารถพบกับท่านบรรพบุรุษ คำพูดของจอมเทพข้าน้อยต้องเรียนท่านแน่นอน” ธิดาราชันฉีหลินรีบกล่าวตอบ

แม้ว่าธิดาราชันฉีหลินจะมีพรสวรรค์ที่สูงมาก และตระกูลราชันฉีหลิน ก็ฝากความหวังไว้กับนางมาก แต่ทว่า หากนางคิดจะเข้าไปยังแดนแห่งการสืบค้นเพื่อพบกับเซียนหวังฉีหลินล่ะก็ ในเวลานี้นางยังไม่มีสิทธิ์

“อนาคตจะต้องมีโอกาสอยู่แล้ว” จอมเทพท่าซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “เสียดาย เซียนหวังเย่หลินไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ร้อยชาติพันธุ์ของชิงโจวจะคึกครื้นยิ่งกว่านี้ หากมีวันนี้ ไหนเลยจะปล่อยให้ตาเฒ่าไม่กี่คนของจ้านหวังได้กำเริบเสิบสานเล่า” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาเองอดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้

ในหมู่จอมราชันเซียนหวังของชิงโจวนั้น นับว่าเซียนหวังเย่หลินส่งผลกระทบที่สูงมาก ด้วยกำลังความสามารถของนางเพียงพอที่จะสยบเหล่าจอมราชันเซียนหวังได้อยู่แล้ว เสียดายที่เซียนหวังเย่หลินได้เดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายร่วมกับพวกของราชันเซียนฉวี่เจิน

ธิดาราชันฉีหลินก้มหน้ารับฟังเรื่องราวที่อยู่ในขอบเขตของจอมราชันเซียนหวัง หาใช่นางที่มีฐานะเป็นเพียงผู้เยาว์สามารถถามถึงหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะ และสั่งการกับธิดาราชันฉีหลินว่า “ไปหาเรือมาลำหนึ่ง พวกเราจะไปที่ไกลกันดารกัน ออกเดินทางยิ่งเร็วยิ่งดี”

“ไปไกลกันดาร…” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าหลี่ชิเย่พานางไปยังแดนแห่งการสืบค้นเพียงแค่ท่องไปตามที่ต่างๆ ไม่นึกเลยว่าจะไปที่ไกลกันดาร

คำเล่าลือที่สยองขวัญต่างๆ นานาเกี่ยวกับไกลกันดารนางเคยได้ยินมาไม่น้อย มันเป็นสถานที่ที่แม้กระทั่งจอมราชันเซียนหวังก็ไม่ย่างกรายเข้าไปโดยง่ายดาย ได้ยินมาว่าน่าสยองขวัญยิ่งนัก

“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“นี่คือวาสนาที่คนอื่นอยากได้แต่ไม่ได้มา” ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินกำลังตะลึงอยู่นั้น จอมเทพท่าซิงได้กล่าวเตือนนางด้วยความหวังดีว่า “จงถนอมเอาไว้ให้ดี หากสามารถได้รับวาสนานี้ล่ะก็ จะทำให้เจ้าได้รับประโยชน์ไม่น้อยไปชั่วชีวิต”

“ข้าน้อยเข้าใจ” ธิดาราชันฉีหลินคารวะต่อจอมเทพท่าซิงด้วยความขอบคุณ และกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”

หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินไปตระเตรียมเรื่องเรือแล้ว จอมเทพท่าซิงได้พูดกับหลี่ชิเย่ขึ้นมาว่า “หนทางไปไกลกันดารยาวไกล ไม่ทราบว่าใต้เท้าต้องการให้ข้าติดตามคอยรับใช้หรือไม่?”

“ไม่ต้องแล้วหละ” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าเองก็มีเรื่องราวมากมายปลีกตัวลำบาก บางทีคราวนี้อาจเป็นโอกาสที่ตระกูลเผิงของเจ้าจะรุ่งเรืองขึ้นมา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าต้องเสียเวลาอันมีค่ากับเรื่องนี้แล้ว”

“ใต้เท้าเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ” จอมเทพท่าซิงถึงกับทอดถอนใจออกมา และกล่าวว่า “บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายของข้าที่ทำเพื่อลูกหลานอกตัญญูอีกสักหน่อยกระมัง อนาคตตระกูลเผิงจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมลงขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว ข้าอยู่มาจนถึงปูนนี้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไรอายุขัยก็คงใกล้เข้ามาแล้ว”

จอมเทพท่าซิงเองก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความเศร้าไม่น้อย ต่อให้เขาเป็นถึงระดับจอมเทพ ก็ทำไม่ได้ถึงขั้นตัดสิ้นความผูกพันได้ จะอย่างไรเสียชนรุ่นหลังของตระกูลเผิงก็คือลูกหลานของเขาเอง ไม่ว่าตระกูลเผิงจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรม ลึกๆ ภายในใจของเขาก็ปล่อยวางลูกหลานของตนไม่ลง

“จะมีใครในโลกหล้าที่สามารถปล่อยวางได้เล่า” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่มุมมองจากภายนอกมองลึกเข้าไปข้างใน หรือมองจากข้างในไปข้างนอกโดยอาศัยการรู้จักตนเท่านั้น คนบางคนปล่อยวางเรื่องลูกหลานไม่ได้ บางคนปล่อยวางชาติพันธุ์ของตนไม่ได้ หากปล่อยวางได้ก็คือการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง โลกนี้ก็คือกรงขัง ท่ามกลางโลกีย์มนุษย์ย่อมต้องมีคนบางคน สิ่งของบางสิ่งที่ทำให้วางไม่ลง ทำให้ต้องหยุดการก้าวเดิน”

“นั่นสิ สามารถก้าวสู่เส้นทางการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายของเหล่าจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญยิ่งนัก ภายในใจของพวกเขาต่อให้มีสิ่งที่วางไม่ลง แต่ยังคงก้าวไปบนเส้นทางนี้อย่างเด็ดเดี่ยว แม้จะรู้ว่าไปแล้วไปลับยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ” จอมเทพท่าซิงกล่าวขึ้น

“เพราะว่ามีผู้กล้าที่เป็นปรัชญาเมธีเหล่านี้มุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ จึงมีความน่าตื่นเต้นของโลกทั้งโลกแห่งนี้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *