Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2475 แสวงหาอำนาจ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2475 แสวงหาอำนาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทังเฮ่อเสียงที่จิตใจฮึกเหิม มีท่วงท่าดั่งมังกรแลพยัคฆ์ก้าวมาบนทะเลสาบ ด้วยท่าทางสามารถต้านรับกองทัพหมื่นพันด้วยคนๆ เดียว นับว่าเป็นที่เลื่อมใสของผู้คนโดยแท้

นับแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่สูญเสียแผ่นดินไป ทังเฮ่อเสียงก็คือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนสูงสุดภายในราชวงศ์โต่วเซิ่น เขามีพรสวรรค์ที่สูงมาก อีกทั้งมีความกล้าหาญเชี่ยวชาญในการรบ มีประสบการณ์ในการนำทัพมากมาย ด้วยเหตุนี้เอง ไม่เพียงแต่ภายในราชวงศ์โต่วเซิ่นเท่านั้น มีตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิ กระทั่งบรรดากองทัพที่ตั้งมั่นรักษาการณ์ตามที่ต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ต่างก็มั่นใจในตัวของทังเฮ่อเสียง

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากพูดถึงเรื่องของทักษะยุทธ ราชันแท้จริงปาเจิ้นเหนือกว่าทังเฮ่อเสียง แต่ว่า ราชันแท้จริงปาเจิ้นมุ่งมั่นไปทางด้านบำเพ็ญเพียรมากกว่า ขณะที่ทังเฮ่อเสียงนั้นแตกต่าง ด้านบำเพ็ญเพียรนั้นทังเฮ่อเสียงไม่เพียงแสดงออกให้เห็นถึงสติปัญญาและความสามารถที่ยอดเยี่ยม

ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ทังเฮ่อเสียงมีชาติกำเนิดมาจากราชนิกูลมาตั้งแต่เด็ก ชินหูชินตาตั้งแต่เด็ก เก่งในเรื่องแผนการ ชำนาญเรื่องการจัดการ บวกกับเขาอยู่ในกองทัพมาตลอด ภายใต้การปกครองของเขาทหารองครักษ์ก็ได้สร้างผลงานสู้รบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้ไท่ชิงมาหลายครั้ง

 ด้วยธาตุแท้ภายในและประสบการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ภายในของราชวงศ์โต่วเซิ่นมีผู้ให้การสนับสนุนทังเฮ่อเสียงเป็นจำนวนมาก สำหรับกองทัพใหญ่ทั้งหกย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง พวกเขาให้การสนับสนุนทังเฮ่อเสียงอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

นอกจากราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว บรรดาตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากก็มั่นใจในตัวของทังเฮ่อเสียง จะอย่างไรเสียทังเฮ่อเสียงมีประสบการณ์มากยิ่ง ถ้าหากเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ บางทีอาจสามารถปกครองดูแลระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ดีกว่า และสามารถจัดการดูแลบรรดาตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในเรื่องบุญคุณความแค้น ความขัดแย้งของบรรดาสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ดีกว่า

ขณะที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นนั้นแตกต่าง ถ้าหากราชันแท้จริงปาเจิ้นขึ้นดำรงตำแหน่งได้กุมอำนาจ ในฐานะที่เขาเป็นถึงราชันแท้จริง ในอนาคตย่อมมีพลังแฝงที่ไร้ขีดจำกัด ทั้งได้รับการสนับสนุนจากตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ และแคว้นว่านเจิ้น เรียกได้ว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นนั้นมีธาตุแท้ภายในที่หนาแน่น ไม่แน่นักสักวันราชันแท้จริงปาเจิ้นอาจจะกลายเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สองก็เป็นได้

เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าหากราชันแท้จริงปาเจิ้นกลายเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สองจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าแคว้นว่านเจิ้นจะต้องเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า เมื่อถึงเวลานั้นสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ บรรดาตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิก็จะถูกควบคุมโดยราชันแท้จริงปาเจิ้น

ดังนั้น ในทางลับๆ นั้น บรรดาตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ให้การสนับสนุนทังเฮ่อเสียงมากที่สุด

แน่นอน ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้นั้น เกรงว่ายังคงเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่นและห้าแกร่ง ส่วนตระกูลขุนนางโบราณสำนักเจ้าลัทธิอื่นๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ทำได้อย่างมากที่สุดเป็นการเพิ่มธาตุแท้ภายในให้กับทังเฮ่อเสียงได้บ้างเท่านั้น ไม่สามารถตัดสินการจะขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาได้หรือไม่อย่างแท้จริง

ธาตุแท้ภายในของแม่ทัพทังยังคงเทียบไม่ได้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นนะเนี่ย” มองดูทังเฮ่อเสียงที่มุ่งหน้าไปยังเกาะเซียงหลีแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าคงไม่ง่ายนักหากเขาคิดจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ อย่าว่าแต่มีศัตรูผู้กล้าแข็งเช่นราชันแท้จริงปาเจิ้นเลย แม้แต่ดาบศักดิ์สิทธิ์หลินไห่ก็ไม่ด้อยไปกว่าเขา”

“ธาตุแท้ภายในอาจด้อยไปนิด แต่ว่าก็พูดยาก” ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ว่า ฟังว่าคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นไปได้ที่จะสนับสนุนทังเฮ่อเสียงอย่างเต็มที่

คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์  …ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับหวั่นไหวในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้

ก่อนหน้ายุคของฮ่องเต้ไท่ชิง คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจสูงสุดของราชวงศ์โต่วเซิ่น ระดับปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดล้วนแล้วแต่เข้าไปอยู่ในคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น  คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์คือองค์กรที่เป็นแกนหลักและแข็งแกร่งมากที่สุดของราชวงศ์โต่วเซิ่น

ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก ล้วนเป็นคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ ที่บงการราชวงศ์โต่วเซิ่นทั้งหมด บงการสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด ในยุคนั้น อำนาจที่อยู่ในมือฮ่องเต้ราชวงศ์โต่วเซิ่นค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด

 มาถึงยุคของฮ่องเต้ไท่ชิง เขาได้เป็นฮ่องเต้มาสายยุคสมัย และได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ในยุคที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเจริญรุ่งเรืองที่สุด เขาบีบบังคับให้คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องถอยออกไป นับจากนั้นเป็นต้นมาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ได้หายไป มีบางคนกล่าวว่าเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงที่ลงมือสังหารคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์  และมีผู้ที่กล่าวว่าคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ กับฮ่องเต้ไท่ชิงบรรลุข้อตกลงถอนตัวออกไปเอง

เนื่องจากการถอนตัวออกไปของคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ นี่เอง เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับฐานะความเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้าของฮ่องเต้ไท่ชิง และส่งผลให้ฮ่องเต้ไท่ชิงกระทำการทุกอย่างตามปรารถนาในราชวงศ์โต่วเซิ่น และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด

เวลานี้ได้ยินว่าคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วจะไม่ให้ภายในใจของผู้คนต้องสะท้านได้อย่างไร ถ้าหากคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ ปรากฎตัวขึ้นจริงๆ ล่ะก็ ไม่แน่นักอาจสามารถแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่โดยอาศัยสิ่งนี้ก็เป็นได้

“แต่ว่า หากทังเฮ่อเสียงสามารถได้รับการสนับสนุนจากเทพธิดาฉิน ก็จะเป็นการวางรากฐานถึงฐานะของเขาได้อย่างมั่นคงเช่นกัน เกรงว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นก็อาจจะรู้ว่ายากและถอนตัวออกไปก็เป็นได้” ระดับบรรพบุรุษกล่าวขึ้นช้าๆ ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ

เวลานี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ มองดูทังเฮ่อเสียงที่เหยียบน้ำทะเลสาบก้าวไปข้างหน้า ทุกคนต่างก็รู้ว่าก่อนหน้าทังเฮ่อเสียงนั้น หยางฟู่ฝานซึ่งเป็นศิษย์ของราชันแท้จริงปาเจิ้นได้เขาเยี่ยมคารวะฉินเจี้ยนเหยามาแล้ว และฉินเจี้ยนเหยาก็ได้พบกับเขา ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าฉินเจี้ยนเหยานั้นมั่นใจในราชันแท้จริงปาเจิ้น

จะอย่างไรเสีย ก่อนหน้านั้นมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เดินทางไปเยี่ยมคารวะฉินเจี้ยนเหยา แต่นางปฏิเสธไม่รับแขก การที่นางให้การต้อนรับหยางฟู่ฝาน ย่อมมีความหมายที่แตกต่าง

เวลานี้การเดินทางไปคารวะฉินเจี้ยนเหยาก็สร้างความสนใจให้กับทุกคน ถ้าหากฉินเจี้ยนเหยาหลบเลี่ยงไม่ยอมพบล่ะก็ เช่นนั้นแล้วก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการช่วงชิงบัลลังก์ฮ่องเต้ของทังเฮ่อเสียง

แน่นอน หากทังเฮ่อเสียงสามารถได้รับการสยับสนุนจากฉินเจี้ยนเหยาก็จะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ เมื่อได้รับการสนับสนุนจากวัดจิ้งเหลียนกวานอย่างเต็มที่ บวกกับธาตุแท้ภายในของทังเฮ่อเสียงเอง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เกรงว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นก็ต้องถอยและยอมให้สามส่วนกับการช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้แล้ว

“เฮ่อเสียงมาคารวะต่อเทพธิดาฉินโดยพละการ ขอเทพธิดาฉินได้โปรดให้อภัย” ขณะทังเฮ่อเสียงอยู่ด้านนอกเกาะเซียงหลี ได้แสดงคารวะแบบจีน และเสียงนั้นดังก้องอยู่กับพื้นผิวของทะเลสาบ

ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ เพื่อคอยดูต่อไปอย่างเงียบๆ ว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นใด เมื่อทังเฮ่อเสียงได้ส่งเสียงคารวะออกไปแล้ว

“แม่ทัพทังเกรงใจมากไปแล้ว” ในเวลานี้เอง เสียงที่ไพเราะยิ่งของฉินเจี้ยนเหยาได้ดังขึ้น การได้ยินเสียงที่ไพเราะเสนาะหูยิ่งของฉินเจี้ยนเหยานั้น ถือเป็นการเสพสุขที่สุดยอดอย่างหนึ่ง

ฉินเจี้ยนเหยาให้การต้อนรับด้วยตนเองด้วยท่วงทีกิริยาท่าทางงดงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้คนที่มองเห็นบุคลิกที่งดงามของฉินเจี้ยนเหยาแล้วจิตใจหวั่นไหว ไม่รู้ว่าได้ทำให้ชายหนุ่มจำนวนเท่าไรต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล

“เทพธิดาฉินเข้าสู่ยุทธภพ เฮ่อเสียงต้องการขอความชี้แนะความรู้แจ้งรู้จริงจากเทพธิดาฉิน ขอเทพธิดาฉินได้ชี้แนะด้วยเถอะ” ทังเฮ่อเสียงกล่าวด้วยท่าทีที่เกรงใจอย่างยิ่ง

“มิกล้า หากท่านแม่ทัพยินดี เจี้ยนเหยาก็ยินดีสนทนาด้วย” ฉินเจี้ยนเหยาพยักหน้า เสมือนดั่งผู้อยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ทำให้ผู้คนต้องใจเต้นตูมตาม

ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากที่เฝ้าดูอยู่ต่างมองตาซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาให้ทังเฮ่อเสียงได้พบ

ก่อนหน้านี้ หม่าจินหมิงที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพส่วนกลางมาคารวะฉินเจี้ยนเหยาก็ทำไม่สำเร็จ การที่หยางฟู่ฝานและทังเฮ่อเสียงสามารถเข้าพบกับฉินเจี้ยนเหยาได้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าทั้งราชันแท้จริงปาเจิ้นและทังเฮ่อเสียงต่างก็เป็นผู้มีสิทธิ์ได้เป็นฮ่องเต้ ขณะที่อย่างน้อยที่สุดหม่าจินหมิงยังไม่มีสิทธิ์

“ดูท่าฮ่องเต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในชาตินี้ มีความเป็นไปได้ที่จะถือกำเนิดขึ้นระหว่างราชันแท้จริงปาเจิ้นและทังเฮ่อเสียงเสียแล้ว” มีผู้บำเพ็ญตนถึงกับพึมพำขึ้นมา

“มันก็ไม่แน่เสมอไป ดาบศักดิ์สิทธิ์กวานไห่ยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่เลย ถ้าหากดาบศักดิ์สิทธิ์กวานไห่ออกแรงเต็มกำลังล่ะก็พูดยากนะ เทียบกับราชันแท้จริงปาเจิ้นแล้ว ดาบศักดิ์สิทธิ์กวานไห่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งยิ่งกว่าเสียอีก” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสส่ายหน้าเบาๆ และเอ่ยขึ้นมา

ณ บริเวณด้านนอก ได้ก่อเกิดวิกฤตขึ้นมาไม่น้อยทีเดียวกับผู้คนไม่รู้จำนวนเท่าไร อันเนื่องมาจากการมาของฉินเจี้ยนเหยานั่น จะอย่างไรเสียภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างก็มีความชัดเจนว่า ในระดับหนึ่งนั้นฉินเจี้ยนเหยาและวัดจิ้งเหลียนกวานคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถตัดสินใจเลือกผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นฮ่องเต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ ดังนั้น ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของฉินเจี้ยนเหยาล้วนแล้วแต่เป็นที่จับตามองของผู้คนเป็นพิเศษ

“ฝ่าบาท แม่ทัพทังและศิษย์ของราชันแท้จริงปาเจิ้นล้วนแล้วแต่เคยไปคารวะเทพธิดาฉิน” หลิ่วชูฉิงก็ได้ข่าวมาบ้าง อดที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้น “นี่ นี่เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาทนะ”

แม้ว่าหลิ่วชูฉิงจะมีจิตใจที่เรียบง่ายไม่ปรุงแต่งและมีความซื่อสัตย์  แต่ว่า นางเองก็เข้าใจหากฉินเจี้ยนเหยา และวัดจิ้งเหลียนกวานต้องการสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมาสักคน ย่อมต้องไม่เป็นผลดีต่อหลี่ชิเย่เป็นแน่แท้ เกรงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างเขาจะต้องถูกมองว่าเป็นสิ่งกีดขวางต่อการขึ้นครองบัลลังก์

ดังนั้น ในขณะนี้หลิ่วชูฉิงอดที่จะเป็นกังวลแทนหลี่ชิเย่ขึ้นมา แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับไม่ได้หวั่นไหวโดยสิ้นเชิง

“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า “แล้วจะทำอะไรได้? ต่อให้ดิ้นรนอย่างไรก็ก่อเกิดฟองคลื่นขึ้นมาไม่ได้ คนบางคนคิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าตัวเองสามารถบงการสถานการณ์ใต้หล้าได้ สามารถคุมเกมได้ทั้งหมด มันก็แค่คิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น พวกเขาก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”

หลิ่วชูฉิงอ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เนื่องจากนางก็แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่ชิเย่เท่านั้น ส่วนหลี่ชิเย่จะเป็นฮ่องเต้หรือไม่นั้นนางไม่ใส่ใจ กล่าวสำหรับนางแล้วสามารถอยู่กับหลี่ชิเย่ สามารถอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่เสมอๆ นางก็ดีใจเป็นที่สุดและพึงพอใจมากแล้ว

ส่วนหลี่ชิเย่สามารถกลับมาเป็นฮ่องเต้ได้อีกครั้งหรือไม่นางไม่ได้ใส่ใจ แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นเพียงราษฎรธรรมดาๆ คนหนึ่ง นางก็ไม่แคร์ เวลานี้นางคิดอยู่เพียงได้เคียงข้างหลี่ชิเย่อยู่เสมอ

“เอาละเด็กโง่ อย่าได้กังวลใจกับเรื่องราวบนโลกแบบนี้เลย” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “คาถาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าบรรลุไปถึงไหนแล้ว? ”

“ยอดเยี่ยมมาก” หลิ่วชูฉิงพูดออกมาตามจริงว่า “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นมีกำลังแผ่วปลาย ข้ามักรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นเหมือนขาดอะไรไป แต่ก็เหมือนว่ามันดำรงอยู่อย่างนั้น”

“มีความรู้สึกเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เอาเถอะ ถือโอกาสยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น จะมาขลุกอยู่แต่ในนี้ก็ไม่ถูก เจ้าว่านั้นมั้ย”

“ไปไหน? ” หลิ่วชูฉิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง

“เที่ยวเขาจิ่วเหลียนซานน่ะสิ” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อมาที่เขาจิ่วเหลียนซานแล้วย่อมต้องเที่ยวชมสักหน่อย มิฉะนั้นก็เท่ากับมาเสียเที่ยวน่ะสิ”

เมื่อหลิ่วชูฉิงได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วก็พยักหน้าเบาๆ นางไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว หลี่ชิเย่ไปถึงไหนนางก็ยินดีติดตามไปด้วย

หลี่ชิเย่พาหลิ่วชูฉิงลงจากเขามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ท่าทางเหมือนชมนกชมไม้อย่างนั้น และเส้นทางที่หลี่ชิเย่มุ่งไปนั้นจะต้องผ่านทะเลสาบทั้งเก้าของเขาจิ่วเหลียนซานแน่นอน

แม้แต่ทะเลสาบที่อยู่ห่างจากเขาหงฮวงซานของพวกเขาก็คือจุดแรกที่พวกเขาจะต้องเดินผ่าน

ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่นับพันลี้ เมื่อนั่งอยู่บนเรือและล่องไปตามทะเลสาบแห่งนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลอย่างนั้น

เรือน้อยล่องไปในทะเลสาบ หลี่ชิเย่มองดูทิวทัศน์ที่งดงามและช้อนเอาฟองคลื่นขึ้นมาแผ่วเบา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาได้จ้องมองหลิ่วชูฉิงและยิ้มกล่าวว่า “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? ”

“รู้สึกสบายมากเลย อากาศบริสุทธิ์มาก” หลิ่วชูฉิงเคียงข้างหลี่ชิเย่ทั้งกายและใจ ในเวลานี้ทะเลสาบแห่งนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น นางรู้สึกมั่นใจมาก อดที่จะยิ้มหวานออกมาไม่ได้

“เด็กโง่ เจ้ายังคิดว่าข้าให้เจ้ามาเที่ยวชมนกชมไม้เป็นเพื่อนจริงๆ หรือนี่” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและดีดจมูกโด่งเล็กๆ ที่งดงามน่ารักของนางเบาๆ ทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ที่ข้าพาเจ้ามา เพื่อให้รับรู้ฟ้าดินแห่งนี้”

……………………………………………………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *