Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1810 ตระกูลราชันฉีหลิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1810 ตระกูลราชันฉีหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1810 ตระกูลราชันฉีหลิน
หลังจากที่จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินเดินทางไปที่ตระกูลราชันฉีหลินแล้ว ภายในเขตฉีหลินก็ได้ปรากฏข่าวลือต่างๆ นานาแพร่สะพัดขึ้นมา

“เจ้าหนูที่ชื่อว่าคนโหดอันดับหนึ่งจะต้องใช้ศีรษะเซ่นไหว้นายน้อยของจอมเทพหนานหยางและนายน้อยของจอมเทพเชียนจวินที่อยู่บนสวรรค์” ไม่รู้ว่าใครที่คอยสุมเพลิงอยู่ลับๆ กล่าวว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ หากปล่อยให้ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่ไหนก็ได้มาสังหารศิษย์ผู้บำเพ็ญตนในเขตฉีหลินได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ แล้วจะให้ตระกูลขุนนางโบราณพวกเราที่อยู่ในเขตฉีหลินมีที่ยืนในชิงโจวได้อย่างไร ให้ผู้บำเพ็ญตนพวกเราที่อยู่ในเขตฉีหลินแสดงอำนาจในชิงโจวได้อย่างไร!”

“ถูกต้อง จะต้องเอาเลือดของคนโหดอันดับหนึ่งมาเซ่นไหว้พวกนายน้อยเจอเยื่อ มิฉะนั้นล่ะก็จะต้องเป็นที่เยาะเย้ยของผู้คนใต้หล้าว่าผู้บำเพ็ญตนในเขตฉีหลินของพวกเราอ่อนแอ” เมื่อมีผู้พูดเช่นนี้ออกมา จึงมีผู้กล่าวสนับสนุนขึ้นทันที

“ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเราคือหนึ่งสำนักสามเซียนหวัง หมางเมินต่อชิงโจว คนโหดอันดับหนึ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูถูกอำนาจบารมีของตระกูลราชันฉีหลิน กระทำการตามอำเภอใจภายในเขตปกครองของตระกูลราชันฉีหลิน สังหารผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ นี่คือการท้าทายอานุภาพราชันสูงสุดของตระกูลราชันฉีหลิน คนประเภทนี้นสมควรฆ่า” ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างร้องเอ็ดตะโรว่าต้องการอาศัยเลือดและศีรษะของหลี่ชิเย่มาเซ่นสังเวยพวกของหลี่เทียนเหา

บรรดาเจ้าสำนักของแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยหลังจากได้ยินคำร้องเอ็ดตะโรแล้ว ต่างมองหน้าซึ่งกันและกันลับๆ ผู้ที่เคยผ่านอุปสรรคมากมายต่างก็เข้าใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีผู้ที่คอยผสมโรงอยู่ คำพูดเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการพูดให้ตระกูลราชันฉีหลินฟัง และเป็นการพูดให้ผู้บำเพ็ญตนของตระกูลราชันฉีหลินทั้งหมดได้ฟัง

“ดูท่าพวกของจอมเทพหนานหยางได้ตัดสินใจอย่างเด็็ดขาดแล้วว่าต้องการเอาชีวิตของคนโหดอันดับหนึ่งให้ได้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ อย่างเด็ดขาด” มีกษัตราที่พึมพำออกมา

“คนโหดอันดับหนึ่งจะมาที่ตระกูลราชันฉีหลินด้วยตนเอง โดยบอกว่าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด” หลังจากที่จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินได้รับการต้อนรับเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลิน ได้ไม่นาน จึงมีข่าวลักษณะเช่นนี้แพร่ออกมา

“ไม่เคยเกรงกลัวต่อผู้ใด? เมื่อไปถึงตระกูลราชันฉีหลินแล้วยังจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมาหรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ยโสเกินไปแล้วหละ พาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว นี่ไม่เพียงไม่เห็นหัวพวกจอมเทพหนานหยางแล้ว กระทั่งไม่มองตระกูลราชันฉีหลินอยู่ในสายตา เจ้าหนูผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรก็แน่?” มีผู้ที่เกรงว่าสังคมจะไม่วุ่นวาย จึงไปสุมเพลิงทั่วไป

“ฮึ เจ้าหนูคนแซ่หลี่ถ้าหากกล้าทำกำเริบเสิบสานที่ตระกูลราชันฉีหลิน พวกเราจะไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่ อานุภาพราชันเซียนของตระกูลราชันฉีหลินไหนเลยจะให้เขามาท้าทายได้ ต่อให้มีจอมเทพคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังก็จะไม่ปล่อยให้เขาทำกำเริบเสิบสานได้!” เมื่อมีศิษย์ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลินบางส่วนได้ยินคำที่พูดเอ็ดตะโรออกมาต่างๆ นานาแล้ว ดูจะอดกลั้นไม่อยู่บ้างแล้ว จึงมีศิษย์ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วนอดที่จะกล่าวด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม

เวลานี้ ภายในเขตฉีหลินอารมณ์ของผู้คนพลุ่งพล่าน เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย คลื่นใต้น้ำกระเพื่อมรุนแรง สำนักบางแห่งต้องการถือโอกาสเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง และสำนักเจอเยื่อ และมีสำนักบางแห่งที่รู้รักษาตัวรอดก็จะออกห่างจากความขัดแย้งนี้ไป

ขณะที่คลื่นใต้น้ำกำลังพลุ่งพล่านในเขตฉีหลินอยู่นั้น พลันตระกูลราชันฉีหลินได้ส่งเทียบเชิญให้กับสำนักเจ้าลัทธิทุกแห่งที่มีระดับผู้ยิ่งใหญ่หรือระดับบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงมากพอ ให้ไปเป็นแขกที่ตระกูลราชันฉีหลิน

การที่จู่ๆ ตระกูลราชันฉีหลิน ได้ส่งเทียบเชิญให้บรรดาบรรพบุรุษของแคว้นเจ้าลัทธิในเขตฉีหลินทุก ๆ สำนักเป็นแขกของตระกูลราชันฉีหลิน ทำให้บรรพบุรุษของแคว้นเจ้าลัทธิในเขตฉีหลินจำนวนไม่น้อยต่างคาดเดากันลับๆ กับการกระทำในครั้งนี้

“หรือว่าคราวนี้ตระกูลราชันฉีหลินต้องการจะเชือดไก่ให้ลิงดู จะจับเจ้าคนที่ชื่อหลี่ชิเย่คนนี้มาจัดการจริงรึ?” การกระทำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของตระกูลราชันฉีหลิน ทำให้บรรดาบรรพบุรุษของแคว้นเจ้าสำนักต่างคาดเดากันลับๆ ว่าการกระทำเช่นนี้ของตระกูลราชันฉีหลินหมายความว่าอย่างไร

“มีความเป็นไปได้เช่นนี้ การที่คนโหดอันดับหนึ่งกล้าฆ่าคนตามอำเภอใจในเขตฉีหลินตามอำเภอใจ ถึงกับสังหารผู้สืบทอดของสำนักเจ้าลัทธิรวดเดียวถึงสองคน นับว่าเป็นความจริงที่ไม่เห็นตระกูลราชันฉีหลินอยู่ในสายตาเอาเสียเลย จะอย่างไรเสียตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง กับสำนักเจอเยื่อล้วนแล้วแต่ขึ้นตรงต่อตระกูลราชันฉีหลินนะเนี่ย ภาษิตว่าจะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของเสียก่อน” เจ้าสำนักสำนักเจ้าลัทธิก็กล่าวขึ้น

ไม่ว่าการกระทำของตระกูลราชันฉีหลินในครั้งนี้จะมีความลึกซึ้งเช่นใดก็ตาม บรรดาบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิที่ได้รับเทียบเชิญจากตระกูลราชันฉีหลินแล้วต่างทยอยกันเดินทางไปยังตระกูลราชันฉีหลิน ซึ่งมีผู้เยาว์บางส่วนที่ต้องการไปเพิ่มพูนประสบการณ์ก็ได้ติดตามไปยังตระกูลราชันฉีหลินเช่นกัน

ขณะที่เขตฉีหลินกำลังเดือดพล่านอยู่นั้น ในที่สุด หลี่ชิเย่ที่รั้งอยู่ยอดเขาชมเทพเพื่อฝึกบำเพ็ญเพียรก็ได้ออกเดินทางไปยังตระกูลราชันฉีหลินแล้ว

“ไปเถอะ พวกเราไปที่ตระกูลราชันฉีหลินกัน” หลี่ชิเย่สั่งการกับพวกเสิ่นเสี่ยวซันที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายออกไป

“ไปตระกูลราชันฉีหลิน!” ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร เมื่อเถี่ยซู่องได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับเข่าอ่อนทั้งสองข้างทันที

ถ้าหากเป็นอดีตบอกว่าจะไปที่ตระกูลราชันฉีหลิน เถี่ยซู่องต้องดีใจเป็นที่สุดแน่นอน จะอย่างไรเสียสำหรับสำนักขนาดเล็กอย่างเขาแล้ว ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปในตระกูลราชันฉีหลินได้อยู่แล้ว

ในอดีตสำหรับผู้บำเพ็ญตนของสำนักขนาดเล็กเช่นนี้แล้ว สามารถยืนอยู่ด้านหน้าประตูมองดูตระกูลราชันฉีหลินสักครั้งก็นับเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง และถือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แล้ว สำหรับการก้าวเข้าไปภายในตระกูลราชันฉีหลินนั้น เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด

เวลานี้พวกเขาจะตามหลี่ชิเย่เข้าไปภายในตระกูลราชันฉีหลิน เรียกได้ว่าเป็นความกรุณาอย่างหนึ่ง ตามหลักแล้วควรจะดีใจถึงจะถูก แต่ว่า เมื่อหลี่ชิเย่บอกว่าจะไปที่ตระกูลราชันฉีหลิน ภายในใจของเถี่ยซู่องก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาทันที เขารู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาอย่างนั้นรับรองว่าจะต้องบังเกิดเรื่องราวฟ้าถล่มดินทลายอย่างแน่นอน ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำมาโดยตลอด

“ไปตระกูลราชันฉีหลิน!” เมื่อเปรียบกับผู้เป็นอาจารย์ที่ดูจะกังวล แต่เฮ่อเฉินในฐานะผู้เยาว์กลับดีใจอย่างเห็นได้ชัด พลันที่เขาได้ยินหลี่ชิเย่บอกว่าจะไปตระกูลราชันฉีหลิน ดวงตาทั้งสองเป็นประกายขึ้นมาทันที

กล่าวสำหรับ คนหนุ่มอย่างเฮ่อเฉินนั้น สามารถไปที่ตระกูลราชันฉีหลินย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่าดีใจอย่างแน่นอน เรื่องเช่นนี้ในอดีตเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด เวลานี้มันใกล้จะเป็นความจริงแล้ว

ดังนั้น เวลานี้เฮ่อเฉินถึงกับอยากไปยิ่งนัก แทบอยากจะไปถึงตระกูลราชันฉีหลินเสียแต่ตอนนี้เลยให้รู้แล้วรู้รอดไป

สำหรับเสิ่นเสี่ยวซันนั้นนางอย่างไรก็ได้ หลี่ชิเย่ไปถึงไหนนางก็ยินดีติดตามไปถึงที่นั่น ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟนางก็ยินดี ขอเพียงได้ติดตามอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะให้นางทำอะไรนางก็เต็มใจอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่บอกว่าจะไปที่ตระกูลราชันฉีหลินนางจึงไม่มีปัญหาอะไร ขอเพียงได้อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ก็พอแล้ว

“ท่าน ได้ยิน ยิน ยินว่าจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินล้วนแล้วแต่ไปที่ตระกูลราชันฉีหลินแล้ว” แม้ว่าระยะนี้พวกเขาจะอยู่แต่เขาชมเทพ แต่ว่าเถี่ยซู่องยังคงสืบข่าวคราวได้มาบ้าง

แน่นอน เถี่ยซู่องย่อมไม่กล้าพูดกับหลี่ชิเย่ตรงๆ ว่าจอมเทพทั้งสองต้องการศีรษะของเขา ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ทางที่ดีอย่าไปตระกูลราชันฉีหลินจะเป็นการดีที่สุด เขาได้แต่พูดเตือนสติหลี่ชิเย่อ้อมๆ

“แล้วยังไง” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมาตามอารมณ์ และกล่าวว่า “จอมเทพแล้วเป็นอย่างไร ข้าไม่ไปหาเรื่องพวกเขา พวกเขาก็ควรขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณร่มบารมีของบรรพบุรุษที่ยังเหลืออยู่คุ้มครองพวกเขา แต่หากว่าพวกเขามีตาแต่ไร้แววมาหาเรื่องข้า ได้แต่บอกว่าพวกเขาหาเรื่องตาย”

พลันที่เถี่ยซู่องได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วต้องหวาดกลัวด้วยความระแวง นี่มันจอมเทพนะ สำหรับบุคคลผู้ไม่มีความสำคัญตัวเล็กๆ เช่นเขาแล้ว อย่าว่าแต่ไปพบจอมเทพเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปเป็นศัตรูกับจอมเทพ แค่เอ่ยถึงชื่อของจอมเทพเขาก็หวาดกลัวจนระแวงแล้วหละ

แต่ว่า เรื่องเช่นนี้สำหรับหลี่ชิเย่แล้วเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง เขาไม่เคยมองจอมเทพอยู่ในสายตาเลย

ต่อให้เถี่ยซู่องรู้สึกหวาดกลัวด้วยความหวาดระแวง เขาอ่อนทั้งสองข้าง แต่เขาจำต้องฝืนติดตามหลี่ชิเย่ไปที่ตระกูลราชันฉีหลิน กล่าวสำหรับเขาแล้ว ในเมื่อเลือกทางเดินสายนี้แล้ว ก็ต้องกัดฟันก้าวเดินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่มีฐานะสูงส่งเช่นหลี่ชิเย่นั้นคือโอกาสหนึ่งเดียวสำหรับสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขา

ตระกูลราชันฉีหลินคือหนึ่งสำนักสามเซียนหวัง ถือเป็นสายสำนักราชันเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชิงโจว

กล่าวสำหรับเก้าแดนแล้ว สายสำนักราชันเซียนมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สายสำนักราชันเซียนที่เป็นหนึ่งสำนักสามราชันเซียนก็มีอยู่เช่นกัน แต่ว่า สายสำนักราชันเซียนระหว่างแดนที่สิบกับเก้าแดนกลับมีความหมายที่แตกต่างกัน

สายสำนักราชันเซียนของเก้าแดนบรรดาราชันเซียนจะเหลือไว้เพียงสำนักเพื่อการสืบทอดต่อไปเท่านั้น ขณะที่สายสำนักราชันเซียนของแดนที่สิบก็เป็นสำนักที่จอมราชันและเซียนหวังเหลือไว้เพื่อการสืบทอดต่อเช่นเดียวกัน แต่ว่าบรรดาสายสำนักราชันเซียนเหล่านี้ จำนวนไม่น้อยที่จอมราชันหรือเซียนหวัง และหรือราชันเซียนจากเก้าแดนยังคงมีชีวิตอยู่

ซึ่งข้อนี้สำนักราชันเซียนของเก้าแดนจึงห่างชั้นเทียบไม่ได้กับสายสำนักราชันเซียนของแดนที่สิบ

สายสำนักราชันเซียนของเก้าแดนมีโอกาสเสื่อมลงสูงมาก อีกทั้งต่อให้ไม่ถึงกับเสื่อมลง แต่กำลังของแคว้นเจ้าลัทธิบางแห่งก็มีโอกาสแซงล้ำหน้าสายสำนักราชันเซียนได้ เนื่องจากทายาทรุ่นหลังอกตัญญู ธาตุแท้ภายในของสายสำนักราชันเซียนก็ต้องถูกใช้ไปจนหมดสักวัน

ขณะที่สายสำนักราชันเซียนในแดนที่สิบจะต่างกัน ในฐานะที่เป็นสายสำนักราชันเซียนของแดนที่สิบ ขอเพียงจอมราชันเซียนหวัง หรือราชันเซียนเก้าแดนยังคงมีชีวิตอยู่ สำนักของพวกเขาก็จะมีความหวังตลอดไป

ต่อให้สำนักเจ้าลัทธิอื่นแข็งแกร่งเพียงใด และพวกเขาจะมีธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งอยู่ในความครอบครองก็ตาม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเทียบสายสำนักราชันเซียนไม่ได้ตลอดไปก็คือ……..จอมราชันเซียนหวัง หรือราชันเซียนเก้าแดน!

ดังนั้น ในแดนที่สิบไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งเช่นใดก็ตาม ขอเพียงจอมราชันเซียนหวัง หรือราชันเซียนเก้าแดนของสายสำนักราชันเซียนดังกล่าวยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครกล้าบอกว่าจะไปทำลายสายสำนักราชันเซียน ต่อให้เป็นจอมเทพที่แข็งแกร่งมากก็ไม่กล้าพูดคำๆ นี้ออกมา

จะอย่างไรเสีย การที่จะทำลายสายสำนักราชันเซียนสักแห่งหนึ่ง ย่อมบ่งบอกว่าต้องการเป็นศัตรูกับจอมราชันเซียนหวัง ประกาศศึกกับราชันเซียนเก้าแดน

ต่อให้จอมเทพที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ ถ้าหากให้พวกเขาไปประกาศสงครามกับจอมราชันเซียนหวัง หรือราชันเซียนเก้าแดน พวกเขาก็ต้องไปเผชิญกับสิ่งนี้อย่างรอบคอบ

เฉกเช่นจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินอย่างนั้น พวกเขานับว่ามีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่ยามที่พวกเขาต้องเหยียบเข้าไปภายในตระกูลราชันฉีหลินจริงๆ พวกเขาก็ต้องรักษาความเป็นผู้ที่ยับยั้งชั่งใจและรอบคอบให้ได้

ตระกูลราชันฉีหลินเคยมีเซียนหวังมาแล้วถึงสามองค์ แต่ว่า ที่ยังคงมีชีวิตอยู่มีเพียงสององค์เท่านั้น ส่วนเซียนหวังเย่หลินได้ก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีข่าวคราวอีกเลย แต่ว่า ชื่อเสียงของตระกูลราชันฉีหลินไม่ได้ถูกสั่นคลอนอันเนื่องจากกรณีเช่นนี้

แม้ว่าเซียนหวังเย่หลินจะปราศ่จากข่าวคราวโดยสิ้นเชิง แต่นางยังคงมีผลกระทบที่เข้มแข็งมาก อำนาจบารมีที่เหลืออยู่ยังคงก้องอยู่ในชิงโจว

กระทั่งกล่าวได้ว่า การที่ตระกูลราชันฉีหลินมีฐานะเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เซียนหวังเย่หลินมีผลงานที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องเพราะมีเซียนหวังเช่นนาง จึงส่งผลให้ตระกูลราชันฉีหลินกลายเป็นตระกูลราชันที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

แม้ว่าก่อนยุคเซียนหวังเย่หลิน ตระกูลราชันฉีหลินจะมีราชันเซียนมาแล้วถึงสององค์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง และหลงเฉินที่เป็นยักษ์ใหญ่แล้ว ยังคงขาดอะไรอยู่หลายประการ ภายใต้ยักษ์ใหญ่ระดับเช่นนี้แล้ว ตระกูลราชันฉีหลินดูจะอ่อนด้อยกว่าไม่น้อยทีเดียว

กระทั่งการผงาดขึ้นมาของเซียนหวังเย่หลิน กลายเป็นเซียนหวังที่ปราศจากผู้ต้อกรแห่งยุค มีสิบเอ็ดลัคนา และชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายในครอบครอง ทุกสิ่งจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และตระกูลราชันฉีหลินก็มีชื่อเสียงโด่งดังนับจากนั้นเป็นต้นมา!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *