Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2229 ศิษย์น้องจอมแก่น

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2229 ศิษย์น้องจอมแก่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คำพูดนี้ดูเหมือนศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนพูดเอง น้องไม่เคยได้พูดคำพูดเช่นนี้” ฟ่านเมี่ยวเจินกะพริบตานิดหนึ่ง นัยน์ตาที่กลมโตคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความน่าสงสารออกมา เหมือนว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้น

หลี่ชิเย่มีภูมิคุ้มกันไม่หวั่นไหวกับท่าทางที่แสดงว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ของฟ่านเมี่ยวเจิน หัวเราะและกล่าวว่า “เชื่อหรือไม่ว่า ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าเข้ารับตำแหน่งวันแรกก็จะตีก้นเจ้า”

“ทำแบบนี้ไม่ได้นะ” ฟ่านเมี่ยวเจินตกใจจนต้องก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ท่าทางดูน่าสงสารและกล่าวว่า “ต่อให้ท่านเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ก็จะมารังแกผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าไม่ได้นะ”

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง และไม่ได้พูดอะไรต่อ

ฟ่านเมี่ยวเจินที่ท่าทางแก่นแก้ว กรอกตาทีหนึ่ง เอียงคอนิดหนึ่ง ท่าทางมีความน่ารักอยู่สามส่วน และกล่าวว่า “ในอดีตไม่เคยได้ยินอาจารย์บอกว่าได้รับศิษย์พี่ใหญ่มาก่อน มาวันนี้น้องเพิ่งจะทราบถึงการคงอยู่ของศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าก่อนหน้านั้นศิษย์พี่ใหญ่ท่องเที่ยวไปยังที่ใด”

“ทำไมรึ คิดจะล้วงข้อมูลของข้าหรือไร? และหรือคิดอยากจะทดสอบข้าแทนนักพรตฉางเซิน?” หลี่ชิเย่พูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองฟ่านเมี่ยวเจินทีหนึ่ง

“มิกล้า มิกล้า ศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจความหมายของน้องแล้วล่ะ ถ้าหากเรื่องเช่นนี้เข้าถึงหูของอาจารย์ล่ะก็ คงต้องถูกท่านอบรมสั่งสอนแล้ว” ฟ่านเมี่ยวเจินแสดงท่าทางที่น่าสงสารออกมาทันที ทำปากแบนและกล่าวว่า “น้องแค่อยากรู้อยากเห็นล้วนๆ เท่านั้นเอง”

“นังหนูเจ้านับว่าเรียนรู้ฝีมือมาอยู่บ้าง” หลี่ชิเย่ถึงกับส่ายหน้าหัวเราะ และกล่าวว่า “บอกเจ้าก็ได้ไม่มีปัญหา ในอดีตข้าเป็นจอมมารคนหนึ่ง ทำชั่วทุกอย่าง ฆ่าคนโดยไม่มีละเว้น หลังๆ มานี้อายุเริ่มมากขึ้น จึงคิดจะล้างมือในอ่างทองคำเลิกอาชีพนั้นไป หันมาพึ่งพาหุบเขาอมตะ ดังนั้น จึงได้ตำแหน่งศิษย์อันดับที่หนึ่งอะไรทำนองนั้น”

“โอ้โห ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่มีอดีตที่น่าเกรงขามถึงเพียงนี้” เมื่อฟ่านเมี่ยวเจินได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วไม่เพียงไม่รุ้สึกกลัว แต่กลับมีสีหน้าท่าทางที่เหมือนเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง นัยน์ตาที่กลมโตคู่นั้นของนางเผยให้เห็นถึงลักษณะที่ใฝ่หาอย่างนั้น

“พูดแบบนี้ แสดงว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้องปราศจากผู้ต่อกรในหล้า สยบไปสิ้นทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษแล้วสิ” ในเวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินดูคล้ายดั่งเป็นแฟนคลับตัวน้อย และเลื่อมใสศรัทธาในตัวของหลี่ชิเย่เป็นพิเศษจนน้ำลายแทบหก ขาดเพียงแค่ไปคลอเคลียที่ขาของหลี่ชิเย่เท่านั้น

“แค่แดนลัทธิพรรษนับเป็นอะไรได้ มันก็แค่หลุมบ่อหลุมหนึ่งท่ามกลางฟ้าดินเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ขอเพียงข้าลงมือ กวาดล้างสิ้นหมื่นแดน ปราศจากผู้ต่อกรเป็นนิรันดร์ แม้แต่ราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษก็ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา หากมีผู้อื่นอยู่ด้วยในเหตุการณ์ต้องติดว่าเป็นการพูดจาอวดดีของหลี่ชิเย่แน่นอน เอาแต่คุยโวโอ้อวดอย่างเดียว

“ศิษย์พี่ใหญ่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ต่อไปข้าท่องไปในยุทธภพมิสามารถเดินขวางแบบปูน่ะสิ ใครกล้าแตะต้องข้าแม้เพียงเส้นขน ข้าแจ้งชื่อศิษย์พี่ใหญ่ออกไป มิทำให้พวกเขากลัวจนปัสสาวะราดเลยน่ะสิ” เมื่อฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวถึงตรงนี้แล้ว ทำท่าชี้มือชี้ไม้ด้วยความดีใจ

เพียะจังหวะที่ฟ่านเมี่ยวเจินกำลังอยู่ในอาการดีใจนั้น หลี่ชิเย่ได้ซัดหนึ่งฝ่ามือเข้าที่ก้นงอนของนาง

“ท่านทำอะไรเนี่ย” ทำเอาฟ่านเมี่ยวเจินตกใจสุดขีดถอยหลังไปก้าวใหญ่ เมื่อถูกจู่โจมโดยหลี่ชิเย่กะทันหัน จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่อย่างระมัดระวัง

จะอย่างไรเสียนางก็เป็นสาวเป็นนางคนหนึ่ง หากถูกผู้ชายคนหนึ่งตบเข้าที่ก้นกะทันหันแล้วไม่ถือสาล่ะก็นับว่าแปลก

“ที่แท้เจ้าไม่ได้โง่จริง” หลี่ชิเย่ถูมือและหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “ก้นงอนนับว่ามีเนื้อและนุ่มนิ่มน่าดู”

“ท่าน ท่านน่ะสิโง่” ฟ่านเมี่ยวเจินพลันรู้สึกใบหน้าที่ร้อนผ่าว จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธแค้น ดูจะเดือดดาลอยู่บ้าง

“นั่นน่ะสิ ถ้าหากเจ้าขืนยังทำเป็นแกล้งเซ่อแกล้งโง่อีกล่ะก็ ข้าไม่เพียงจะตีก้นเจ้าแค่นั้นหรอกนะ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าจนล่อนจ้อน ดูสิว่ายังจะกล้ามาทำแกล้งเซ่อแกล้งโง่อีกหรือไม่” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว

ฟ่านเมี่ยวเจินถูกยั่วโมโหจนต้องกัดฟันกรอด มองหน้าหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธและกล่าวว่า “มิน่าล่ะพี่น้องทั้งหลายล้วนแล้วแต่บอกว่าท่านเป็นจอมกักขฬะ เป็นไอ้กักขฬะโดยแท้ ไอ้คนหน้าไม่อาย!”

“เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้วจริงๆ ข้าเป็นจอมกักขฬะจริงๆ เวลาหน้าไม่อายขึ้นมาล่ะก็ใครๆ ก็กลัวทั้งนั้น เจ้าเองก็สมควรกลัวจึงจะถูก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย

ในเวลานี้ นัยน์ตาที่กลมและโตคู่นั้นของฟ่านเมี่ยวเจินกรอกตาไปรอบหนึ่ง ยิ้มอย่างน่ารักและหลี่ชิเย่ “ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ย่อมจะใจกว้าง น้องเสียมารยาทล่วงเกินไปแล้ว ขอให้ศิษย์พี่ใหญ่อภัยให้ด้วย” กล่าวพลางได้ย่อตัวอย่างงามต่อหลี่ชิเย่ ท่าทางเป็นการขอโทษต่อหลี่ชิเย่

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า เป็นความจริงที่ฟ่านเมี่ยวเจินมีแนวคิดต้องการหยั่งเชิงหลี่ชิเย่จริง ต้องการค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับหลี่ชิเย่ ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ๋ของหุบเขาร้อยบุปผา นางต้องการรู้จริงๆ ว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้มีรายละเอียดประวัติความเป็นมาอย่างไร

ฟ่านเมี่ยวเจินเชื่อในความสามารถของอาจารย์ตน นางรู้ว่าอาจารย์ของตนจะไม่รับเอาใครสักคนตามอารมณ์มาเป็นศิษย์อันดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะอย่างแน่นอน ดังนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินจึงบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นในใจว่า หลี่ชิเย่คนนี้มีอภินิหารเช่นใดกันแน่ จึงสามารถเข้าตาของอาจารย์ได้

สำหรับการแสดงความขอโทษของฟ่านเมี่ยวเจินนั้น หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคงดั่งเขาไท่ซัว รับการขอโทษเต็มรูปแบบจากฟ่านเมี่ยวเจินอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่น้องในหุบเขาร้อยบุปผาล้วนแล้วแต่แปลกใจ ต้องการรู้จักกับศิษย์พี่ใหญ่ ต้องการเห็นรูปร่างสูงใหญ่และท่าทางอันสง่างามของศิษย์พี่ใหญ่ ต้องการเห็นสุดยอดอภินิหารของศิษย์พี่ใหญ่…” นัยน์ตาที่กลมโตคู่นั้นของฟ่านเมี่ยวเจินเหมือนพูดได้นั้นกะพริบทีหนึ่ง ดูช่างน่ารักเหลือเกิน

“ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว วันหลังเถอะ” หลี่ชิเย่ค่อยๆ หลับตาลง โบกมือเบาๆ

เมื่อหลี่ชิเย่ออกปากไล่แขก ฟ่านเมี่ยวเจินก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ นางย่อตัวโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ขอศิษย์พี่ใหญ่พักผ่อนให้เต็มที่ รอให้ศิษย์พี่ใหญ่มีเวลาว่าง น้องค่อยมาคารวะใหม่” กล่าวพลางค่อยๆ ถอยออกไป

แม้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินออกจะแก่นแก้วอยู่บ้าง แต่นางกลับฉลาดเฉลียวมากนัก รู้จักกาลเทศะ ในจังหวะที่สำคัญยังคงเอาอกเอาใจรอบคอบ สามารถวางตัวได้อย่างพอเหมาะพอควร

หลังจากที่ฟ่านเมี่ยวเจินกลับออกไปแล้ว หลี่ชิเย่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นคล้ายดั่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น เข้าฌานปล่อยจิตให้ล่องลอย ผ่อนลมปราณเข้าออก ในขณะนี้ ตัวของเขาเสมือนดั่งถูกห่อหุ้มด้วยความมีชีวิตชีวาที่มากมายมหาศาล เหมือนว่าหุบเขาอมตะได้หายไป หุบเขาร้อยบุปผาหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายไปแล้วอย่างนั้น

ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่ มองเห็นต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้เติบใหญ่แล้ว แม้ว่าภาพรวมของต้นโลกดึกดำบรรพ์ไม่อาจบอกว่าได้เจริญเติบโตจนสูงเทียมฟ้าแล้ว แต่เวลานี้ก็ร่ายรำเฉิบเฉิบเป็นร่มเงาได้แล้ว ยามที่สายลมพัดมาฉิวๆ ได้ยินเสียงดังซ่าาา ซ่าาาไม่ขาดสาย

แน่นอน ต้นโลกดึกดำบรรพ์ยังคงจะเจริญเติบโตต่อไปอีก อนาคตยังคงจะสูงใหญ่เทียมฟ้า ในเวลานี้บนต้นแก่ของต้นโลกดึกดำบรรพ์กลับมีดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง ดอกไม้ดอกนี้ไม่มีชื่อ และขนาดของมันไม่ได้ดอกใหญ่มากเป็นพิเศษ ตัวดอกดูไปแล้วก็ไม่ได้ลึกซึ้งเข้าใจยาก แต่เมื่อดูให้ละเอียดอีกที ก็จะพบว่าเกสรดอกไม้นั้นส่งประกายจางๆ ที่วูบวาบอยู่ เกสรดอกไม้นี้แตกต่างจากเกสรทั่วไป มันเกิดขึ้นจากกฎเกณฑ์สัจธรรม

เกสรเล็กดั่งใยไหม มันเกิดจากกฎเกณฑ์สัจธรรมแต่ละเส้นที่มีขนาดเล็กมาก อีกทั้งกฎเกณฑ์ขนาดเล็กแต่ละเส้นดูมีความลึกซึ้งและมากมายเหลือเกิน เหมือนว่ากฎเกณฑ์สัจธรรมขนาดเล็กมากแต่ละเส้นก็ได้รวมเอาสัจธรรมทุกๆ ยุคเอาไว้ในนั้น สัจธรรมสายเดียวเช่นนี้เพียงพอที่ให้ผู้คนใช้เวลาทั้งชีวิตก็บรรลุได้ไม่หมด

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การบานเบ่งของดอกสัจธรรมนั้นมันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นเอง การผลิดอกออกผลเป็นขั้นตอนหนึ่งในการบุกเบิกสรรสร้างสัจธรรมที่เป็นของหลี่ชิเย่เอง ดอกผลแห่งสัจธรรมใช่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังนั้น ในอนาคตระบบสัจธรรมที่บุกเบิกโดยหลี่ชิเย่นั้น จะต้องเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมากสายหนึ่งอย่างแน่นอน

ขณะที่ดอกสัจธรรมดอกนี้เบ่งบาน พลังของโลกดึกดำบรรพ์จะตลบอบอวล เหมือนว่าทุกๆ กฎเกณฑ์เกิดขึ้นจากที่ตรงนี้ ยามที่ดอกสัจธรรมดอกนี้ออกเป็นผลขึ้นมา หมายถึงสัจธรรมสายนี้สุกงอม ซึ่งจะต้องสร้างความตระหนกยิ่งแน่นอน

หลี่ชิเย่ผ่อนลมหายใจเข้าออก ปล่อยให้จิตล่องลอยไป พริบตาเดียวนั่นเองตัวเขาเสมือนหนึ่งได้หลอมรวมกับฟ้าดินเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกันกับหมื่นอาณาจักร ในพริบตาเดียวนั้นก็ได้กำเนิดเป็นมโนภาพขึ้นมาอีก เหมือนว่าสิ่งนี้หาใช่เป็นการหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันกับฟ้าดิน แต่เป็นตัวเขาที่ให้กำเนิดฟ้าดิน เป็นตัวเขาที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตบนโลก เป็นตัวเขาที่ให้กำเนิดสรรพสิ่งบนโลก กระทั่งกาลเวลา ช่องว่างก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากตัวของเขา ตัวของเขาคือต้นกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง…

วันเวลาในหุบเขาอมตะนั้นสงบเงียบ เนื่องจากศิษย์ของหุบเขาอมตะส่วนใหญ่หลงใหลอยู่กับวิชาโอสถ ดังนั้นในระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิเช่นหุบเขาอมตะจึงขาดเรื่องของการฆ่าฟันไปหลายส่วน

โดยเฉพาะวันเวลาในหุบเขาร้อยบุปผายิ่งมีความสงบสุขเป็นพิเศษ ศิษย์สาวจำนวนไม่น้อยนอกจากการบรรลุด้านสัจธรรมแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการอ่านศึกษาตำราโอสถ ศึกษาวิชาปรุงกลั่นยาเม็ด เพาะปลูกสมุนไพรต่างๆ…

หลี่ชิเย่พักอาศัยอยู่ภายในหุบเขาร้อยบุปผาก็นับว่าสงบสุขยิ่ง แม้ว่าเคยมีฟ่านเมี่ยวเจินมาเยี่ยมเยียน แต่ว่าฟ่านเมี่ยวเจินเองนับว่ารู้จักกาลเทศะเป็นอันมาก หลายวันมานี้หลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากที่พักเลย บรรลุสัจธรรมอย่างสบายใจ โดยที่นางไม่ได้มารบกวนหลี่ชิเย่เลยแม้แต่น้อย กระทั่งสั่งการศิษย์ภายในสำนักไม่ให้ไปรบกวนหลี่ชิเย่

มาวันนี้ ในที่สุดหลี่ชิเย่ก็ได้ตื่นจากภวังค์หลังจากที่ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไป เขาก้าวเดินออกจากที่พักเดินเล่นอยู่ในหุบเขาร้อยบุปผาไปตามอารมณ์

แม้ว่าการมาพักอาศัยอยู่ในหุบเขาร้อยบุปผาของหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งเพียงลำพังเช่นนี้ โดยศิษย์สาวในหุบเขาร้อยบุปผาก็ยอมรับในความจริงข้อนี้แล้ว แต่ว่า ยังคงมีศิษย์สาวที่มองเห็นหลี่ชิเย่แล้วเม้มปากหัวเราะเบาๆ และมีศิษย์สาวที่ใจกล้าขึ้นมาหน่อยก็จะวิพาวิจารณ์กันแผ่วเบาหลายคำ

ศิษย์สาวจำนวนไม่น้อยที่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นในศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ เพียงแต่เจ้าหุบเขายังไม่ได้กลับมา ทุกคนจึงไม่รู้ว่ารายละเอียดของเรื่องนี้เป็นเช่นใด

หลี่ชิเย่เดินท่องไปในหุบเขาร้อยบุปผาอย่างไร้จุดหมาย สบายอกสบายใจและอิสระ ไม่ได้รู้สึกแปลกตาแม้แต่น้อย คล้ายกำลังเดินเล่นอยู่ภายในสวนหลังบ้านของตนเองอย่างนั้น ดูตามอารมณ์อย่างยิ่ง

หุบเขาอมตะคือสำนักด้านวิชาโอสถ ภายในหุบเขาอมตะได้เพาะปลูกสมุนไพรหญ้าทิพย์ล้ำค่าไว้เป็นจำนวนมาก หุบเขาร้อยบุปผาก็ไม่ยกเว้น เรียกได้ว่าในหุบเขาร้อยบุปผาสามารถพบเห็นหญ้าหลินจือและหญ้าทิพย์ได้ทุกหนแห่ง กระทั่งสมุนไพรบางตัวที่ล้ำค่าอย่างยิ่งก็สามารถพบเห็นมันขึ้นอยู่ตามซอกเหลือบของหินได้อย่างง่ายดาย

กล่าวได้ว่า สมุนไพรหญ้าทิพย์สามารถก้มลงเก็บได้ทุกที่ในหุบเขาร้อยบุปผา มีให้พบเห็นได้อยู่ทั่วไป

หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในลานกว้างอย่างเอ้อระเหย และได้เดินไปถึงหุบเขาที่ลึกและเงียบสงบแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว มองเห็นสถานที่แห่งนี้มีความเขียวชอุ่ม สายลมที่เย็นสบายพัดมาแผ่วเบา ความเย็นสายหนึ่งเข้ามาปะทะใบหน้า

หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินไปถึงส่วนของบริเวณที่ลึกเข้าไปภายในหุบเขาโดยไม่รู้ตัว ที่ตรงนั้นมีแอ่งน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ที่ถูกน่าจะเป็นบึงน้ำมากกว่า แต่ว่า มันเป็นบึงน้ำที่มีความพิเศษยิ่ง

บึงน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างถึงสิบหมู่ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่เป็นน้ำแข็ง มองเห็นไอเย็นที่ลอยขึ้นมา อีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นแมกมา เป็นแมกมาที่มีสีแดงและทะลักขึ้นมา ทั้งยังมีเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ

น้ำในบึงที่ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแข็ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นแมกมา นับว่าพบเห็นได้ยากมาก นี่คือแบบฉบับของการรวมกันระหว่างหยินและหยาง การผสมผสานระหว่างน้ำแข็งและไฟ

ท่ามกลางเสียงที่ดังอึกทืกระหว่างกึ่งกลางที่ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแข็ง และครึ่งหนึ่งเป็นแมกมา บริเวณที่น้ำแข็งและแมกมารวมกันนั้น กลับจะมีบ่อน้ำแร่อยู่บ่อหนึ่ง

…………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *