Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1839 ฆ่าคนไม่กะพริบตา

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1839 ฆ่าคนไม่กะพริบตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1839 ฆ่าคนไม่กะพริบตา
ในเวลานี้ บรรดาแขกทั้งหมดที่อยู่ในงานต่างอ้าปากค้างหุบไม่ลงอยู่นาน พวกเขาต่างถูกทำให้หวั่นไหวจนไม่อาจเรียกสติกลับเป็นเวลานาน

กษัตริย์เทียนหวงคือยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมคนหนึ่ง แม้ว่าเข้าจะก้าวสู่ระดับสวรรค์สัจธรรมอย่างเต็มกลืนเท่านั้นเองก็ตาม ก็ยังคงเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมอยู่ดี ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ศาสตราวุธเต๋าที่อยู่ในมือของเขานั้นคือศาสตราวุธเต๋าจอมราชันชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้ง เมื่อได้ครอบครองศาสตราวุธเต๋าจอมราชันเช่นนี้ ย่อมสามารถทดแทนพลังขมุกขมัวของเขาที่ขาดไปได้ในระดับสูงทีเดียว

แต่ว่า กษัตริย์เทียนหวงยังคงเปราะบางไม่สามารถรับมือกับการโจมตีได้ กระทั่งผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกที่เข้ามาช่วยเหลือก็สุดจะรับมือได้เช่นกัน พลังขมุกขมัวเจ็ดร้อยล้านลิตรถูกทำลายลงโดยพลัน ไม่มีแม้กระทั่งพลังที่จะขัดขืน ถูกทุบจนกลายเป็นเนื้อบดในทันที

บรรดาแขกทั้งหมดที่อยู่ในงานล้วนแล้วแต่ตกใจจนเข่าอ่อนไปสิ้น เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างสยดสยองเหลือเกิน ทำให้ถึงกับรู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นมา!

ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลินที่เข้ามาช่วยก็ต้องตายตาไม่หลับ เขายังไม่ทันกระจ่างชัดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ถูกทุบจนกลายเป็นเนื้อบดไปเสียแล้ว ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนระดับสวรรค์สัจธรรมผู้นี้นับว่าตายอย่างสับสนมึนงงและไม่เป็นธรรมยิ่ง

แม้แต่เผิงเย่ที่มองเห็นภาพนี้แล้วก็ต้องสะท้านภายในใจ เขาเองก็มองไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลินก็กลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว เป็นที่ทราบกันว่า ทักษะของผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลินกับเขาอยู่ในระดับที่พอๆ กันถึงกับสู้ไม่ได้เลย ทำให้ขาทั้งสองข้างของเผิงเย่ถึงกับอ่อนขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

เวลานี้ กษัตริย์เทียนหวงที่ถูกสยบเอาไว้ดิ้นรนพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ “ปัง” มือยักษ์ไร้รูปสามารถสยบกดตัวเขาเอาไว้อย่างง่ายดาย ไม่สามารถกระดิกตัวได้อีกแม้แต่น้อยนิด

“วันนี้คืองานวันเกิดของจอมเทพ ข้าไม่ต้องการให้เลือดสดๆ มาย้อมงานเลี้ยงวันเกิดให้เป็นสีแดง เสียดาย เจ้ากลับมีตาแต่หามีแววไม่ ข้าไม่ไปหาเรื่องบรรดาเหล่าสวรรค์เทพมารก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เจ้ากลับกล้าหาเรื่องถึงบนหัวข้า เจ้าว่ามาซิ มันเป็นการหาเรื่องตายใช่หรือไม่?” หลี่ชิเย่กระดกสุราเลิศรสจนหมดจอก ส่งสัญญาณให้บริกรเติมสุราให้เต็มจอก

เวลานี้ บริกรอยู่ในอาการสั่นเทาโดยตลอด เขาเดินเข้ามาเติมสุราให้กับหลี่ชิเย่จนเต็มจอกด้วยอาการสั่นเทา เกรงว่าไม่ทันระวังทำสุรากระเด็นใส่แล้วทำให้ตนเองต้องตาย

“เจ้า เจ้าเดรัจฉานน้อย เจ้า เจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า จะ จะต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง!” เวลานี้กษัตริย์เทียนหวงได้ตกใจจนถึงที่สุดเมื่อความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ร้องออกมาด้วยท่าที่แข็งนอกอ่อนใน

“งั้นหรือ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา กระดกสุราจนหมดจอกอีกครั้ง

“แน่นอน!” กษัตริย์เทียนหวงร้องกล่าวเสียงดังออกมาว่า “ลูกสาวข้าคือราชินีราชันเซียนในอนาคต มีกองทัพนับล้านในมือ มีจอมเทพสามพันคอยรับใช้ มีเหล่าจอมราชันคอยคุ้มครอง หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่เส้นขน ลูกสาวขาต้องให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝังแน่นอน! จินเก๋อลูกเขยข้าคือจอมราชันในอนาคต ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า…” เมื่อเอ่ยถึงลูกสาวและลูกเขยของตนแล้ว เขามีความกล้าเพิ่มมากขึ้น จะอย่างไรเสียเมื่อเอ่ยถึงลูกสาวและลูกเขยแล้วผู้คนจำนวนมากต่างหวั่นเกรงอยู่สามส่วน

เสียงดัง “ปัง…” กษัตริย์เทียนหวงพูดยังไม่ทันขาดคำ มือขนาดยักษ์ที่ไร้รูปพลันเพิ่มแรงกดลงไป เลือดสดๆ แตกกระเซ็นออกมา กษัตริย์เทียนหวงพลันถูกกดทับจนกลายเป็นเนื้อบด เสียชีวิตโดยไม่ทันได้ร้องออกมาสักคำ

“จินเก๋อเป็นใครรึ ไม่รู้จัก” หลังจากที่บดขยี้กษัตริย์เทียนหวงจนกลายเป็นเนื้อบดแล้ว หลี่ชิเย่ได้หั่นเนื้อวัวชิ้นหนึ่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวกลืนลงคอ

ดวงตาทั้งสองของกษัตริย์เทียนหวงที่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นเนื้อบดเบิกกว้าง ความตั้งใจเดิมของเขาคือต้องการแก้แค้นให้กับบุตรชายของตน ไม่นึกเลยว่ากลับเป็นการพ่วงเอาชีวิตของตนเพิ่มเข้าไปด้วย

ในเวลานี้ ทั่วสถานที่จัดเลี้ยงฉลองวันเกิดเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว กระทั่งไม่กล้าหายใจแรง

ในห้องจัดเลี้ยงได้ยินแต่เสียงเคี้ยวและกลืนกินอาหารอย่างช้าๆ ส่วนเสียงอื่นๆ นั้นเงียบกริบ

ความจริงแล้ว แม้แต่ตัวเผิงเย่เองในขณะนี้ขาทั้งสองข้างของเขาก็กำลังสั่นเทา เขาดูไม่ออกเลยว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ามีพลังขมุกขมัวเพียงแค่ไม่กี่พันลิตรเท่านั้นเอง แต่ แค่ขยับตัวแวบเดียวก็จัดการสังหารยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมรวดเดียวถึงสองคน กระทั่งไม่เรียกว่าเป็นการขยับตัวด้วยซ้ำ เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่ไม่ได้ขยับแม้แต่นิ้วใดนิ้วหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้จัดการกินเนื้อวัวชิ้นนั้นจนหมด เวลานี้เขาเขาได้เช็ดปากด้วยท่าทีที่สง่างาม จากนั้นลุกขึ้นยืนช้าๆ เห็นเนื้อบดสองกองบนพื้นแล้วส่ายหัวเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยความหดหู่ว่า “ฤกษ์งามยามดีแท้ๆ กลับถูกทำลายเสียนี่ วันนี้หากไม่ฆ่ามันสักหนึ่งหมื่นหรือแปดพันคน ยากที่จะทำให้ความโกรธภายในใจข้าสลายไปได้”

กล่าวจบ หลี่ชิเย่เดินตรงเข้าไปหาตงกงเจิ้ง ในขณะนี้ ตงกงเจิ้งตระหนกจนลงไปกองอยู่บนพื้น ตกใจจนกระทั่งปัสสาวะรดกางเกง ปรากฏกลิ่นเหม็นที่โชยเข้ามา

เมื่อตงกงเจิ้งเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้ามาหาตน ทำเอาตกใจจนตัวสั่นไปทั้งตัว เขาอาศัยข้อศอกยันร่างกายให้ลุกขึ้น และไถตัวเคลื่อนไปด้านหลัง

หลี่ชิเย่มองดูตงกงเจิ้งที่ตกใจจนปัสสาวะรดกางเกง เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และกล่าวว่า “พูดแบบนี้ แสดงว่าตระกูลขุนนางโบราณต้องการร่วมกับแคว้นหงส์ฟ้าฮุบเอาสมบัติของตระกูลเผิงน่ะสิ”

“ข้า ข้า ข้า เจ้า เจ้า เจ้า…” ในขณะนี้ ตงกงเจิ้งถูกทำให้ตระหนกจนฟันขบกันเป็นเสียงกึกๆ ดังออกมา คิดจะพูดคำพูดที่สมบูรณ์สักคำก็พูดไม่ออก เขากล่าวด้วยอาการสั่นเทาว่า “บรร บรร บรรพบุรุษบ้านข้าได้กลับมาแล้ว บรรพบุรุษจอมเทพกงเสินได้กลับมาแล้ว ข้า ข้า ข้า…” พูดไปครึ่งค่อนวัน ตงกงเจิ้งเอาแต่สั่นเทา แม้แต่คำพูดที่เป็นเรื่องเป็นราวก็พูดไม่ออกสักคำ

เผิงเย่ที่ได้ยินคำพูดของตงกงเจิ้งแล้วขมวดคิ้วทีหนึ่ง เขาไม่เชื่อในคำพูดของตงกงเจิ้ง เนื่องจากจอมเทพกงเสินของตระกูลขุนนางโบราณตงกงหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าเขาได้ตายไปแล้ว เห็นทีคงเป็นเพราะตงกงเจิ้งตกใจเกินไป จึงแต่งเรื่องสุ่มๆ ขึ้นมา

หลี่ชิเย่ ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา กล่าวว่า “จะเป็นจอมเทพก็ดี จอมราชันก็ช่าง คนที่ข้าต้องการสังหาร ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่ แต่ว่า เวลานี้ข้ารู้สึกคันมืออยู่บ้าง จะเข่นฆ่าเป็นการใหญ่ก็หาคนไม่ได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า เจ้าโกยให้เต็มที่ก็แล้วกัน ไปได้ไกลแค่ไหนก็ไป ถ้าหากสามารถคลาดจากสายตาของข้าไปได้ล่ะก็ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

“ข้า ข้า ข้า ข้าทำไมต้องหนี…” เวลานี้ ตงกงเจิ้งตกใจจนสมองสับสนพูดจาไม่รู้ความ

“หนีไป…” เวลานี้ หลี่ชิเย่มีสีหน้าที่บึ้งตึง ทำให้บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง

ตงกงเจิ้งร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเขาไปเอาพลังมาจากไหน วิ่งออกไปในลักษณะล้มลุกคลุกคลานอย่างรวดเร็ว นาทีนี้ตงกงเจิ้งแทบอยากให้มารดาของเขาได้ให้เขามีขาเพิ่มขึ้นอีกสักสี่ขา เขาออกวิ่งไปเต็มกำลังมุ่งตรงไปยังตระกูลขุนนางโบราณตงกงของตน

“วันนี้สมควรอาศัยเลือดสดๆ มาล้างมือคู่นี้ของข้าเสียแล้ว” ขณะที่ตงกงเจิ้งโกยอ้าวไปด้านนอก หลี่ชิเย่ได้เอ่ยเอ้อระเหยขึ้นมา กล่าวพลางได้ติดตามตงกงเจิ้งไป

คำพูดที่เอ้อระเหยของหลี่ชิเย่ ได้ทำให้ทุกคนต้องสั่นเทิ้ม ทุกคนรู้สึกได้ว่าคำพูดคำนี้ประดุจออกมาจากปากของมารร้ายอย่างนั้น ทำให้ผู้ที่ได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้วก็ต้องฝันร้าย

บรรดาแขกผู้ร่วมงานจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ ไล่ติดตามตงกงเจิ้งที่กำลังวิ่งหนีไป จึงมีแขกที่มาร่วมงานไม่สนใจแล้วว่าเป็นงานอวยพรวันเกิดแล้ว รีบเร่งติดตามไป พวกเขาอยากจะรู้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไรต่อไป

เพียงชั่วพริบตาเดียว แขกร่วมงานที่อยู่ห้องต่างทยอยกันตามออกไปจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เหลือเพียงพวกเผิงยวี่เท่านั้น

เผิงยวี่และเผิงเย่ถึงกับสบตากัน เมื่อได้สติกลับมา เผิงยวี่สั่งการออกไป แล้วรีบติดตามออกไปเช่นกัน

นาทีนี้ พวกเขาต่างได้กลิ่นคาวเลือดที่โชยเข้ามา นี่มันไม่ใช่กลิ่นคาวเลือดที่มาจากพวกกษัตริย์เทียนหวงที่กลายเป็นเนื้อบดนั่น แต่เป็นกลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแต่ไกล พวกเขาเหมือนได้เห็นภาพของการเข่นฆ่าขนานใหญ่

ตงกงเจิ้งที่ตกใจสุดขีดวิ่งหนีไปบ้านของตนอย่างไม่คิดชีวิต ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเหมือนหนึ่งเป็นคนบ้าอย่างนั้น นาทีนี้เขาไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์อันงดงามของเขาที่รักษามาโดยตลอด เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเป้าหมายคือบ้านของตน นาทีนี้กล่าวสำหรับเขาแล้ว ตระกูลขุนนางโบราณตงกงคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาแล้ว

แต่ตงกงเจิ้งกลับไม่รู้ว่า นี่คือการชักนำเอามฤตยูไปยังบ้านของตน เป็นการนำเอาภัยล้างตระกูลขุนนางโบราณตงกงของตนมา

ภายในระยะเวลาอันสั้น ตงกงเจิ้งก็ได้หนีกลับเข้าไปยังบ้านของตน เกรงว่านี่คงเป็นการวิ่งได้เร็วที่สุดในชีวิตของเขาแล้วหละ เมื่อมองเห็นประตูบ้านของตนนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดีใจอย่างที่สุด

“เร็ว เร็ว ปิดประตูเร็วเข้า ส่งสัญญาณเตือนออกไป แจ้งข่าวบรรพบุรุษ มีศัตรูมารุกราน!” นาทีแรกหลังจากที่วิ่งเข้าไปในบ้าน ตงกงเจิ้งได้ร้องเสียงแหลมดังออกมาทันที เสียงแหลมดังของเขาดังก้องไปทั่วทั้งตระกูลขุนนางโบราณตงกง

“ตึง ตึง ตึง…” นาทีนี้ ตระกูลขุนนางโบราณตงกงที่มีขนาดใหญ่โตได้ปรากฎเสียงเตือนภัยที่ดังขึ้นเป็นระลอก

ตระกูลขุนนางโบราณตงกงกินเนื้อที่กว้างขวางใหญ่โตมาก ท่าทางน่าเกรงขาม กำแพงสูงตระหง่านทะลุเมฆา ดูไปแล้วเหมือนเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่โตมโหฬารมากกว่า มีการวางเวรยามเอาไว้อย่างเข้มงวด ยากที่ใครจะก้าวล่วงล้ำได้แม้เพียงครึ่งก้าว

ในฐานะที่สายสำนักราชันเซียน แม้ว่าจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณตงกงจะตายด้วยสวรรค์ลงทัณฑ์ แต่ ธาตุแท้ภายในของพวกเขายังคงแข็งแกร่งมาก แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตระกูลขุนนางโบราณตงกงก็เหมือนเช่นตระกูลเผิงที่ตกต่ำลง แต่ในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรยังคงมีสำนักไม่กี่แห่งที่กล้าดูแคลนตระกูลขุนนางโบราณตงกงของพวกเขา

หลี่ชิเย่มาถึงด้านนอกของตระกูลขุนนางโบราณตงกงด้วยท่าทีเอ้อระเหย มีแขกผู้ร่วมงานจำนวนไม่น้อยที่ติดตามมาห่างๆ พวกเขาต่างมาดูความคึกครื้น

ความจริงแล้ว ในเวลานี้ แม้แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรจำนวนไม่น้อยก็ตามมาดูเหตุการณ์ความคึกครื้น พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่รู้ถึงรายละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลี่ชิเย่ที่ยืนพิจารณาอยู่ด้านนอกตระกูลขุนนางโบราณตงกงนิดหนึ่ง เผยรอยยิ้มเฉยเมยออกมา และกล่าวว่า “จะให้ข้าบุกเข้าไป หรือพวกเจ้าจะคุกเข่ายอมแพ้หล่ะ?”

“เจ้า เจ้า เจ้าหนู เจ้า เจ้า เจ้าอย่าได้ทำกำแหง…” ในเวลานี้ ตงกงเจิ้งปรากฎตัวอยู่บนกำแพงเมืองสูงที่อยู่ภายในในป้อมปราการ ในขณะนี้เขาดูควบคุมสติได้ดีไม่น้อย การแต่งตัวก็ดูเรียบร้อยขึ้น แต่ เวลาที่พูดกับหลี่ชิเย่ยังคงไม่มีความมั่นใจ

เวลานี้ ตงกงเจิ้งได้กลับเข้ามาอยู่ภายในบ้านของตนเองได้แล้ว เขาจึงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น และมีความกล้ามากขึ้น ตัวเขาที่ยืนอยู่บนกำแพงสูง ร้องกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้าหนู เจ้า เจ้าหากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ให้ไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ข้า ข้า ข้าก็จะไม่สืบสาวหาความทุกอย่าง ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างจะไม่ถือสากับเจ้า ไม่ ไม่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เจ้าก็จะเป็นศัตรูกับตระกูลขุนนางโบราณตงกงทั้งตระกูลเลย!”

เวลานี้ ตงกงเจิ้งพูดอะไรออกมาดูจะไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย แต่ยังคงฝืนตะโกนเสียงดังพูดคุยกับหลี่ชิเย่

ในเวลานี้เอง ด้านตระกูลขุนนางโบราณได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ ศิษย์ทุกคนต่างวิ่งไปประจำตำแหน่งของตน เข้าสู่ลักษณะของการพร้อมรบ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *