Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 3030 อยากกินมังกรตัวนี้

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 3030 อยากกินมังกรตัวนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3030 อยากกินมังกรตัวนี้

ราชันหญิงจื่อหลงรู้สึกโล่งอกอย่างสิ้นเชิง หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว นางถึงกับสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง และแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างสูง และกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ท่านที่ละเว้นและให้อภัย”

“ถ้าจะขอบคุณ สมควรขอบคุณตนเองด้วย” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เป็นเพราะเจ้าเองที่ฉลาด รู้ว่าควรจะเป็นศัตรูกับคนประเภทใด ไม่ควรเป็นศัตรูกับคนประเภทใด บางครั้งการยอมแพ้ ยอมอ่อนข้อก็ใช่จะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร”

คำพูดของหลี่ชิเย่พูดได้ตรงมาก ทำให้ราชันหญิงจื่อหลงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ แต่ว่า นางเองก็นับว่ามีความสุขุม

จะอย่างไรเสียนางก็คือระดับคงความอมตะตลอดกาลที่ปราศจากผู้ต่อกร เฉกเช่นผู้อยู่ในสถานะเช่นนาง การจะยอมอ่อนข้อนั้นใช่เป็นเรื่องง่ายดาย

แน่นอน ในทัศนะของผู้คนจำนวนมากมองว่า การที่ระดับคงความอมตะตลอดกาลที่ปราศจากผู้ต่อกรคนหนึ่งยอมแพ้ต่อ อ่อนข้อให้กับผู้อื่นนั้น เป็นเรื่องที่น่าอายอย่างยิ่ง การกระทำลักษณะเช่นนี้ถือเป็นธรนีประตูที่ก้าวข้ามได้ยากมากสำหรับในใจของระดับคงความอมตะตลอดกาลบางส่วน ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีระดับคงความอมตะตลอดกาลที่ปราศจากผู้ต่อกรบางส่วนมักจะยอมต่อสู้จนตัวตาย ก็จะไม่ยอมแพ้และอ่อนข้อให้อยู่เสมอๆ

ในด้านนี้นับว่าราชันหญิงจื่อหลงกลับจะดูสุขุมเยือกเย็นมากทีเดียว หรือจะกล่าวว่านางรู้จักกาลเทศะมากกว่า

“แหะสายเลือดตำหนักมังกรแท้จริงพวกเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ไม่เลวทีเดียว แต่ทว่า เทียบกับกระบือสุดหล่ออย่างข้าเรียกว่าห่างชั้นกันมาก ห่างชั้นมากทีเดียว” ในเวลานี้ กระบือดำขนาดใหญ่กล่าวหัวเราะแหะแหะขึ้นมา

“เจ้าก็อย่าคุยโวมากเกินไป” ขณะที่กระบือดำขนาดใหญ่กำลังลำพองตนเองอยู่นั้น หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยว่า “สายเลือดของนังหนูไม่ด้อยไปกว่าเจ้าสักเท่าไร”

“แหะอย่างน้อยก็ไม่เท่ากระบือสุดหล่ออย่างข้า ไม่เท่า ไม่เท่า” แม้ว่าถูกหลี่ชิเย่พูดเชือดเฉือนไปทีหนึ่ง แต่ว่ากระบือดำขนาดใหญ่ยังคงรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง เป็นความจริงที่สายเลือดของกระบือดำขนาดใหญ่นั้นมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

“เรื่องราวเกี่ยวกับผู้อาวุโส ผู้เยาว์เองก็ได้ยินมา” ราชันหญิงจื่อหลงวางท่าทีไว้ต่ำมาก แสดงคารวะด้วยการคำนับต่อกระบือดำขนาดใหญ่ และกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพด้านสายเลือดในอนาคต ยังต้องให้ผู้อาวุโสชี้แนะทางสว่างให้ด้วย”

ราชันหญิงจื่อหลงก็นับเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง ถือโอกาสตามน้ำอาศัยคำพูดล็อกตัวกระบือดำขนาดใหญ่เอาไว้

“แหะไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” กระบือดำขนาดใหญ่หัวเราะทีหนึ่ง ทำส่ายหัวไปมา และกล่าวว่า “ทว่า ท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สั่งสอนกระบือสุดหล่ออย่างข้าอยู่เสมอๆ ไม่มีของฟรีในโลก ข้าชี้แนะเจ้าก็ใช่จะไม่ได้ ทว่าเรื่องผลประโยชน์ก็ต้องมี เช่น มังกรตัวนี้ของเจ้า…” กล่าวพลางชี้ไปยังพาหนะของราชันหญิงจื่อหลง ซึ่งก็คือมังกรม่วงตัวนั้น

ครั้นกระบือดำขนาดใหญ่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทางอยากได้มากจนน้ำลายหก และกล่าวว่า “แหะข้าเคยกินอะไรมาหลายอย่างมากเลย แต่ว่า เฉกเช่นมังกรที่มีสายเลือดมังกรแท้จริงข้ายังไม่เคยได้กิน แม้ว่าตัวนี้จะไม่ใช่สายเลือดแท้จริง แต่ทว่า มังกรม่วงที่ตัวใหญ่ขนาดนี้นำมาตุ๋นกิน รับรองรสชาติต้องดีแน่ บำรุงชั้นเลิศนะเนี่ย”

เมื่อกระบือดำขนาดใหญ่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว น้ำลายก็ได้หยดลงมาแล้ว เหมือนว่าได้มองเห็นเนื้อมังกรตุ๋นเต็มหม้อที่ตุ๋นเสร็จแล้วอย่างนั้น

กรรร…ดุเหมือนมังกรม่วงก็ฟังรู้ถึงคำพูดของกระบือดำขนาดใหญ่ ถึงกับคำรามเสียงดังต่อกระบือดำขนาดใหญ่ทีหนึ่ง และแค้นเคืองในตัวของกระบือดำขนาดใหญ่เป็นอันมาก

“เรื่องนี้ ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้วล่ะ” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของกระบือดำขนาดใหญ่ทำเอาราชันหญิงจื่อหลงต้องอึ้ง จะอย่างไรเสียก็เป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้ถึงเจตนาร้ายของกระบือดำขนาดใหญ่

“ไม่ ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว” กระบือดำขนาดใหญ่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “เนื้อมังกรหนึ่งหม้อใหญ่นะเนี่ย ยังมีซุบเนื้อมังกรอีก เรียกว่าเลิศรสเหลือเกิน นึกถึงครั้งนั้นที่ข้าจับมังกรเจียวหลงอายุแปดแสนปีมาได้ตัวหนึ่ง รสชาตินั่น แน่นอน ย่อมเทียบไม่ได้กับมังกรม่วงตัวนี้ของเจ้าแล้ว…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว น้ำลายของเขาไหลหยดตลอดเวลา

“อาจารย์ ท่านบอกว่ากินแต่หญ้ามิใช่รึ?” เวลานี้หลิ่วเยี่ยนไป๋จึงมีคำพูดเช่นนี้โผล่ขึ้นมาคำหนึ่ง

“เป็นความจริงที่อาจารย์กินแต่หญ้า แต่ว่า ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีข้อยกเว้น บางครั้งออกเจบ้างก็สมควรอยู่ จะอย่างไรเสียควรจะบำรุงบ้าง บำรุงบ้างนะเนี่ย มิฉะนั้นแล้วอาจารย์จะมีชีวิตอยู่ได้นานเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า…” ท่าทางกระบือดำขนาดใหญ่เหมือนมีเหตุผลที่ถูกต้องและวาจาเปี่ยมด้วยสัจธรรมอย่างนั้น

“ตาเฒ่าไร้ซึ่งคุณธรรม ย่อมเป็นภัยต่อผู้อื่น” หลี่ชิเย่พูดเอ้อระเหยขึ้นมา

“ทุกท่าน ข้ายังมีธุระ ขออำลาไปก่อนชั่วคราว ยินดีต้อนรับทุกท่านไปเป็นแขกที่ตำหนักมังกรแท้จริง” เวลานี้ ราชันหญิงจื่อหลงรีบกล่าวคำอำลาต่อพวกของหลี่ชิเย่

นางชักจะเกรงกลัวบ้างเหมือนกันว่ากระบือดำขนาดใหญ่จะจับเอามังกรม่วงของนางไปตุ๋นกินจริงๆ จะอย่างไรเสียท่าทางของกระบือดำขนาดใหญ่นั่น ไม่เหมือนเป็นการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“เสียดายแล้วล่ะ เนื้อมังกรตุ๋นหนึ่งหม้อ” กระบือดำขนาดใหญ่ถึงกับปาดน้ำลายที่มุมปาก เมื่อเห็นราชันหญิงจื่อหลงขี่มังกรม่วงจากไป และพึมพำออกมา

“ผู้อาวุโส นี่ท่านทำให้แม่นางจื่อหลงต้องหลบหนีไปอย่างทุลักทุเลแล้ว” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ และส่ายหน้า

“แหะนังหนูคนนี้ฉลาดมากนะเนี่ย ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า ไม่ด้อยกว่าเจ้าเลย” กระบือดำขนาดใหญ่หัวเราะแหะแหะ และกล่าวว่า “อนาคตนางจะต้องได้เรื่องได้ราวยิ่งอย่างแน่นอน เสียดาย เจ้าไม่มีจิตใจที่ทะเยอทะยานเช่นนาง ในเรื่องของความยิ่งใหญ่เจ้าสู้นางไม่ได้”

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงดูจะนิ่งมาก อมยิ้ม และกล่าวว่า “ราชันแท้จริงเซิ่นซวงพึงพอใจแล้ว” เป็นความจริงที่นางไม่ได้มีจิตฮึกเหิมที่จะแย่งชิงความเป็นใหญ่

“นี่เป็นเพียงการใช้อำนาจบาตรใหญ่เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “หนทางยาวไกล ทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคตล้วนไม่อาจรู้ได้ เบื้องหน้าหนทางตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การช่วงชิงความเป็นใหญ่ทุกอย่างก็แค่ความว่างเปล่าเท่านั้น คล้ายเป็นความฝัน ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง”

“มันก็ใช่” กระบือดำขนาดใหญ่อดที่จะหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ก้าวจนถึงระดับความสูงเฉกเช่นท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่อะไรมันก็แค่ไม่กี่หมัด พลันสามารถทำให้หายวับไปกับตาในพริบตาได้อยู่แล้ว”

“แต่ว่า…” เวลานี้หลี่ชิเย่มองไปยังทิศทางที่ราชันหญิงจื่อหลงจากไปไกล และกล่าวว่า “เป็นความจริงที่นังหนูผู้นี้มีสิทธิ์สร้างผลงานโดดเด่นได้ เชี่ยวชาญด้านการรบ และการสังเกตวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงไป หากไม่มีอุบัติเหตุ ตำหนักมังกรแท้จริงจะต้องส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาด้วยน้ำมือของนาง”

“ถูกต้อง เพียงแต่เสียดาย ดูท่าแล้วต่อไปนี้คงไม่มีโอกาสได้กินเนื้อมังกรตุ๋นแล้ว” กระบือดำขนาดใหญ่ส่ายหน้า

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ส่ายหน้า นางมีชื่อชั้นเสมอด้วยราชันหญิงจื่อหลง ทักษะยุทธใครเหนือกว่าใครยังพูดยาก พวกนางไม่เคยได้ปะมือกันจริงจังมาก่อน แต่ว่า ในด้านของการชิงความเป็นใหญ่นั้น เป็นความจริงที่ราชันแท้จริงเซิ่นซวงเข้าใจได้เองว่านางเทียบราชันหญิงจื่อหลงไม่ได้

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงมีนิสัยรักความสงบ กล่าวสำหรับนางแล้ว การได้รั้งอยู่ที่เป่ยเยี่ยนศึกษาเต๋านางก็พึงพอใจแล้ว ไม่เคยคิดที่จะเป็นใหญ่ใต้หล้า ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า

ขบวนของพวกหลี่ชิเย่ก้าวไปข้างหน้าต่อไป พื้นที่ที่เป็นดินสีน้ำตาลตรงหน้ากว้างใหญ่ไพศาลมาก เหมือนก้าวเดินไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของมันอย่างนั้น

แต่ว่า พวกของหลี่ชิเย่ไม่ได้เร่งรีบในการเดินทาง พวกเขาก้าวเดินไปช้าๆ ไม่เพียงแต่หลี่ชิเย่เท่านั้น แม้แต่กระบือดำขนาดใหญ่ก็รับรู้ถึงพื้นดินสีน้ำตาลผืนนี้

“ที่ตรงนี้เคยเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ ไม่เพียงได้มีแค่ระดับปฐมบรรพบุรุษเพียงคนเดียวเท่านั้น อย่างน้อยต้องมีระดับปฐมบรรพบุรุษห้าคนขึ้นไป” ระหว่างที่ก้าวเดินไป กระบือดำขนาดใหญ่ได้คำนวณร่องรอยที่คงเหลืออยู่ของแผ่นดินผืนนี้ ดูจากร่องรอยกลิ่นอายที่เหลืออยู่สามารถคำนวณเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้

“ลูกอุกกาบาตยักษ์นี้สามารถไล่ย้อนไปได้นานกว่านี้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เคยมีผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า และดึกดำบรรพ์มากกว่ามาที่นี่ และถูกผู้อื่นสั่งห้ามมาก่อน”

“ถูกต้อง แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก” หลังจากที่กระบือดำขนาดใหญ่ทำการคำนวณแล้วก็ได้พยักหน้า และกล่าวว่า “การที่มันสามารถบินออกมาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่ได้ใช่จะไม่มีเหตุผล! ต้องมีคนที่ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ เป็นการทิ้งไว้ให้กับแดนสามเซียน ทิ้งไว้ให้กับทายาทรุ่นหลาน บางที ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเพื่อรอวันนี้”

หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา สำหรับบทสรุปเช่นนี้ของกระบือดำขนาดใหญ่

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงเองก็ทดลองคำนวณดูด้วยเช่นกัน แต่ว่า นางห่างชั้นเทียบไม่ได้กับความแม่นยำของหลี่ชิเย่ ดังนั้น นางจึงไม่พูดอะไรออกมาระหว่างทาง คอยฟังอยู่เงียบๆ ถือเป็นการเรียนรู้เพื่อก้าวหน้าต่อไป

หลังจากที่พวกของหลี่ชิเย่เดินไปนานมากแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงอย่างช้าๆ

เมื่อท้องฟ้ามืดลงช้าๆ นั้น บนท้องฟ้าปรากฏกลุ่มก๊าซสีดำที่ลอยเคลื่อนไป นับจากนาทีนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะกลายเป็นกระสับกระส่ายไม่สงบ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะปรากฏอย่างนั้น

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้แหละ เหมือนว่าทุกชีวิตที่อยู่บนผืนแผ่นดินสีน้ำตาลนี้ต่างเร่งรีบหนีเอาชีวิตรอด ต่างทยอยกันหลบไปยังรังที่มีความปลอดภัยมากที่สุด

นาทีนี้บรรยากาศกลับกลายเป็นอึดอัดอย่างยิ่ง กลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา เหมือนเป็นบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่จะมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ทำให้จิตใจผู้คนพลันหวาดกลัวขึ้นมา

“รีบหนีเร็ว หาศาลเจ้า” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยังคงรั้งอยู่ที่ผืนแผ่นดินผืนนี้ถึงตื่นตระหนกยิ่งนัก เมื่อมองเห็นเมฆสีดำบนท้องฟ้าที้หมือนทะลักออกมา เร่งความเร็วก้าวเดินไป่ข้างหน้า

“เพราะอะไร มีอันตรายรึ?” ยอดฝีมือที่เพิ่งจะมาถึงที่นี่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“อย่าถามให้มากความ รีบมองหาศาลเจ้าเร็ว ขืนช้าก็ต้องจบชีวิตแน่” ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาถึงที่นี่ได้ระยะหนึ่งแล้ว กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้น และเหินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเท่าที่สามารถกระทำได้

ฟิวว…เสียงลมที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรง นาทีนี้เองบนท้องฟ้าปรากฏลมปีศาจขึ้นสายหนึ่ง โดยที่ลมปีศาจสายนี้มาได้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

ภายใต้เสียงลมที่ดังฟิววนั้น บนท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหมือนกำลังจะเข้าสู่ยามค่ำคืนอย่างนั้น

ในพริบตาเดียวนั่นเอง บนท้องฟ้าปรากฏเมฆสีดำนับไม่ถ้วนที่ลอยลงมาปกคลุม เมฆสีดำที่ทั้งใหญ่และหนาพลันปกคลุมลงมา คล้ายต้องการปกคลุมพื้นที่เอาไว้ทั้งหมดอย่างนั้น และในพริบตาเดียวนั่นเอง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกคลุมร่างด้วยผ้าหุ้มที่เป็นนุ่นสีดำหนาๆ เอาไว้

“แย่แล้ว ความมืดมาแล้ว” มีผู้ร้องเสียงแหลมขึ้นมาเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ และกล่าวว่า “รีบหาศาลเจ้าเร็วเข้า ขืนช้าล่ะก็ตายแน่”

“เร็ว ข้ารู้ว่าข้างหน้ามีอยู่แห่งหนึ่ง” มียอดฝีมือที่เคยมาที่นี่ร้องเสียงดังขึ้น และออกนำหน้าไปก่อนทันที

ฟิวว…เสียงลมปีศาจดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง เมฆดำได้ปกคลุมลงมาทันที และอยู่ห่างจากพื้นดินไม่มากนัก

อ๊ากก…พริบตาเดียวนั่นเอง จากการที่ลมปีศาจพัดเข้ามานั้น เมฆดำพลันเคลื่อนเข้ามาเต็มพื้นที่เหมือนตั๊กแตนอย่างนั้น พลันกลืนกินไปทั่วฟ้าดินอย่างนั้น

ท่ามกลางเสียงร้องที่น่าเวทนา ผู้บำเพ็ญตนที่มีทักษะอ่อนด้อยพลันถูกความมืดนี้กรีดเข้าให้ จากเสียงร้องที่น่าเวทนาซึ่งดังขึ้นนั้น ในพริบตาเดียวตัวเขาเหลือเพียงโครงกระดูกขาว ไม่เหลือซึ่งเลือดเนื้ออีกเลย

เหมือนว่าในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง มีสิ่งชั่วร้ายที่น่ากลัวอะไรสักอย่างจัดการเทะเลือดเนื้อทั้งตัวของเขาไปจนไม่เหลือหลอ

“นี่มันตัวอะไรกันนะเนี่ย…” มีผู้ที่เพิ่งมาถึงเป็นครั้งแรกถึงกับตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว

“อย่าได้ลังเล รีบหนีเร็ว…” ผู้ยิ่งใหญ่คำรามเสียงยาว และร้องเสียงดังขึ้นมา

พริบตาเดียวนั่นเอง มีระดับเทพแท้จริงปราศจากผู้ต่อกรก็ถูกความมืดนี้พุ่งเข้าหา ขณะที่ความมืดดังกล่าวพุ่งเข้าไปนั้นเสมือนดั่งเป็นคลื่นที่โหมสาดซัดและท่วมจนจมมิด และเข้าชะร่างของเทพแท้จริงผู้นี้

เทพแท้จริงผู้นี้นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว มีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรคุ้มกาย แต่ว่า ขณะที่ความมืดได้ซัดเข้ามานั้นเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นานสักเท่าไร และวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็พลันถูกชะทำลายไปภายในระยะเวลาอันสั้น

……………………………………………..

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด