Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 3083 ไฟชั่วร้ายเงาคน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 3083 ไฟชั่วร้ายเงาคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3083 ไฟชั่วร้ายเงาคน

คำพูดลักษณะเช่นนี้พลันทำให้ภายในใจของผู้คนถึงกับหวั่นไหว ลองนึกภาพดู ปราชญ์กระบี่และบรรพบุรุษดาบไคเทียนต่างก็เป็นระดับปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียน ความแข็งแกร่งด้านกำลังความสามารถไม่ต้องเปรียบเปรยให้มากความ

อีกทั้งสามารถมองออกได้ว่า หากพวกเขาทั้งสองขณะยังมีชีวิตอยู่แล้วอยู่ด้วยกันล่ะก็ พวกเขาทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สามารถรักษาให้หายจนเสียชีวิตในที่สุด ลองนึกภาพดู ศัตรูที่พวกเขาเผชิญขณะมีชีวิตอยู่นั้นช่างน่ากลัวเพียงใด

ในเวลานี้ พวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงต่างนึกไปถึงปฐมบรรพบุรุษทงเสิน และทุกคนก็นึกไปถึงร่างกายที่แตกร้าวของปฐมบรรพบุรุษทงเสิน

เกรงว่าความแข็งแกร่งด้านร่างกายของปฐมบรรพบุรุษทงเสินเป็นที่รับรู้ของทุกๆ คน สุดท้ายยังคงถูกคนอื่นโจมตีจนแตกร้าว ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งเพียงใด

การที่ปฐมบรรพบุรุษทงเสินปรากฏตัวที่ภูเขาแห่งนี้ เกรงว่าขณะมีชีวิตอยู่ก็เคยอยู่ด้วยกันกับปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียน

หากว่าปฐมบรรพบุรุษทั้งสามอยู่ด้วยกัน สุดท้ายล้วนแล้วแต่ตายอนาถด้วยฝีมือคนอื่น เช่นนั้นแล้วศัตรูที่พวกเขาเผชิญช่างแข็งแกร่งเพียงใด ช่างดำรงอยู่ในฐานะสยองขวัญเช่นใด

เมื่อนึกถึงข้อนี้แล้ว พวกราชันแท้จริงเซิ่นซวงต่างใจหายใจคว่ำ พวกเขาต่างจ้องตากันและกัน

ปฐมบรรพบุรุษสามท่าน อีกทั้งพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียน สุดท้ายล้วนตายอนาถด้วยน้ำมือของศัตรู เมื่อนึกถึงข้อนี้ก็เพียงพอให้ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันแล้ว

หากข่าวเช่นนี้แพร่ออกไปให้ผู้คนทั่วหล้ารับรู้ล่ะก็มันจะเป็นเช่นใด? ในทัศนะของผู้คนใต้หล้าปฐมบรรพบุรุษคือผู้ปราศจาผู้ต่อกร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียน ยิ่งคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาล ในทัศนะของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดคือผู้ดำรงอยู่ในสถานะสูงสุด

หากจะกล่าวว่าระดับปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียนสามท่านล้วนตายอนาถภายใต้เงื้อมมือของผู้อื่น ถ้าหากผู้คนทั่วหล้าต่างรับรู้ข่าวเรื่องนี้ ผู้คนทั่วหล้าจะเชื่อหรือ?

ถ้าหากผู้คนทั่วหล้าต่างเชื่องว่าระดับปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียนสามท่านล้วนตายอนาถภายใต้ฝีมือศัตรูที่กล้าแข็ง เช่นนั้นแล้ว มันจะสร้างความสะเทือนหวั่นไหวที่น่ากลัวเช่นใด กระทั่งอาจวุ่นวายไปทั่วหล้าก็เป็นได้ ผู้คนต่างมีจิตใจที่ระส่ำระสาย ถึงตอนนั้น เกรงว่าจะมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คิดว่าวันสิ้นโลกมาแล้ว จอมวายร้ายของโลกมาเยือนแล้ว

อย่าว่าแต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าเลย เฉกเช่นราชันแท้จริงเซิ่นซวง ราชันแท้จริงหวงจุน ไท่เสวียนฟงพวกเขาผู้ซึ่งดำรงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมากพอแล้ว พวกเขาต่างยืนอยู่ในจุดสูงสุดของยอดฝีมือแล้ว

เวลานี้ ภายในใจของพวกเขาก็อดที่จะหวาดเสียวไม่ได้เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียนสามท่านยังต้องตายอนาถ หากเป็นพวกเขาที่พบเจอกับศัตรูผู้กล้าแข็งเช่นนี้ มันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาที่เป็นราชันแท้จริง ระดับคงความอมตะตลอดกาลเช่นนี้ มันเสมือนดั่งเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งลักษณะเช่นนี้

เจ้ากระบือดำขนาดใหญ่ที่มองเห็นศพของปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนที่นั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น อดพึมพำขึ้นมาว่า “มีคนสมควรแบกรับความผิดเป็นนิรันดร์ วันหน้าหากแดนลัทธิเซียนต้องล่มสลาย เขาก็คือคนบาปของแดนลัทธิเซียน!”

ภายในใจของราชันแท้จริงเซิ่นซวงหวั่นไหวทีหนึ่ง นางเข้าใจดีกับ ‘มีคน’ จากปากของกระบือดำขนาดใหญ่หมายถึงใคร

เสียงตูมดังขึ้นเสียงหนึ่ง จังหวะที่ทุกคนต่างรู้สึกหวาดเสียวขนลุกกับภาพตรงหน้านั้น จังหวะที่พวกเขาต่างมองดูศพของปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนจนเหม่อลอยอยู่นั้น บนท้องฟ้าพลันปรากฎแสงไฟแวบวับทีหนึ่งขึ้นมากะทันหัน

พวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงจึงเงยหน้าขึ้นมองทันที เห็นบนท้องฟ้าปรากฏไฟชั่วร้ายกระหย่อมหนึ่งที่แวบวับ ในพริบตาเดียวนั่นเอง ไฟชั่วร้ายสายนี้ได้ห่อหุ้มร่างเงาไว้สายหนึ่ง

ร่างเงาสายนี้ที่อยู่ท่ามกลางการห่อหุ้มของไฟชั่วร้ายยังคงเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของความเป็นผู้สยบทั่วหล้า ขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ทุกสิ่งล้วนคือมดปลวกเป็นนิรันดร์ กลิ่นอายลักษณะเช่นนั้นแม้ไม่ต้องจงใจไประเบิดออกมา ยังคงทำให้ผู้คนรับรู้มันได้อย่างชัดเจน

“เป็นเขา” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงถึงกับร้องในใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นร่างเงาที่ถูกไฟชั่วร้ายห่อหุ้มเอาไว้นั่น

ร่างเงาที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ภายในไฟชั่วร้ายก็คือคนที่ถูกเรียกวิญญาณออกมาในเรือปราบปรามไกลนั่นเอง ภายหลังถูกหนึ่งหมัดของหลี่ชิเย่ซัดจนเข้าไปอยู่ในหลุมยักษ์เหวลึกนั่น

เวลานี้ ร่างเงานี้ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่นี่ ราชันแท้จริงเซิ่นซวงสามารถจับกลิ่นอายได้สายหนึ่งขณะที่ร่างเงานี้ปรากฎตัวขึ้นมา ดูเหมือนว่าร่างเงานี้ได้กลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว

ขณะที่ร่างเงาที่ถูกไฟชั่วร้ายห่อหุ้มเอาไว้ และปรากฏตัวขึ้นที่ท้องฟ้านั้น ปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนทั้งสองที่มรณะภาพในท่านั่งสมาธิได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมกัน

พริบตาเดียวกับการที่ปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนทั้งสองที่มรณะภาพในท่านั่งสมาธิไปแล้วพลันลืมตาสองข้างขึ้นมา ทำเอาทุกคนตกใจอย่างยิ่ง แม้ว่าราชันแท้จริงหวงจุนพวกเขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ว่า ยังคงสร้างความตกใจยิ่งนัก เมื่อปฐมบรรพบุรุษสองท่านลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมากะทันหัน

พริบตาเดียวขณะคู่ดวงตาของปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนลืมตาขึ้นมานั้น ยังคงมีประกายวูบวาบ ดวงตาคู่นั้นของพวกเขาเสมือนดั่งดวงดาวเต็มท้องฟ้า หากไม่เป็นเพราะบนตัวของพวกเขาปราศจากความมีชีวิตชีวาแม้แต่น้อยนิด ผู้คนยังคิดว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่

“อาจารย์ พวกเขาฟื้นคืนชีพแล้ว” พลันที่หลิ่วเยี่ยนไป๋มองเห็นปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนสองคนลุกขึ้นยืน ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา

“ไม่ พวกเขาไม่ได้ฟื้นคืนชีพ พวกเขาตายไปแล้ว” กระบือดำขนาดใหญ่ทอดถอนใจเบาๆ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงจิตยึดติดที่ไม่สลายเท่านั้นเอง”

จังหวะระหว่างการสนทนาของกระบือดำขนาดใหญ่นั้น บรรพบุรุษดาบไคเทียนกับปราชญ์กระบี่ทั้งสองได้เหินฟ้าขึ้นไปยืนประจันหน้ากับร่างเงาที่มีไฟชั่วร้ายห่อหุ้มบนท้องฟ้า

“ต่างก็เป็นจิตยึดติดที่ไม่ตาย” ฮุ่ยชิงเสวียนทอดถอนใจเบาๆ คำหนึ่ง นางรู้ว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงสิ่งใด เมื่อมองเห็นบรรพบุรุษดาบไคเทียนกับปราชญ์กระบี่ประจันหน้ากับร่างเงาที่มีไฟชั่วร้ายห่อหุ้มอยู่

“แหะจะฉวยโอกาสที่พวกเขาตีกัน พวกเยาบุกเข้าไปยังวิหารโบราณแย่งชิงเอาของวิเศษไป” เวลานี้กระบือดำขนาดใหญ่กรอกตาที่ใหญ่เท่ากระพวนทองแดง หัวเราะแหะแหะขึ้นมา

พวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงในฐานะที่เป็นผู้เยาว์ย่อมไม่เหมาะที่จะพูดอะไร เมื่อกระบือดำขนาดใหญ่เสนออุบายเช่นนี้ขึ้นมา

“รีบทำไม ของวิเศษไม่ได้วิ่งหนีไปไหน” หลี่ชิเย่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองดูการประจันหน้าบนท้องฟ้า

“เมื่อท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าก็ตามใจแล้ว” กระบือดำขนาดใหญ่ทำหยักไหล่ทีหนึ่ง และไม่รีบร้อนจะไปแย่งชิงของวิเศษอีกแล้ว

เวลานี้ทุกคนต่างกลั้นลมายใจและมองดูสามคนที่ประจันหน้ากันบนท้องฟ้า ทุกคนต่างรู้ดีว่าศึกที่สะเทือนเลื่อนลั่นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“ท่านยังคงมาแล้ว” เวลานี้ปราชญ์กระบี่ที่ตายไปแล้วถึงกับปริปากพูดขึ้นมา

“มาแล้ว” ร่างเงาที่มีไฟชั่วร้ายห่อหุ้มเอ่ยขึ้นช้าๆ การพูดจาของเขาไม่รีบเร่ง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยแรงดึงดูด เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ซึ่งสามารถจินตนาการได้ว่า ในครั้งนั้นเขาดำรงอยู่ในฐานะที่สุดยอดยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้าเช่นใด

“กลับใจคือฟากฝั่ง” บรรพบุรุษดาบไคเทียนเปิดปากพูดขึ้นช้าๆ “อย่าทำตนเองให้ต้องเดือดร้อนอีก!”

คนตายทั้งสามคสถึงกับเปิดปากพูดคุยกัน ภาพเช่นนี้พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไม่แน่นักผู้ที่ขวัญอ่อนอาจตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

“กลับใจคือฟากฝั่ง?” ร่างเงาไฟชั่วร้ายหยุดนิดหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ฟากฝั่ง อยู่ตรงไหน? คือแสงสว่าง หรือความเป็นธรรม?”

“ฟากฝั่งก็คือแดนลัทธิเซียน” ปราชญ์กระบี่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แดนลัทธิเซียนก็คือฟากฝั่ง”

“ดังนั้น ข้าได้กลับใจแล้ว” ร่างเงาไฟชั่วร้ายกล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าเพียงค้นหาที่พักพิงสุดท้ายให้กับแดนลัทธิเซียน นี่แหละคือฟากฝั่งของข้า!”

“นี่คือสาเหตุที่ท่านยอมทำตัวตกต่ำอย่างนั้นรึ?” แววตาของบรรพบุรุษดาบไคเทียนเย็นยะเยือก ดาบยาวที่เขากอดแนบอกอยู่ร้องคำรามขึ้นทีหนึ่ง

“เดิมโลกปราศจากแสงสว่าง และปราศจากความมืด” ร่างเงาไฟชั่วร้ายกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “สิ่งเดียวที่แตกต่างคือการเลือกเท่านั้นเอง ทุกอย่างล้วนอยู่ที่จิตใจของคน!”

“หากท่านคิดว่าหาที่พักพิงสุดท้ายให้กับแดนลัทธิเซียนได้แล้ว มันผิดแล้ว” ปราชญ์กระบี่เอ่ยขึ้น ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

“แล้วท่านคิดว่าเล่า?” ร่างเงาไฟชั่วร้ายเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สวรรค์กำลังจะสูญสลาย ท่านจะอาศัยอะไรมาช่วย?”

“อาศัยดาบยาวสามฟุตในมือ สู้รบจนตายจึงเลิกรา” ท่าทีของบรรพบุรุษดาบไคเทียนดูน่าเกรงขาม เปี่ยมด้วยปณิธานดาบ ขณะที่เขาพูดคำๆ นี้ออกมานั้น ก็ได้ฟันฟ้าดินแยกออกแล้ว

“หลังจากสู้จนตัวตายไปแล้วเล่า?” ร่างเงาไฟชั่วร้ายไม่ร้อนรน พูดจาได้นิ่งเงียบมาก กระทั่งเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

“ไม่ละอายแก่ใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!” บรรพบุรุษดาบไคเทียนท่าทางเย็นชา และกล่าวว่า “ก้มเงยระหว่างฟ้าดิน ปราศจากความละอายชั่วชีวิต นี่แหละลูกผู้ชาย ยังมีสิ่งใดไม่เพียงพออีก”

“หูวิญญูชน” ร่างเงาไฟชั่วร้ายพยักหน้า และกล่าวว่า “หลังจากท่านตายแล้ว แดนลัทธิเซียนที่อยู่ข้างหลังต้องหายวับไปกับตาในพริบตา”

คำพูดของร่างเงาไฟชั่วร้ายพลันทำให้ภายในใจของพวกราชันแท้จริงเซิ่นซวงถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง ภัยพิบัติใหญ่มาถึงใช่เป็นเรื่องที่พูดกันเลื่อนลอย

“ที่ท่านเลือกให้กับแดนลัทธิเซียนใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป” ปราชญ์กระบี่กล่าวขึ้นช้าๆ

“บนโลกไม่มีอะไรถูกอะไรผิด” ร่างเงาไฟชั่วร้ายเรียบเฉย และกล่าวว่า “พยายามสุดความสามารถของข้าเท่านั้นเอง ใต้หล้าด่าข้าจะเป็นไรไป! ที่ข้าทำไป ถามใจตัวเองก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้ใต้หล้าเข้าใจ”

“ขลาดโดยไม่ทันสู้รบ!” บรรพบุรุษดาบไคเทียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “สิ่งนี้หาใช่การกระทำของฐานะเช่นพวกเรา”

“สหายผิดแล้ว” ร่างเงาไฟชั่วร้ายกล่าวว่า “ข้าเคยทุ่มเทกำลังชั่วชีวิต อาศัยพลังสูงสุดทั้งหมด พ่ายแพ้ยับเยิน ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่า เงาทมิฬที่วนเวียนอยู่เหนือท้องฟ้าแข็งแกร่งเพียงใด มีจำนวนมากน้อยเช่นใด เมื่อเปรียบกับสิ่งนั้นแล้ว พวกเราเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น”

“ต่อให้เป็นแค่มดปลวกก็ไม่ยอมแพ้!” บรรพบุรุษดาบไคเทียนกล่าวท่าทีเย็นชาว่า “ดาบยาวสามฟุตสู้จนตัวตาย!”

คำพูดลักษณะเช่นนี้ของบรรพบุรุษดาบไคเทียนอหังการทะลุอดีตปัจจุบัน ไม่ว่าใครที่ได้ฟังแล้วก็บังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา

แม้ว่าพวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงที่รับฟังการโต้ตอบของพวกเขาทั้งสามคนจะไม่สามารถบรรลุได้ทั้งหมด แต่ว่า ก็สามารถฟังออกได้ระดับหนึ่ง ทำให้รู้เรื่องมากมาย

มาวันนี้พวกเขาต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง พวกเขาต่างก็รู้ว่าพวกของบรรพบุรุษดาบไคเทียนได้พบเจอกับเรื่องราวที่น่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว

“ในเมื่อเส้นทางที่เลือกเดินไม่เหมือนกัน ย่อมไม่สามารถร่วมงานกันได้” ปราชญ์กระบี่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “มีเพียงตายเท่านั้นจึงเลิกรา!”

“วันหน้า พวกท่านล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ร่างเงาไฟชั่วร้ายส่ายหน้า และกล่าวว่า “วันนี้ พวกท่านก็หาใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

“แล้วเป็นเช่นใด?” ปราชญ์กระบี่กล่าวเรียบเฉยว่า “สิ่งที่อยู่ในนี้หาใช่ของของท่าน และท่านก็เอาไปไม่ได้”

“ซื่อสัตย์กับงาน พยายามอย่างสุดความสามารถ” ร่างเงาไฟชั่วร้ายกล่าวว่า “คำนวณของคนหรือจะสู้ลิขิตฟ้า เพียงพอแล้ว!”

“ดี เช่นนั้นแล้วก็ไม่ตายไม่เลิกรา” บรรพบุรุษดาบไคเทียนยิ้มเย็นชา อานุภาพปฐมบรรพบุรุษยิ่งใหญ่ไพศาล

“ท่านมีคำสั่งเสียหรือไม่ ให้ชนรุ่นหลังได้แพร่กันไป” ปราชญ์กระบี่เอ่ยขึ้นช้าๆ

“ไม่มี” ร่างเงาไฟชั่วร้ายนิ่งเงียบทีหนึ่ง สุดท้ายกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “อนาคตใต้หล้าล้วนด่าทอข้าก็ไม่เป็นปัญหา ไหนเลยต้องฝากคำสั่งเสีย”

“เอาเถอะ” ปราชญ์กระบี่พยักหน้า ท่าทางหนักแน่นจริงจัง รู้สึกเสียดาย และกล่าวว่า “ท่านคือตัวอย่างของพวกเรา น่าเสียดาย”

“สุดทางของวิถี มีเพียงข้าที่เป็นใหญ่” ร่างเงาไฟชั่วร้ายส่ายหัว และกล่าวว่า “ข้าระอายที่จะรับเอาไว้ สิ่งเดียวที่เสียดายก็คือ ชาตินี้ไม่สามารถก้าวถึงที่สุดของของสัจธรรม เพื่อได้เห็นสัจธรรมเซียนแท้จริง”

เวลานี้บรรพบุรุษดาบไคเทียนนิ่งเงียบ ปราชญ์กระบี่ก็นิ่งเงียบเช่นกัน

“ใครขวางข้า ตาย” สุดท้าย ร่างเงาไฟชั่วร้ายกล่าวว่า “ไม่ตายไม่เลิก!”

“ไม่ตายไม่เลิก!” เวลานี้นัยน์ตาทั้งสองของปราชญ์กระบี่ และบรรพบุรุษดาบไคเทียนเย็นชา กลิ่นอายตลบอบอวลขึ้นโดยพลัน

——————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด