Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2540 อ่อนเหลือเกิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2540 อ่อนเหลือเกิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2540 อ่อนเหลือเกิน
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเองเทพไฉไลหงส์พิษยังไม่ทันได้ต่อต้านขัดขืนก็ถูกหลี่ชิเย่สยบไปตามอารมณ์ โดยที่นางถูกสยบอยู่บนพื้นกระดิกตัวไม่ได้

“เจ้าหนู รับมือพัดของข้า…” เมื่ออวี่เหยียนเซินเห็นเทพไฉไลหงส์พิษพ่ายแพ้จึงได้ลงมือ ร้องคำรามเสียงดัง และพัดในมือก็ได้สะบัดออกไปในพริบตาเดียว

เสียงตูม…ดังสนั่นหวั่นไหว ไฟโลกันต์ดั่งคลื่นยักษ์ที่เผาผลาญหมื่นอาณาจักร ฉับพลันทั่วฟ้าดินก็ถูกไฟโลกันต์ที่น่ากลัวกลืนหายไป ไฟโลกันต์ที่ถูกพัดออกมาเช่นนี้ เท่ากับว่าอาศัยพัดเล่มเดียวพัดไปทีหนึ่งก็สามารถเผาสำนักใดสำนักหนึ่งหายวับไปกับตาในพริบตา น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียม

เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ภายใต้การเผาผลาญของไฟโลกันต์ เม็ดทรายทั้งหมดถูกเผาจนหลอมละลาย กลายเป็นลาวาเป็นก้อนๆ เหมือนหนึ่งเป็นการระเบิดของภูเขาไฟอย่างนั้น

สำหรับหลี่ชิเย่ที่อยู่ท่ามกลางไฟโลกันต์นั้น ถูกไฟโลกันต์กลืนกินเข้าไปอย่างสิ้นเชิง ไฟโลกันต์ที่ทรงพลังและน่ากลัวที่สุดก็โหมเข้าใส่หลี่ชิเย่อย่างบ้าคลั่ง เหมือนต้องการกลืนกินและเผาหลี่ชิเย่ให้ตายอย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น

จี๊ด…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่เพียงยกมือกวาดออกไปตามอารมณ์เท่านั้น ความเย็นยะเยือกสูงสุดได้สยบลงมา และทำการดับไฟโลกันต์ทั้งหมดโดยพลัน ไฟโลกันต์ที่แกร่งและรุนแรงมากกว่านี้ก็ถูกทำให้ดับลงในพริบตาเดียว ภายใต้ความเย็นยะเยือกสุดขั้วนี้ ไฟโลกันต์ที่ดั่งคลื่นยักษ์ของอวี่เหยียนเซินก็เป็นได้แค่เชื้อไฟสายหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางหิมะเต็มพื้นที่เท่านั้นเอง

ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ชิเย่เพียงอาศัยนิ้วมือจิ้มไปตามอารมณ์ น้ำแข็งเสมือนดั่งเป็นโซ่เหล็กพลันจัดการพันธนาการอวี่เหยียนเซินเอาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้

ในเวลานี้ พวกของวัวคลั่งได้พ่ายแพ้หมดทั้งสี่คน มีเพียงปิ้งจวินเท่านั้นที่ยังไม่ได้ลงมือ

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่อาศัยฝ่ามือเพียงข้างเดียวเท่านั้น ไม่มีอาวุธใดๆ ไม่มีเคล็ดวิชาใด แค่อาศัยการเคลื่อนไหวสบายๆ ก็สามารถจัดการปราบพวกของวัวคลั่งที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจนแพ้พ่าย

“นี่ก็แค่ออกแรงนิดหนึ่งเล่นเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวเรียบเฉยว่า “ถ้าหากข้าทำจริงจังล่ะก็ อย่าว่าแต่สวรรค์โจรเลย แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังกลัว”

ในเวลานี้เอง วัวคลั่งก็ดี มังกรทองแปดแขนก็ช่าง พวกเขาต่างหวาดผวาจนหน้าถอดสี สีหน้าซีดเผือด พวกเขาน่ะคือเทพแท้จริงขั้นอมตะเชียวนะ คือศัตรูผู้แข็งแกร่งของฮ่องเต้ไท่ชิง มีกำลังความสามารถแข็งแกร่งเช่นใด ไม่ต้องพูดให้มากความ

แต่ทว่า มาวันนี้ การทยอยกันลงมือต่อเนื่องของพวกเขาทั้งสี่ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ให้กับหลี่ชิเย่ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่อาศัยเพียงฝ่ามือข้างเดียวเท่านั้นเอง นั่นย่อมเป็นการบ่งบอกว่า หลี่ชิเย่แค่เคลื่อนไหวสบายๆ ก็เอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด

มันช่างเป็นกำลังความสามารถที่น่ากลัวเพียงใด ดังนั้น พวกเขาวัวคลั่ง มังกรทองแปดแขนต่างก็ตระหนักแล้วว่า พวกเขาได้พบกับผู้ที่น่ากลัวยากจะหาผู้ใดเทียมแล้ว จะอย่างไรเสีย การจะเอาชนะพวกเขาได้นั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงการอาศัยลูกเล่นและความบังเอิญ

ในเวลานี้เอง รูม่านตาของพวกวัวคลั่ง มังกรทองแปดแขนต่างหดตัวลง นาทีนี้ พวกเขาต่างไม่สามารถประเมินกำลังความสามารถของหลี่ชิเย่ได้ นี่เป็นการแซงล้ำหน้าขอบเขตของพวกเขาไป และถึงระดับลึกซึ้งยากจะหยั่งถึงแล้ว

“เจ้ายังจะลงมือหรือไม่?” หลี่ชิเย่ยืนเอามือไพล่หลัง มองดูปิ้งจวินด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีความเป็นอิสระเสรีอยู่ในใจ

“มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้จะรู้แล้วว่าต้องพ่ายแพ้ก็ได้แต่เสี่ยงดู” ในเวลานี้ ปิ้งจวินทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง พลันที่กล่าวขาดคำเขาได้โยนไม้เท้าในมือทิ้งไป

แม้ว่าเวลานี้ปิ้งจวินก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่แล้ว แม้จะกล่าวว่าตัวเขานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกของวัวคลั่งอยู่ไม่น้อย แต่ว่า ต้องสยบและเอาชนะพวกของวัวคลั่ง มังกรทองแปดแขนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงสบายๆ แบบนี้เขาไม่สามารถทำได้ เกรงว่าทั่วทั้งแดนลัทธิราชันก็ไม่มีใครสามารถทำได้

เสียงตูม…ดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะนี้เอง ปิ้งจวินปรากฏไอหมอกที่ดั่งคลื่นยักษ์พวยพุ่งออกมาทั่วทั้งตัว โดยที่ไอหมอกที่ปิ้งจวินพวยพุ่งออกมานั้นทำให้มีฝุ่นไปคลุ้งทั่ว เสมือนดั่งไอหมอกที่สลัวๆ อย่างนั้น

ในเวลานี้เอง ปิ้งจวินไม่ได้มีทีท่าที่เป็นดั่งป่วยกะปลกกะเปลี้ยอีกต่อไป นาทีนี้ ปิ้งจวินเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างนั้น ดั่งเป็นฮ่องเต้ที่อยู่จุดสูงสุด มีท่าทีที่ปกครองใต้หล้าอย่างนั้น

แม้ว่าปิ้งจวินในเวลานี้จะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้น แต่ทว่า พลังที่เขาเปล่งออกมายังคงสูงส่งด้วยอำนาจความเป็นฮ่องเต้ เหมือนเป็นฮ่องเต้มาแต่กำเนิด ปกครองหมื่นอาณาจักร ควบคุมจักรวาล

นี่แหละจึงเป็นปิ้งจวิน นี่แหละจึงเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา ส่วนท่าทางที่กะปลกกะเปลี้ยเป็นเพียงภาพที่ปรากฏเท่านั้นเอง อย่าลืมไปว่าชื่อปิ้งจวินชื่อนี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำว่า ‘ปิ้ง’ แต่อยู่ที่คำว่า ‘จวิน’ ซึ่งคำว่า ‘จวิน’ คำนี้มีความหมายว่าปกครองใต้หล้า

ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ปิ้งจวินในครั้งนั้นมีความแข็งแกร่งเช่นใด และน่ากลัวมากมายเท่าใดแล้ว

เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดแต่ละเสียงที่ดังขึ้น ยามที่ปิ้งจวินก้าวออกมาก้าวหนึ่งนั้น จากการย่างก้าวของเขานั้น เมื่อไอหมอกสีเทาเปื้อนเม็ดทรายบนพื้น ทำให้เม็ดทรายดังกล่าวเน่าเปื่อยไปทันที สมควรทราบว่าเม็ดทรายแต่ละเม็ดที่อยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่แกร่งเหมือนดังหินผลึกอย่างนั้น แต่ทว่า เมื่อเปื้อนไอหมอกสีเทาแล้วก็จะเปื่อยยุ่ยจนกลายเป็นผุยผงไป

นี่ก็คือสัจธรรมโรคระบาดเทพของปิ้งจวิน ภายใต้สัจธรรมเช่นนี้ของเขา กระทั่งเรียกได้ว่าเขาไม่ต้องอาศัยกระบวนท่าใดแม้กระบวนท่าเดียวก็สามารถทำลายล้างสำนักใดสำนักหนึ่งได้ กองทัพที่มีไพร่พลนับล้านไม่อาจรับมือกับเขาได้เลยในสายตาของเขา

“กลิ่นอายมา…” ปิ้งจวินคำรามเสียงยาว เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ไอหมอกสีเทาของเขาพุ่งขึ้นท้องฟ้า พุ่งเข้าไปบนจักรวาล ต่อให้เป็นดวงดาวแต่ละดวงที่มีขนาดใหญ่ เมื่อสัมผัสถูกกลิ่นอายสัจธรรมโรคระบาดเทพก็จะต้องกลายเป็นผุยผงในทันที ดวงดาวแต่ละดวงก็จะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว

เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา ในเวลานี้กลิ่นอายสัจธรรมโรคระบาดเทพที่น่ากลังเสมือนดั่งพายุร้ายที่พุ่งโจมตีเข้าหาหลี่ชิเย่ เหมือนต้องการจับหลี่ชิเย่ฉีกให้กลายเป็นผุยผงอย่างนั้น

พลันที่ปิ้งจวินลงมือ เขาก็เหมือนดั่งฮ่องเต้แห่งโรคระบาดที่อาละวาดไปทั่วฟ้าดิน เป็นราชาที่นำมาซึ่งการทำลายและความตาย ภาพเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นต่างตัวสั่นดั่งลูกนก

‘โรคระบาดเทพ?’ หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดๆ กับกลิ่นอายโรคระบาดเทพที่พุ่งเข้ามาหา และกล่าวว่า “เทียบกับความตายของข้าแล้ว มันก็แค่วิชาจิ๊บๆ เท่านั้นเอง” ขาดคำ นิ้วมือชี้ออกไปตามอารมณ์

แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ปลายนิ้วของหลี่ชิเย่ปรากฎมีกลิ่นอายแห่งความตายสายหนึ่งล้อมรอบ โดยที่กลิ่นอายแห่งความตายสายนี้แลดูอ่อนมาก พร้อมที่จะถูกทำลายให้ดับไปอย่างนั้น

จี๊ด จี๊ด จี๊ดเสียงแต่ละเสียงที่ดังขึ้น ทว่า ภายใต้กลิ่นอายแห่งความตายสายนี้ มองเห็นกลิ่นอายโรคระบาดเทพที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงพลันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายแห่งความตายในทันที เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แม้แต่กลิ่นอายโรคระบาดเทพก็พลันตายลงเช่นกัน กลายเป็นผงที่ปลิวกระจายออกไป

เสียงจี๊ดเสียงสุดท้ายดังขึ้น กลิ่นอายโรคระบาดเทพทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกกลิ่นอายแห่งความตายกลืนกิน โรคระบาดเทพที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้เมื่อเปรียบกับความตายแล้ว ก็ไร้ค่าคู่ควรที่จะกล่าวถึง ความตาย คือแหล่งพักพิงสุดท้ายของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็หนีไปไม่พ้น

เสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง เดิมทีปิ้งจวินคิดจะบุกขึ้นไปในก้าวเดียว แต่เขาต้องหยุดกึกในทันที ก้าวหนึ่งเหยียบพื้นพสุธาจนแหลกละเอียด เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของตนเอาไว้

เนื่องจากในขณะนี้ นิ้วมือของหลี่ชิเย่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้เอง กลิ่นอายแห่งความตายสายหนึ่งนาทีนี้กำลังส่ายไปมาอยู่บริเวณลำคอของเขา ขอเพียงเขาก้าวขึ้นไปอีกเพียงนิดเดียว กลิ่นอายแห่งความตายสายนี้ก็จะมุดเข้าไปภายในร่างกายของเขาในทันที

การที่ปิ้งจวินสามารถคิดค้นสัจธรรมโรคระบาดเทพขึ้นมาได้เอง เขาย่อมเข้าใจได้ว่า เมื่อไรที่ถูกกลิ่นอายแห่งความตายนี้มุดเข้าไปในร่างกายเมื่อใด เช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้มีพลังที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ มีเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่อาจต้านทานความตายได้

ในขณะนี้ ปิ้งจวินยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่กล้ากระดิกตัว กระทั่งกลืนน้ำลายสักคำก็ไม่กล้า เหมือนกลัวว่าหากตนเองเคลื่อนไหว กลิ่นอายแห่งความตายก็จะมุดเข้าไปภายในร่างกายของตน

ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ชิเย่พลิกฝ่ามือตามอารมณ์พลันสยบปิ้งจวินลงกับพื้นทันที

เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น พวกปิ้งจวินทั้งห้าคนก็ถูกสยบอยู่บนพื้นทั้งหมด พวกเขาทั้งห้าล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ให้กับหลี่ชิเย่ อีกทั้งหลี่ชิเย่เพียงแค่เคลื่อนไหวสบายๆ เท่านั้นเอง

นาที่นี้ สีหน้าของพวกอวี่เหยียนเซินเปลี่ยนไปมากทีเดียว และหวาดผวาอย่างยิ่ง เมื่อมองเห็นแม้แต่ปิ้งจวินก็ถูกล้ม นาทีนี้พวกเขาต่างรู้สึกสิ้นหวังเสียแล้ว

ในบรรดาพวกเขายกให้ปิ้งจวินเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งกล่าวได้ว่าปิ้งจวินคนเดียวสามารถรับมือได้สี่คน เวลานี้แม้แต่ปิ้งจวินก็ถูกหลี่ชิเย่สยบลงกับพื้น พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว ขณะที่ปิ้งจวินล้มลงกับพื้น เป็นการบ่งบอกว่าความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ได้ดับวูบลงแล้ว

“ไม่ เขาวัวของข้า…” ในเวลานี้เอง วัวคลั่งกอดเขาวัวของตนที่ถูกหักทิ้ง อดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมา

กล่าวสำหรับวัวคลั่งแล้ว เขาวัวที่ขาดไปของเขานั้นหากจะงอกขึ้นมาใหม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดาย ซึ่งแตกต่างจากแขนของมังกรทองแปดแขน แม้ว่าแขนของมังกรทองแปดแขนจะถูกฉีกขาดไป แต่ทว่า หากเขาคิดจะสร้างขึ้นมาใหม่นั้นมันง่ายกว่ากันมากทีเดียว

ขณะที่เขาวัวของเขาต้องงอกขึ้นมาทีละนิ้วๆ ใช่ว่าจะสร้างขึ้นมาได้ง่ายขนาดนั้น

“จะตายอยู่แล้ว สนใจกับเขาวัวทำไม?” มังกรทองแปดแขนอารมณ์ไม่ดีเมื่อเห็นวัวคลั่งร้องโวยวายกอดเขาวัวของตนอยู่ และกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าจะสามารถเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับลูกหลานของเจ้าอย่างนั้นรึ?”

“มันเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ…” วัวคลั่งนับว่าเป็นผู้ที่ซื่อๆ คนหนึ่ง กล่าวท่าทีจริงจังว่า “เผ่าของพวกเราสามารถทิ้งเขาวัวให้กับลูกหลาน โดยเฉพาะเขาวัวคู่นี้ของข้าคือของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้ สามารถให้ลูกหลานของข้านำไปเป็นของวิเศษประจำตระกูลได้”

พวกอวี่เหยียนเซินต่างอึ้งไปตามๆ กันเมื่อเห็นท่าทีของวัวคลั่ง เวลานี้พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อที่อยู่บนเขียงของหลี่ชิเย่แล้ว ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย พร้อมที่จะต้องตายได้ทุกเวลา ขณะที่วัวคลั่งกลับใส่ใจในเขาวัวของเขา นับว่าทำให้ผู้คนต้องอึ้งโดยแท้

“นับว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง” หลี่ชิเย่ทำท่าหาวทีหนึ่ง จ้องมองพวกของปิ้งจวินตามอารมณ์แวบหนึ่ง และกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ข้าควรจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไรดีนะ?”

“จะฆ่าจะแกงสุดแล้วแต่เจ้า จะอย่างไร ข้า วัวคลั่งใช่จะไม่เคยตายมาก่อน” วัวคลั่งที่มีนิสัยมุทะลุร้องเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า “วัวเฒ่าอย่างข้าจะไม่ร้องขอให้ละเว้นกับเจ้าอยู่แล้ว!”

“ทักษะยุทธไม่ดี พ่ายแพ้ต่อผู้อื่นไม่มีอะไรจะพูด” เทียบกับวัวคลั่งที่มุทะลุแล้ว การพูดการจาของอวี่เหยียนเซินดูจะสุภาพกว่ากัยใสก เมื่อพูดออกมาก็จะฟังดูสุภาพเรียบร้อย

“ล้วนแล้วแต่หนีความตายไม่พ้น เพียงแต่ตายช้าตายเร็วเท่านั้น” เทพไฉไลหงส์พิษก็เด็ดขาดดี และกล่าวว่า “ลงมือเถอะ ตายเร็วก็จะได้เกิดใหม่เร็วขึ้น และไม่ต้องทนทุกข์ในชีวิตที่เหลืออยู่”

“ฆ่าข้าสิ ข้าจะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย” มังกรทองแปดแขนก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า “ไหนๆ อยู่ในสถานที่บ้าบ้อเช่นนี้ก็ยากจะหนีความตายไปได้พ้น เพียงแต่ตายช้าตายเร็วเท่านั้น พวกเราล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง อนาคตรอเจ้าที่นรกอเวจีก็แล้วกัน”

“ใครบอกว่าข้าจะตายแล้ว?” หลี่ชิเย่ทำท่าหาวทีหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

“แหะ เจ้าหนู ที่นี่คือคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วล้วนแล้วแต่ยากจะหนีความตายได้พ้น เพียงแต่ตายช้าตายเร็วเท่านั้นเอง” มังกรทองแปดแขนกล่าวว่า “สรุปก็คือ เจ้าเองก็ต้องตายอยู่ที่ตรงนี้ ชาตินี้อย่าหวังจะกลับออกไปได้อีก”

…………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *