Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2561 การปรากฎตัวอีกครั้งของซุนเหลิ่งหยิ่ง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2561 การปรากฎตัวอีกครั้งของซุนเหลิ่งหยิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2561 การปรากฎตัวอีกครั้งของซุนเหลิ่งหยิ่ง
แม้ว่าจางเจี๋ยตี้จะได้รับการชื่นชมเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ จางเจี๋ยตี้ยังคงคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น ก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้น

“ทำไมรึ เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ รึ?” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะและจ้องมองไปที่จางเจี๋ยตี้

“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถึงรั้งอยู่ข้างกายฝ่าบาทก็ไม่สามารถสร้างผลงานอะไรได้ ขอฝ่าบาทส่งเสริม” จางเจี๋ยตี้ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงคำพูดหนักแน่น ดูท่าเขาได้ตัดสินใจแล้วจริงๆ

หลี่ชิเย่มองดู*จางเจี๋ยตี้พยักหน้า และกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าคิดจะลาออกจากราชการไปอยู่อย่างสันโดษ ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าอนุญาตก็แล้วกัน เจ้าสามารถไปอยู่อย่างสันโดษที่ใดก็ได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท…” ครั้นจางเจี๋ยตี้ได้รับอนุมัติจากหลี่ชิเย่แล้ว ได้ก้มกราบกับพื้น โขกศีรษะดังสามครั้งด้วยความเคารพ และเอาจริงเอาจัง ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง

“ไปเถอะ ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ” เมื่อเห็นท่าทางของจางเจี๋ยตี้แล้ว หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “หากถูกใจของวิเศษชิ้นใดในวัง ให้หยิบเอาไปได้เลย”

“ข้าน้อยซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ฝ่าบาททรงดีต่อข้าน้อยแล้ว บุญคุณนี้ประเมินค่าไม่ได้ ข้าน้อยพอใจแล้ว” จางเจี๋ยตี้กล่าวต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ

“เอาเถอะ ตามใจเจ้า” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ อนุญาตการลาออกของจางเจี๋ยตี้

“ฝ่าบาท ถนอมพระวรกายด้วย” จางเจี๋ยตี้ก้มกราบอีกครั้งด้วยความเคารพและจริงใจ

ตามหลักแล้ว ในวันนี้จางเจี๋ยตี้ยิ่งสมควรรั้งอยู่ต่อไปจึงจะถูก จะอย่างไรเสีย เขาก็คือขุนนางผู้จงรักภักดีที่อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ตลอดมา และมีความภักดีซื่อสัตย์ต่อหลี่ชิเย่มาโดยตลอด เวลานี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า หากจางเจี๋ยตี้รั้งอยู่ต่อไป ย่อมก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง ได้รับตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ แต่แล้ว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จางเจี๋ยตี้กลับขอลาออกกลับไปยังบ้านเกิด

ในสายตาของผู้คนจำนวนมากมองว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อกับการพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป แต่ว่า มีเพียงหลี่ชิเย่ที่ไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด เมื่อเห็นว่าจางเจี๋ยตี้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงไม่ได้รั้งให้อยู่ต่อ

“รักษาตัวด้วย” หลี่ชิเย่พยักหน้ากับจางเจี๋ยตี้ และไม่ได้พูดมากความอีก

หลังจากที่จางเจี๋ยตี้กราบอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงได้ลุกขึ้นและอำลาจากไป เพียงแต่ ขณะจางเจี๋ยตี้ก้าวเดินไปถึงหน้าประตูแล้วก็ได้หยุดและหันหลังกลับมา

“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยเมื่อเห็นจางเจี๋ยตี้หยุดอยู่ตรงนั้น

จางเจี๋ยติ้อ้าปากทำท่าจะพูด แต่ก็มีคำพูดบางคำพูดออกมาไม่ได้ และมีความกังวลอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

“ฝ่าบาท ขณะที่กระหม่อมหลบหนีจากไปนั้น เคยเห็นกองทัพหยินมี่ พวกเขาเฝ้าอยู่นอกระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ ล่วงเลยมาถึงวันนี้ยังคงอยู่หรือไม่กระหม่อมไม่ทราบแล้ว” หลังจากที่คำพูดนี้ได้จุกอยู่ในลำคออยู่นาน ในที่สุดจางเจี๋ยตี้ได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา

“กองทัพหยินมี่น่ะ” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ และกล่าวว่า “เรื่องอดีตนี้ออกจะเก่าไปนิดหนึ่ง ข้าเกือบจะจำไม่ได้แล้ว ช่างมันเถอะ จะเป็นกองทัพหยินมี่ก็ดี กองทัพจินมี่ก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง”

เมื่อจางเจี๋ยตี้ได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้วอ้าปากจะพูด แต่คำพูดบางคำติดอยู่ในลำคอพูดออกมาไม่ได้ สุดท้ายเขาได้แต่กล่าวออกมาแผ่วเบาว่า “ขอฝ่าบาทโปรดระวังตัว ความปลอดภัยของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งมวล เกี่ยวพันถึงความสุขและเป็นประโยชน์ต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่”

“พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้ารู้อะไรบางอย่างแล้วสิ” หลี่ชิเย่เองก็ไม่รู้สึกแปลกใจ นั่งอยู่ตรงนั้น และยิ้มกล่าวท่าทีเรียบเฉย

จางเจี๋ยตี้อยากจะพูดออกมา แต่ว่า พูดอยู่ครึ่งค่อนวันพูดไม่ออกสักคำ เนื่องจากคำพูดบางคำเขาไม่สามารถพูดออกมาได้ เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดออกมาอย่างนั้น เขาเป็นผู้ที่จงรักภักดีและซื่อสัตย์

“ฝ่าบาท ระวังตัวนิดหนึ่ง บางทีผู้ที่ไม่มีตัวตนมักจะทำให้คาดไม่ถึงอยู่เสมอๆ” สุดท้ายจางเจี๋ยตี้ได้พูดขึ้นแผ่วเบาว่า “ไม่แน่นัก พลันที่หันกลับไป คนตายก็ยืนอยู่ด้านหลัง”

“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่ชิเย่พยักหน้า และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ไปเถอะ”

“รักษาตัวด้วย” สุดท้ายจางเจี๋ยตี้ได้ทอดถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง มักมีเรื่องมากมายที่เขาจนด้วยเกล้าอยู่เสมอๆ ที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว แม้ว่ามีบางสิ่งเขาอยากจะเปิดเผยออกมา แต่ว่า เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี

ในขณะนี้ จางเจี๋ยตี้ได้คารวะอีกครั้ง จากนั้นก็ได้จากไป

หลังจากที่จางเจี๋ยตี้จากไปแล้ว หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเรียบเฉยและมองไปด้านนอก ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น

จังหวะที่หลี่ชิเย่เพิ่งจะกลับเข้าวังนั้น ณ สถานที่อีกที่หนึ่งของแดนลัทธิราชัน ซึ่งก็คือตระกูลมู่ และก็คือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อชั้นเสมอด้วยระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่

ในสถานที่ที่สำคัญของตระกูลมู่ ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมยิ่งคนหนึ่งของตระกูลมู ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่พบเห็นได้ยากยิ่งคนหนึ่ง

“เก่ากะลาอย่างข้ากำลังรู้สึกแปลกใจ วันนี้ตื่นมาแต่เช้า นกสาลิกาก็ส่งเสียงร้องจิ๊บจ๊บบนกิ่งไม้” เมื่อปรมาจารย์เห็นแขกที่มาแล้ว กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เป็นพี่ซุนนะเนี่ย ไม่ทราบว่าเป็นลมอะไรพัดเอาพี่ซุนมาถึงที่นี่ของข้าได้ นับว่าทำให้รู้สึกเหนือความคาดคิดจริงๆ”

“พี่มู่เกรงใจเกินไปแล้ว” ผู้ที่มาก็คือซุนเหลิ่งหยิ่งผู้ที่ลาออกจากราชการเนื่องจากชราภาพที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว ซุนเหลิ่งหยิ่งในขณะนี้ยังคงสวมชุดสีเทาทั้งชุด ยังคงเสมือนดั่งเป็นร่างเงาสายหนึ่ง

“ตระกูลมู่ของพวกเรารู้สึกเสียใจและระลึกถึงอย่างยิ่งต่อการสวรรคตขอฮ่องเต้ไท่ชิง” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ และกล่าวว่า “แม้ว่าท่านกับข้าสองตระกูลจะไม่ถูกกัน แต่ว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงคืออัจฉริยะบุคคลแห่งยุคที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง การกระทำเป็นที่เลื่อมใส น่าเสียดาย เนื่องจากเหตุผลบางประการ ไม่สามารถไปแสดงความไว้อาลัยและโศกเศร้าด้วยตนเองที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่”

“พี่มู่มีใจแล้ว หากฝ่าบาทในปรโลกรับรู้ได้ก็ต้องรู้สึกซาบซึ้ง” ซุนเหลิ่งหยิ่งยังคงเย็นชา เหมือนมองท่าทางเขาไม่ออก และไม่สามารถดูรู้ถึงความคิดของเขา

“ครั้งนั้น ได้ข่าวสวรรคตของฮ่องเต้ไท่ชิง ข้ายังเข้าใจว่าฮ่องเต้ไท่ชิงจะมอบอำนาจให้กับท่าน จะอย่างไรเสียพี่ซุนก็ได้ติดตามฮ่องเต้ไท่ชิงมาสามยุคสมัย ทำศึกสงครามทั่วหล้า มีผลงานโด่งดัง และมีเพียงพี่ซุนเท่านั้นที่สามารถแบกรับภาระหนักอึ้งเช่นนี้ได้” ปรมาจารย์ตระกูลมู่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ

“…ไม่นึกเลยว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงถึงกับเอาอำนาจและบัลลังก์ฮ่องเต้มอบให้กับผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อไร้เสียงคนหนึ่ง นับว่าเป็นที่น่าเสียดาย และรู้สึกไม่เป็นธรรมกับพี่ซุน ฮ่องเต้ไท่ชิงนับว่าเลอะเลือนแล้วล่ะ” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ เขาอดที่จะมีเสียงที่สะเอื้อนขึ้นมา

“ขอบคุณพี่มู่ที่รู้สึกไม่เป็นธรรม” ซุนเหลิ่งหยิ่งยังคงเย็นชาเช่นนั้น เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เรื่องราวอดีตอย่าไปเอ่ยถึงเลย ที่ข้ามาในวันนี้จะขอความช่วยเหลือจากพี่มู่บ้าง”

“พี่ซุนคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะอันดับต้นๆ ของยุคนี้ ความสูงส่งของทักษะยุทธ เกรงว่าเก่ากะลาเช่นข้าก็สู้ไม่ได้” ปรมาจารย์ตระกูลมู่ผู้นี้กล่าวแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ในมือของพี่ซุนยังมีกองทัพหยินมี่ เพียงพอที่จะเกรียงไกรเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ไร้เทียมทาน ปราศจากผู้ต่อกร ตาเฒ่าอย่างข้าเกรงว่าคงช่วยอะไรพี่ซุนไม่ได้กระมัง”

“พี่มู่ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธก็ได้” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ข้าจะไม่ให้ตระกูลมู่ช่วยเปล่าๆ ตระกูลมู่เองก็จะไม่ช่วยเหลือเปล่าๆ กับบุคคลภายนอกคนหนึ่งกระมัง”

“การลงมือของพี่ซุนต้องไม่ธรรมดาแน่” ปรมาจารย์ตระกูลมู่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ ข้าเชื่อว่าเรื่องของพี่ซุนคงไม่ง่ายดายขนาดนั่น ถ้าหากแม้แต่พี่ซุนยังจัดการไม่ได้ เกรงว่าพวกเราก็จนปัญญา”

“อย่างนั้นรึ?” ซุนเหลิ่งหยิ่งมองหน้าปรมาจารย์ตระกูลมู่แวบหนึ่ง กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดก็อยู่ตรงหน้าท่าน หรือว่าพี่มู่ไม่หวั่นไหวรึ?”

“พี่ซุนพูดเล่นแล้วล่ะ” ปรมาจารย์ตระกูลมู่หัวเราะและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าไม่ได้ไปเดินเล่นอยู่ข้างนอก แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้ กองทัพหยินมี่ได้ปิดกั้นดินแดนด้านนอกของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เอาไว้ เวลานี้บุคคลภายนอกคิดจะเข้าไปเป็นเรื่องที่ยากมาก”

“เวลานี้ข้าก็นั่งอยู่ตรงหน้าพี่มู่มิใช่รึ? เป็นแขกของตระกูลมู่มิใช่รึ?” ซุนเหลิ่งหยิ่งเอ่ยขึ้นเรียบเฉย

“คำพูดนี้ของพี่ซุนน่าสนใจ” ปรมาจารย์ตระกูลมู่อดที่จะหัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า เท่าที่ข้ารู้พี่ซุนจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงเสมอมา ข้าเชื่อว่า จุดนี้ไม่มีผู้ใดสงสัย อีกทั้งก็ไม่ต้องไปสงสัย หากจะบอกว่าพี่ซุนคิดอะไรกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เกรงว่ายากจะทำให้ผู้อื่นเชื่อ”

“เป็นความจริงที่ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท” ซุนเหลิ่งหยิ่งจ้องมองปรมาจารย์ตระกูลมู่แวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เพียงแต่ ฝ่าบาทได้สวรรคตแล้ว ดังนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังจะมีสิ่งใดให้ต้องคิดถึงเล่า?”

เมื่อซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองหน้าปรมาจารย์ตระกูลมู่ทีหนึ่ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเชื่อว่าพี่มู่ก็คงไม่ยอมพลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไป หากพี่มู่ล้มระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ล่ะก็ ข้าเชื่อว่าพี่มู่ไม่เพียงมีชื่อเสียงดี และยังได้จารึกในประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำไปตลอดกาลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถเทิดเกียรติให้แก่บรรพบุรุษ จารึกชื่ออยู่ในปรัชญาเมธีของตระกูลมู่”

“คำพูดของพี่ซุนนับว่าจูงใจผู้คนโดยแท้” ปรมาจารย์ตระกูลมู่มองหน้าซุนเหลิ่งหยิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม ส่ายหน้าและกล่าวว่า “น่าเสียดาย เกรงว่าข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ครั้นปรมาจารย์ตระกูลมู่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองหน้าซุนเหลิ่งหยิ่ง และกล่าวว่า “แม้จะกล่าวว่าดินแดนด้านนอกของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะถูกปิดกั้น แต่ว่า ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้าแล้ว เขาได้สังหารปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดเช่นโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนไปแล้ว”

ครั้นปรมาจารย์ตระกูลมู่ได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ดังนั้น ข้ารู้สึกว่าตระกูลมู่ของข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องไปผสมโรงกับน้ำครำเช่นนี้ ในเมื่อฮ่องเต้ไท่ชิงยกบัลลังก์ให้กับเขา ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า ชายหนุ่มผู้นี้มีสิ่งที่เหนือคนอื่น”

“ไม่ปฏิเสธ” ซุนเหลิ่งหยิ่งกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เป็นความจริง ที่ความแข็งแกร่งของฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่เหนือความคาดคิดของข้า ข้าได้สังหารพวกของปิงฉือเจี๋ยจุน โต้วจ้านหวง สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงเช่นกัน”

“ดังนั้น พวกเราก็จนด้วยเกล้า” ปรมาจารย์ตระกูลมู่กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุน พวกเรารู้อยู่แก่ใจ ต่อให้เก่ากะลาอย่างข้าสู้เต็มกำลังก็แค่เสมอกับโต้วจ้านหวง หรือพูดให้มันดูอาจหาญมากกว่านี้ก็แค่เหนือกว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ดังนั้น ความแข็งแกร่งของฮ่องเต้องค์ใหม่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น อยู่เหนือประมาณการของทุกคน ตระกูลมู่ของพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

เมื่อปรมาจารย์ตระกูลมู่ได้กล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง จ้องมองดูซุนเหลิ่งหยิ่ง ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “พวกเราได้แต่บอกว่าขอโทษอย่างยิ่งที่ไม่สามารถช่วยอะไรพี่ซุนได้ พี่ซุนมีความจงรักภักดีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ การที่พี่ซุนได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ในใจของพวกเราก็รู้สึกไม่เป็นธรรม”

“น้ำใจของพี่มู่ข้าน้อมรับใส่ใจ” ซุนเหลิ่งหยิ่งหัวเราะและกล่าวว่า “ดูท่าพี่มู่ยังคงเกรงกลัว ไม่กล้ากระทำการในสิ่งที่ถูกผูกมัดเอาไว้ ครั้งนั้น ขณะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ไท่ชิง พี่มู่ก็กังวลและลังเล มาวันนี้ก็เช่นกัน การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาดของพี่มู่ ทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไปเป็นจำนวนมาก”

“พี่ซุน วิธีการยั่วยุเช่นนี้เกรงว่าคงไม่บังเกิดผลอะไรกับข้า จะอย่างไรเสีย ข้าเองก็ไม่ใช่หนุ่มๆ แล้วล่ะ ใช่ว่าพอได้ฟังคำที่กระตุ้นก็ทำให้เลือดในกายสูบฉีดจนไร้สมอง เชิญพี่ซุนกลับไปเถอะ” ปรมาจารย์ตระกูลมู่หัวเราะพลางและส่ายหน้า

………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *