Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2576 แค่ตระกูลมู่เท่านั้น

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2576 แค่ตระกูลมู่เท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2576 แค่ตระกูลมู่เท่านั้น
สมควรทราบว่า เฉกเช่นสำนักอย่างนิกายซูสือนั้น มีมากมายดั่งดอกเห็ดในแดนลัทธิราชัน นับกันไม่หวั่นไม่ไหว

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในวันนี้ได้เสื่อมลงแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่มีสำนักที่แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว ขณะที่สำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็คือจวนลั่วของเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว และก็คือสำนักที่เป็นชาติกำเนิดของสวี่อิงเจี้ยนแล้ว

กล่าวได้ว่า ทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ไม่ว่าสำนักใดๆ ก็ไม่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เนื่องจากทุกๆ สำนักล้วนแล้วแต่มีกำลังที่อ่อนแอ ไม่มีใครสามารถเป็นผู้สนับสนุนให้กับใครได้

ขณะที่ตระกูลมู่คือผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน คือหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน

เฉกเช่นสำนักที่จัดตั้งเพื่อการสืบทอดอย่างตระกูลมู่นั้น ในสายตาของนิกายซูสือคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงเด่นไม่สามารถอาจเอื้อมได้ กล่าวสำหรับสำนักขนาดเล็กจำนวนมากเช่นนี้แล้ว ถ้าหากสามารถเกาะเกี่ยวกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลมูได้ล่ะก็ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล

ยิ่งไปกว่านั้น มู่เฉิงเจี๋ยคือหลานศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน เรียกได้ว่าอนาคตสดใส หากสามารถเกาะคนอย่างตระกูลมู่ได้จริงล่ะก็ กล่าวสำหรับสำนักขนาดเล็กจำนวนมากแล้ว มันคือโอกาสที่สุดยอดมาก

ดังนั้น มู่เฉิงเจี๋ยจึงเข้าใจว่าวิธีการที่ตนนำมาใช้ร้อยครั้งก็ไม่มีพลาด ในสายตาของเขามองว่า เฉกเช่นสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองหมิงลั่วเฉิง หากเขาต้องการผู้หญิงสักคนมันจะไปยากอะไร เพียงเขาสำแดงฐานะออกมา บวกกับการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์เล็กน้อย ไม่รู้ว่ามีศิษย์สาวของสำนักขนาดเล็กจำนวนเท่าไรที่ยินดีโผเข้าอ้อมกอดของตน

ดังนั้น มู่เฉิงเจี๋ยจึงเข้าใจเองว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเรื่องที่คว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย มองเห็นวัยละอ่อนงดงามและบริสุทธิ์ของหลินยี่เสวี่ยแล้ว เขาสะกดจิตใจที่ฟุ้งซ่านเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะคว้าตัวหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามาสวมกอดเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

“ไม่ต้องการ…” สำหรับการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ และเกมบังคับของมู่เฉิงเจี๋ยนั้น หลินยี่เสวี่ยปฏิเสธทันควัน

ท่าทีของหวูโหย่วเจิ้งดูหนักแน่นจริงจัง สิ่งนี้กล่าวสำหรับเขา กล่าวสำหรับนิกายซูสือแล้วหาใช่เป็นเรื่องดี วันใดล่วงเกินต่อตระกูลมู่ เกรงว่านิกายซูสือของพวกเขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากตระกูลมู่ต้องการบี้นิกายซูสือให้ตาย เรียกได้ว่าง่ายยิ่งกว่าบี้มดให้ตายสักตัวหนึ่ง

เดิมทีมู่เฉิงเจี๋ยเข้าใจว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสามารถคว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย ไม่นึกเลยว่าถึงกับถูกหญิงสาวออกปากปฏิเสธทันควัน พลันทำให้สีหน้าของมู่เฉิงเจี๋ยปั้นยากสุดๆ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้กล้าที่จะปฏิเสธตัวเขาที่เป็นถึงหลานศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน!

“สามารถเข้าไปอยู่ในตระกูลมู่ของพวกเรา นับเป็นเกียรติสูงสุด” มู่เฉิงเจี๋ยที่มีสีหน้าบึ้งตึง กล่าวขึ้นช้าๆ

หวูโหย่วเจิ้งรีบพูดรอมชอมขึ้นมาว่า “คุณชายมู่ เด็กไม่ประสา ขอคุณชายมู่อย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา” ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งไม่หวังเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ เฉกเช่นผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลมู่หาใช่นิกายซูสือของพวกเขาสามารถมีเรื่องกับพวกเขาได้

“ตาเฒ่า หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ ไสหัวไปข้างๆ เสีย” มู่เฉิงเจี๋ยไม่มองหวูโหย่วเจิ้งสักแวบด้วยซ้ำ ดวงตาทั้งสองของเขาล็อกอยู่บนตัวของหลินยี่เสวี่ย ตาทั้งสองดูเข้ม กล่าวว่า “แม่นาง คุณชายอย่างข้าจองตัวเจ้าเอาไว้แล้ว คืนนี้เจ้าจะต้องเป็นผู้หญิงของข้า เวลานี้ตามข้าไปยังทัน”

การที่มู่เฉิงเจี๋ยใช้วิธีตรงๆ และถืออำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ พลันทำให้สวี่อิงเจี้ยนที่อยู่ด้านหลังเขาถึงกับบ่นอุบในใจ แต่เขาก็จนด้วยเกล้า จะอย่างไรเสียมู่เฉิงเจี๋ยมีฐานะที่ไม่ธรรมดา เขาเองก็ได้แต่คอยรับใช้เท่านั้น

“ถุย…” สีหน้าของหลินยี่เสวี่ยเปลี่ยนไปมากทีเดียว ถึงกับสะอิดสะเอียน หลบไปอยู่ด้านหลังของหวูโหย่วเจิ้ง

“เจ้าผู้หญิงที่ไม่รักดี” มาคราวนี้มู่เฉิงเจี๋ยพลันรู้สึกอับอายจนสุดจะทนอีกแล้ว ตาทั้งสองดูเข้ม กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “เวลานี้เจ้ายอมคุณชายอย่างข้าเสียแต่โดยดียังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ หากคุณชายอย่างข้าโกรธขึ้นมาล่ะก็ นิกายซูสือพวกเจ้าก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง ถึงตอนนั้นผู้อาวุโสของพวกเจ้าส่งตัวเจ้ามาเป็นของข้าโดยเฉพาะก็สายเกินไปเสียแล้ว”

“เจ้า…” หลินยี่เสวี่ยพลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อถูกผู้อื่นเหยียดหยามถึงเพียงนี้

“สุนัขจรจัดมาจากไหน” ในเวลานี้เอง เสียงที่เอ้อระเหยของคนๆ หนึ่งดังขึ้น และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ที่ไหนเย็นสบายก็ไสหัวไปที่นั่นเสีย อย่ามาเห่ามั่วอยู่ที่นี่!”

คนที่พูดก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง เวลานี้เขานั่งอยู่ที่เดิม หลับตาพักผ่อนกายา และไม่ได้ลืมตาขึ้นมา

ในเวลานี้ ทั้งสวี่อิงเจี้ยน และมู่เฉิงเจี๋ยต่างมองไปพร้อมกัน เมื่อครู่นี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวหลี่ชิเย่ ท่าทางที่ดูธรรมดาของหลี่ชิเย่ สวี่อิงเจี้ยนยังเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของนิกายซูสือเท่านั้น

“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตายมาจากไหนกัน ถึงกับกล้ายุ่งกับเรื่องของคุณชายอย่างข้า!” พลันที่มู่เฉิงเจี๋ยมองเห็นท่าทางที่ธรรมดาของหลี่ชิเย่แล้ว ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ตาทั้งสองดูเข้ม เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวขึ้นมา กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ถึงกับกล้าล่วงเกินคุณชายอย่างข้า เวลานี้เจ้าหักแขนหักขาเองแล้วยอมรับผิดกับคุณชายอย่างข้ายังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ จะฆ่าล้างตระกูลเจ้า!”

มู่เฉิงเจี๋ยเผยโฉมที่โหดร้ายออกมา ตัวเขาเรียกได้ว่ามีผู้หนุนหลังจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ในสายตาของเขามองว่า ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่ได้มีสำนักที่เข้าท่าเลยสักสำนัก ล้วนแล้วแต่เป็นสำนักขนาดเล็กทั้งสิ้น เป็นกลุ่มผู้อ่อนแอกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง อย่าว่าแต่ลงมือโดยอาจารย์ปู่อย่างราชันแท้จริงมู่เจี้ยนเลย แม้แต่อาจารย์ของเขาลงมือก็สามารถทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นได้ทั้งหมด

ดังนั้น กล่าวสำหรับมู่เฉิงเจี๋ยแล้ว แค่นิกายซูสือเล็กๆ ไม่นับเป็นตัวอะไรได้อยู่แล้ว หากเขาต้องการได้ผู้หญิงสักคนเขาก็ต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงหรืออย่างไรก็ตาม

อีกทั้ง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นแห่งนี้ ใครกล้าขัดใจเขา เขาจะฆ่าไม่มีละเว้น!

“ตบปาก…” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น หลับตาพักผ่อนกายา เหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น

เพี๊ยะเสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งฝ่ามือที่ตบเข้าไป ปรากฏเลือดสดๆ แตกกระจาย อ๊ากกกมู่เฉิงเจี๋ยร้องเสียงน่าเวทนาออกมา ถูกตบด้วยหนึ่งฝ่ามือทำเอากระอักเป็นเลือดสดๆ ออกมาอย่างแรง ถูกหลี่ชิเย่ตบจนฟันละเอียดร่วงหมดปาก พ่นเป็นฟันที่แตกละเอียดออกมา แม้แต่ปากก็เปลี่ยนรูปไปแล้ว

“คุณชายมู่…” สวี่อิงเจี้ยนตกใจสุดขีดเมื่อเห็นมู่เฉิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บ

เมื่อมู่เฉิงเจี๋ยได้สติกลับมา สีหน้าของเขาดูไม่จืดถึงขีดสุด พลันหน้าเหมือนบิดเบี้ยวอย่างนั้น เขาร้องและคำรามเสียงดังขึ้นมา “เจ้าเดรัจฉานน้อย เจ้ากล้าตบเข้า คุณชายอย่างข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”

พลันที่กล่าวขาดคำ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง มือทั้งสองข้างของมู่เฉิงเจี๋ยได้สวมถุงมือคู่หนึ่ง แผ่นโลหะบนคู่ถุงมือพลันปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ส่งประกายแวบวับ

เสียงตูม…ดังสนั่น มู่เฉิงเจี๋ยคำรามเสียงดัง มือทั้งสองข้างซ้ายขวาตบเข้าหาเหมือนดั่งลูกตุ้มคู่ที่จะทะลุกกหูอย่างนั้น ตบไปที่ศีรษะของหลี่ชิเย่ การโจมตีลักษณะเช่นนี้มีอานุภาพไม่น้อยทีเดียว สามารถทำลายภูผา ทำให้ก้อนหินแหลกละเอียด

ในเวลานี้เอง มู่เฉิงเจี๋ยโกรธจนคลั่ง แทบอยากจะจับหลี่ชิเย่สับเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้รู้แล้วรู้รอดไป ดังนั้น พลันที่ลงมือก็ใช้พลังสุดแรงเกิด ให้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนทะลักออกมา ต้องการอาศัยหนึ่งกระบวนท่าซ้ายขวาตบจนแหลกละเอียด

เขาต้องการตบให้หัวของหลี่ชิเย่เหมือนลูกแตงโมที่ถูกทุบจนเละ จึงสามารถทำให้เขาหายแค้นได้

อย่างไรก็ตาม ไม่มีภาพของเลือดสดๆ ที่แตกกระจายอย่างที่จินตนาการ ทันใดนั้น ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอย่างนั้น สวี่อิงเจี้ยนยังเข้าใจว่าหัวของหลี่ชิเย่จะต้องถูกทุบจนเละ

เวลานี้ดูไปแล้ว เห็นเพียงแขนที่มู่เฉิงเจี๋ยจะใช้ตบเข้าที่กกหูซ้ายขวานั้นถูกหลี่ชิเย่อาศัยมือข้างเดียวก็บีบจับเอาไว้อย่างง่ายดาย เหมือนเป็นการบีบสิ่งที่เล็กน้อยไม่คู่ควรจะกล่าวถึงอย่างนั้น

“แค่มดปลวกเท่านั้นเอง กล้ามากระโดดโลดเต้นต่อหน้าข้า” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตา ขี้คร้านจะไปมองดูมู่เฉิงเจี๋ยสักครั้ง

นิ้วมือของหลี่ชิเย่เพียงออกแรงนิดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคร๊ากกก คร๊ากกก คร๊ากกกที่ดังขึ้นมา มองเห็นถุงมือคู่นั้นของมู่เฉิงเจี๋ยเริ่มแตกละเอียด

สมควรทราบว่า ถุงมือคู่นี้ของมู่เฉิงเจี๋ยเป็นถุงมือที่อาจารย์ของเขาสร้างขึ้นมากับมือ อาศัยโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าอย่างยิ่งหลอมสร้างขึ้น มีความแข็งสูงมาก แต่ว่า เวลานี้เมื่ออยู่ในมือของหลี่ชิเย่แล้วก็กรอบเหมือนดั่งขนมปังกรอบ

อ๊ากกก…ในเวลานี้ มู่เฉิงเจี๋ยอดที่จะร้องเสียงแหลมและเศร้ารันทดขึ้นมาอย่างน่าเวทนา ในขณะนี้ไม่เพียงแต่ถุงมือคู่นั้นของเขาที่กำลังแหลกละเอียด แม้แต่มือคู่นั้นของเขาก็เริ่มแหลกละเอียด เลือดสดๆ ทะลักออกมาท่วมเศษชิ้นส่วนของถุงมือจนสิ้น

คร๊ากกกเสียงกระดูกที่แตกละเอียดดังขึ้นมาไม่ขาดสาย หลี่ชิเย่เพียงใช้พลังนิดเดียว มือคู่นั้นของมู่เฉิงเจี๋ยก็ละเอียดไปอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าหนู เจ้า เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” หลังจากที่มือทั้งสองละเอียดไปแล้ว มู่เฉิงเจี๋ยคิดจะหนีไป แต่ว่า เขากลับกระดิกตัวไม่ได้ เสมือนดั่งมือขนาดยักษ์ข้างหนึ่งได้จับตัวเขาเอาไว้อย่างหนาแน่น

“ไม่รู้จัก” หลี่ชิเย่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง สงบนิ่งยิ่งน้ก และกล่าวว่า “แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้”

“อาจารย์ปู่ของข้า ข้าคือราชันแท้จริงมู่เจี้ยน เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคของแดนลัทธิราชันในยุคปัจจุบัน ตระกูลมู่ของพวกเราคือระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ปราศจากผู้ต่อกรที่สุด” เวลานี้มู่เฉิงเจี๋ยร้องเสียงดังขึ้นมา และยกเอาผู้สนับสนุนของตนออกมา

ภายในใจของเขามองว่า ดั่งเช่นเมืองหมิงลั่วเฉิงที่เป็นเมืองเล้กๆ ขอเพียงเขายกเอาตระกูลมู่ออกมา ยกเอาปรมาจารย์ของเขา ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนออกมา รับรองว่าจะต้องทำให้คยกลุ่มใหญ่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

“ตระกูลมู่ ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ข้าเคยได้ยิน” หลี่ชิเย่ ยิ้มนิดหนึ่ง ยังคงหลับตาพักผ่อนกายา

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบปล่อยตัวข้า ข้าขอสั่งเจ้าให้ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” มู่เฉิงเจี๋ยร้องเสียงแหลม และกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายข้าแม้เพียงขนสักเส้นหนึ่ง ตระกูลมู่พวกเราไม่ปล่อยเจ้าเด็ดขาด ไม่ว่าสุดหล้าฟ้าเขียว ปรมาจารย์ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย”

“คุณชาย ละเว้นเขาสักครั้งเถอะ” ในขณะนี้ หวูโหย่วเจิ้งก็ร้องขอความเมตตาแผ่วเบา เมื่อนึกถึงกองทัพใหญ่ของตระกูลมู่ยกทัพมาถึง เขาก็ต้องสั่นเทา นี่มันภัยพิบัติที่ทำให้ล่มสลายแน่นอน

“ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า สามารถเอาชีวิตคนจากระยะไกลนับล้านล้านลี้ได้ ขอท่านได้ยั้งมือด้วย” สวี่อิงเจี้ยนเองก็อดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ ถ้าหากมู่เฉิงเจี๋ยเกิดเรื่องขึ้นมาภายใต้การมาด้วยกันของเขา เขาไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ

“ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน มดปลวกเท่านั้น ตระกูลมู่ มดปลวกเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ข้าตั้งใจจะไปที่ตระกูลมู่สักครั้ง จะได้คิดบัญชีให้เต็มที่ เหยียบตระกูลมู่ให้ราบ ใช่ว่าจะมีอะไรไม่เหมาะ”

พลันที่คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่พูดออกมา ทำให้พวกของหวูโหย่วเจิ้งหวาดผวา ในใจของพวกเขา ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ตระกูลมู่ เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงเด่น เป็นผู้ยิ่งใหญ่เอื้อมไม่ถึง มาวันนี้เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับกลายเป็นมดปลวก คำพูดนี้ออกจะใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป คำพูดนี้ดูเหมือนโอหังมากเกินไปแล้วกระมัง

“เจ้าเดรัจฉานน้อย อาศัยคำพูดนี้ของเจ้าก็มีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง ฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร…”มู่เฉิงเจี๋ยถึงกับร้องเสียงบ้าคลั่งขึ้นมา

ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น มู่เฉิงเจี๋ยพูดยังไม่ทันจบ นิ้วมือของหลี่ชิเย่เพียงบีดเข้าไปเบาๆ เท่านั้น ก็ถูกบีบจนกลายเป็นหมอกเลือด โดยหมอกเลือดก้อนนี้ได้ลอไปตามลม

“แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น หนวกหู” หลังจากหลี่ชิเย่จัดการบีบมู่เฉิงเจี๋ยจนกลายเป็นหมอกเลือดแล้ว ได้เอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา

พวกของหวูโหย่วเจิ้งต่างรู้สึกตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่างก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เมื่อมองเห็นมู่เฉิงเจี๋ยถูกบีบจนกลายเป็นหมอกเลือดโดยพลัน

………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *