Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2599 คนตายฟื้นคืนชีพ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2599 คนตายฟื้นคืนชีพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2599 คนตายฟื้นคืนชีพ

ตำหนักทองแดงตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ดูมีความเคร่งขรึมน่าเคารพและโอ่อ่าน่าเกรงขาม เสมือนดั่งเป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีอำนาจสูงสุดสมัยดึกดำบรรพ์อย่างนั้น ตำหนักทองแดงศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้เปล่งประกายเจิดจ้าละลานตาออกมา เหมือนว่าตำหนักทองแดงศักดิ์สิทธิ์หลังนี้ไม่ใช่ของโลกใบนี้ คล้ายลงมาจากแดนสวรรค์อย่างนั้น

ตำหนักทองแดงศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้สร้างขึ้นโดยอาศัยโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ที่สุด ยิ่งกว่าผ่านการทุบตีเป็นร้อยครั้งพันครั้งเสียอีก ไม่เพียงไม่มีเศษสิ่งเจือปนแม้แต่น้อยนิด มันยังเป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์มากที่สุดนำมาหลอมกลั่นอีกครั้ง เรียกได้ว่าได้ล้ำเกินไปกว่าตัวของโลหะศักดิ์สิทธิ์เองไปแล้ว

ลองนึกภาพดู ด้วยตัวตำหนักทองแดงที่หลังขนาดใหญ่เช่นนี้ ประกอบด้วยวัตถุดิบที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่เท่าใด ดังนั้น จิตวิญญาณที่แผ่กระจายออกมาจึงมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก มีพลังในการสยบจิตใจของผู้คนได้ เมื่อยืนอยู่ด้านหน้าของตำหนักทองแดงเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนบังเกิดอารมณ์อยากจะเข้ากราบสามครั้งโขกศีรษะเก้าครั้ง

ตำหนักทองแดงแลดูเป็นประกายเคลื่อนไหวและสีสันที่เอ่อล้น ทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะใจเต้นตูมตามไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาปรมาจารย์ด้านการหลอมสร้างอาวุธ เมื่อได้เห็นตำหนักทองแดงลักษณะเช่นนี้แล้วอดที่จำกลืนน้ำลายลงคอคำหนึ่ง กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่สามารถครอบครองวัตถุดิบที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้อยู่แล้ว ถ้าหากพวกเขาได้ครอบครองวัตถุดิบเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยของตำหนักทองแดงนี้ ด้วยวัตถุดิบที่เป็นเพียงริมขอบเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถหลอมสร้างเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดขึ้นมาได้

“อากาศร้อนอบอ้าวนัก ก็ดี จะได้มีสถานที่ที่สำหรับหลบร้อนตากลมที่ดีสักแห่ง” หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ปล่อยตำหนักทองแดงลงมาแล้ว ดูจะพึงพอใจอย่างยิ่ง ตบมือและหัวเราะขึ้นมา

คำพูดลักษณะเช่นนี้พลันทำให้ทุกคนต้องอึ้ง ทุกคนล้วนแล้วแต่ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่งของโลหะศักดิ์สิทธิ์นำมาสร้างเป็นตำหนักทองแดงหลังหนึ่ง มันก็เรียกว่าสิ้นเปลืองและเป็นการถลุงเงินดั่งเบี้ยมากพอแล้ว

ที่ใช้เงินเป็นเบี้ยมากยิ่งกว่าก็คือ ถึงกับใช้ตำหนักทองแดงลักษณะเช่นนี้มาหลบร้อนตากลม มันช่างเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมากเหลือเกิน

ตำหนักทองแดงหลังเช่นนี้เรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ หรือราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ครอบครองตำหนักทองแดงลักษณะเช่นนี้มาเป็นพระตำหนักเพื่อการพักผ่อนเป็นครั้งคราว ถ้าหากมีตำหนักทองแดงลักษณะเช่นนี้มาเป็นตำหนักที่ไว้พักผ่อนชั่วคราวจริงล่ะก็ ย่อมเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง สามารถเป็นของล้ำค่าประจำตระกูลเลยทีเดียว

ทว่า ด้วยตำหนักทองแดงที่ประเมินค่าไม่ได้หลังนี้ หลี่ชิเย่เพียงแค่นำมาใช้หลบร้อนตากลมเท่านั้นเอง สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นสุดจะจินตนาการได้ ไม่สามารถประเมินได้ การใช้เงินดั่งเบี้ยเช่นนี้ได้เกินกว่าความรู้ทั่วไป่ของคนทั่วไปแล้ว มันเกินเลยกว่าขอบเขตการจินตนาการของทุกๆ คนไปแล้ว

ในเวลานี้ ทุกคนนอกจากยิ้มเจื่อนๆ แล้ว ก็คืออึ้งไปเลย บางทีอาจมีเพียงคนที่เหมือนเช่นคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นจึงใช้เงินเป็นเบี้ยเช่นนี้ และกระทำการฟุ่มเฟือยด้วยการเอาตำหนักทองแดงลักษณะเช่นนี้มาเป็นสถานที่สำหรับหลบร้อนตากลมแล้ว

หลี่ชิเย่ร่อนลงมาอย่างช้าๆ หวูโหย่วเจิ้ง และหลินยี่เสวี่ยรู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นเท้าทั้งสองข้างของหลี่ชิเย่แตะพื้น พวกเขาก้มกราบกับพื้นไม่อาจลุกขึ้นอยู่เป็นเวลานาน

“ขอบคุณคุณชาย คุณชายคือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของเมืองหมิงลั่วเฉิง เป็นพระเจ้าผู้ช่วยโลกของเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรา คุณชายได้ช่วยราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรา ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะทดแทน ได้แต่เป็นม้าเป็นควาย ทำงานให้กับคุณชายทุกชาติไป…” หวูโหย่วเจิ้งที่ก้มกราบอยู่กับพื้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหลล้นเบ้าตา หากไม่มีหลี่ชิเย่ อย่าว่าแต่เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขา แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียว

มาวันนี้ได้หลี่ชิเย่ลงมือ เป็นการบ่งบอกว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาได้รับการประกันแล้ว ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเขาได้รับการประกันแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนดั่งเนื้อบนเขียงที่สุดแต่ผู้คนจะเชือดเฉือนตามอำเภอใจ

“บนโลกไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก คนอื่นช่วยเจ้าได้ชั่วคราวก็ช่วยเจ้าตลอดไปไม่ได้ ท้ายสุดแล้วยังคงต้องพึ่งตนเอง” หลี่ชิเย่มองดูหวูโหย่วเจิ้งศิษย์อาจารย์ทีหนึ่ง และกล่าวท่าทีเฉยเมย จากนั้นหันหลังก้าวเดินเข้าไปในตำหนักทองแดง

ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งยังคงซาบซึ้งอย่างยิ่งแม้หลี่ชิเย่จะพูดเช่นนี้ก็ตาม กราบสามครั้งโขกศีรษะเก้าครั้ง สุดท้าย ค่อยลุกขึ้นยืนและก้าวตามหลี่ชิเย่เข้าไปในตำหนักทองแดง

“สิ้นสุดกันแล้ว” มีผู้ที่พูดแผ่วเบาขึ้นมาเมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่หนีไปบนท้องฟ้าจึงค่อยๆ เหินฟ้าลงมายังเมืองหมิงลั่วเฉิงช้าๆ และรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

ความจริงแล้วการศึกเมื่อครู่กินเวลาสั้นมาก นับแต่หลี่ชิเย่ลงมือถึงสงครามปิดฉากลง มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง

แต่ทว่า ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้เอง เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนมากเหลือเกิน สิบวัชระตายอย่างอนาถ กองเรือรบทั้งกองของฉางจินต้งหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว เรื่องเช่นนี้หากแพร่ออกไป เป็นความจริงที่เป็นเรื่องสร้างความสะเทือนหวั่นไปทั่วทั้งแดนลัทธิราชันแน่นอน

หลังจากเหตุการณ์ที่สะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้สิ้นสุดลงแล้ว เมืองหมิงลั่วเฉิงที่เดิมคึกคักก็เงียบสงบขึ้นอีกครั้ง ก่อนหน้านั้น หลังจากที่มีสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจากภายนอกจำนวนเท่าไรมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ช่างเป็นสภาพที่คึกคักเช่นใด แต่ในขณะนี้กลับกลายเป็นเงียบสงบยิ่งนัก

ก่อนหน้านั้น มีสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนเท่าไรหลังจากมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ช่างโอหังอวดดี และใช้อำนาจบาตรใหญ่อะไรขนาดนั้น พูดได้อย่างต็มปากว่า ยอดฝีมือจำนวนมากของสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจากภายนอกหลังจากมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว เรียกได้ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่เดินเกะกะขวางทางเหมือนดั่งปูอย่างนั้น ขณะเดินอยู่บนถนนเรียกได้ว่าเดินขวางทั้งนั้น ทำตามอำเภอใจชัดๆ

เนื่องจากกล่าวสำหรับบรรดายอดฝีมือของสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจากภายนอก พวกเขาไม่เคยมองราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่ในสายตา ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นได้ตกต่ำลงแล้ว เฉกเช่นราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงในสายตาของพวกเขามีสถานะเสมือนดั่งมดปลวกโดยแท้

ดังนั้น หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว สำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิบางแห่งจ่ายเงินจัดการซื้อเอาพื้นที่ของราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงโดยตรง โดยไม่สนใจว่าจะยินยอมขายหรือไม่ การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นวิธีการที่มีวัฒนธรรมมากแล้ว ที่โหดมากกว่านี้ก็คือจัดการขับไล่ราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงออกไป แล้วอาศัยกำลังยึดพื้นที่และบ้านเรือนของพวกเขาโดยตรง

เนื่องด้วยถึงแม้พวกเขาจะใช้กำลังแย่งชิงเอาบ้านและพื้นที่ของราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงก็ตาม บรรดาราษฎร และผู้บำเพ็ญตนดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงก็จนด้วยเกล้า หากยังกล้าบ่นทำให้พวกเขาพาลโกรธขึ้นมา ก็จะถูกสังหารไป

เนื่องเพราะการตกต่ำลงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นนี่เอง ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกยโส ใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทำการแยกดินแดน และหรือตีเส้นยึดครองเอามาเป็นพื้นที่ของตนตามอารมณ์

ฉางจินต้งก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด พลันที่มาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงก็ทิ้งกระสวยสัญลักษณ์ลงมา ทำการตีเส้นยึดครองพื้นที่จำนวนมหาศาลมาเป็นของตน นั่นเป็นเพราะเขาไม่เห็นคนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นอยู่ในสายตา ไม่มีใครสามารถต่อต้านพวกเขาได้อยู่แล้ว หากเปลี่ยนเป็นไปที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ หรือระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของตระกูลหลี่ และหรือระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของตระกูลมู่ พวกเขากล้าหรือเปล่าที่จะทำเช่นนี้

ทว่า มาวันนี้หลังจากที่หลี่ชิเย่แค่พลิกฝ่ามือก็จัดการทำลายกองเรือรบของฉางจินต้งอย่างง่ายดาย เข่นฆ่าสังหารสิบวัชระไปแล้ว บรรดาเหล่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกพลันกลับกลายเป็นสงบเงียบขึ้นมาทันที หลังจากมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน เหล่านี้เริ่มปฏิบัติตัวดีไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีไม่กี่คนที่กล้าทำเหมือนเช่นตอนแรกที่ตีเส้นยึดครองพื้นที่มาเป็นของตน

กระทั่งมีบางคนที่เคยยึดครองพื้นที่ บ้านเรืองของราษฎร และหรือผู้บำเพ็ญตนพื้นเมืองก่อนหน้าก็ย้ายออกไปอย่างเงียบๆ และคืนพื้นที่ บ้านเรืองให้กับเจ้าของเดิม

เป็นความจริงที่หลี่ชิเย่ลงมือสังหารสิ้นกองเรือรบของฉางจินต้งทั้งหมด ได้สยบสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่มาจากภายนอก เนื่องจากฉางจินต้งที่นำมาซึ่งภัยถูกสังหาร และกองเรือรบถูกทำลายทั้งหมดก็เป็นเพราะตีเส้นกำหนดพื้นที่อย่างยโส และรื้อบ้านไม้ของหลี่ชิเย่ทิ้งนั่นเอง

ดังนั้น บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้วเคยกระทำการอันธพาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ หลังจากถูกหลี่ชิเย่สยบแล้วก็กลับกลายเป็นน่ารัก และประพฤติตัวดีไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานเช่นนั้นอีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณซากปรักหักพังเทียนยวี่นไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักและระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ที่แข็งแกร่งเช่นใด กระทั่งเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ซากปรักหักพังเทียนยวี่น ขณะที่ทุกคนต้องเดินผ่านซากปรักหักพังเทียนยวี่นต่างเดินอ้อมไปหนึ่งรอบใหญ่ เดินอ้อมไปจากบริเวณซากปรักหักพังนี้ไป

พวกเขาไม่กล้าไปรบกวนหลี่ชิเย่ และไม่กล้าทำความแตกตื่นให้กับหลี่ชิเย่ ฉางจินต้งก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด สิบวัชระที่แข็งแกร่งยิ่ง และกองเรือรบที่ปราศจากผู้ต่อกร สุดท้ายมิใช่หายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียว ก็เพราะไปหาเรื่องกับหลี่ชิเย่รึ?

ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ต้องการให้สำนักของตนถูกทำลายเพียงเพราะหลี่ชิเย่พาลโกรธขึ้นมา ยอมหลบไปให้ไกลๆ แต่โดยดี ไม่กล้าไปหาเรื่องพวกเขา ยิ่งไม่กล้าคิดวางแผนต่อตำหนักทองแดงนั่น

ยามค่ำคืน ดูเงียบสงัด เมืองหมิงลั่วเฉิงแลดูเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีโคมไฟที่ส่องสว่างไปทุกที่ แต่ว่า ทุกคนดูจะสงบเงียบอย่างยิ่ง ไม่ได้มีลักษณะของบรรยากาศที่คึกคัก และสับสนวุ่นวาย

คร๊ากกก…ภายใต้ความเงียบสงัดนี้ นอกเมืองหมิงลั่วเฉิงปรากฏมีพื้นดินที่ปริแยกออก ท่ามกลางพื้นแผ่นดินที่ปริแยกออกมานั้นถึงกับมีคนผู้หนึ่งที่คลานออกมา

ไม่ถูก นี่หาใช่เป็นคนผู้หนึ่ง แต่เป็นซากศพๆ หนึ่ง ซากศพดังกล่าวนี้ล้อมรอบด้วยกลิ่นอายสีเทา กลิ่นอายสีเทานี้ใกล้เคียงเกือบจะเป็นสีดำ เหมือนว่าเป็นการวิวัฒนาการจากกลิ่นอายสีดำ

ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน กลิ่นอายสีเทานี้เสมือนหนึ่งกลมกลืนเข้าไปกับสภาพแวดล้อม ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน

หลังจากที่ซากศพลักษณะเช่นนี้โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินแล้ว ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงช้าๆ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขาแผ่วเบาและช้า แต่ความเร็วไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย เร็วกว่าผู้บำเพ็ญตนทั่วไปมากทีเดียว

ซากซากศพลักษณะเช่นนี้กำดาบยาวเดินทางเข้าสู่เมืองหมิงลั่วเฉิง แต่ทว่าร่างกายของเขามีครบสามสิบสอง แลดูเหมือนไม่ได้แตกต่างไปจากคนเป็นๆ คนหนึ่ง ในเวลานี้ยังไม่มีเคยสังเกตเห็นว่ามันเป็นซากซากศพ

ความจริงแล้ว ระยะนี้เมืองหมิงลั่วเฉิงมีบุคคลภายนอกเข้ามากันมากมายเหลือเกิน จะมีใครไปสังเกตเห็นซากศพลักษณะเช่นนี้กันเล่า

ช่าาาเสียงหนึ่งดังขึ้น ในบริเวณพื้นที่รกร้าง มีดินที่คลายตัวออก มองเห็นมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาจากใต้พื้นดิน ตามติดด้วยคนๆ หนึ่งที่โผล่ขึ้นมาจากดินที่คลายตัวออกมา ไม่ใช่ ยังคงเป็นซากศพๆ หนึ่ง

หลังจากที่ซากศพลักษณะเช่นนี้ได้คลานออกมาจากใต้ดินแล้ว ก็เดินทางเข้าสู่เมืองหมิงลั่วเฉิงช้าๆ เช่นกัน

เสียงปังดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง บริเวณที่เป็นกองหินทับถมกันอยู่ก็มีซากศพที่สวมชุดเกราะลุกขึ้นมา ถือทวนยากอยู่ในมือ เดินทางเข้าสู่เมืองหมิงลั่วเฉิงด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญ

ความจริงแล้ว ไม่เพียงแค่ด้านนอกของเมืองหมิงลั่วเฉิงที่มีซากศพลุกขึ้นมา ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงเอง ตามซอกมุมของกำแพงปรากฎเสียงตุบดังขึ้น ปรากฏซากศพที่มุดออกมาจากภายในผนังกำแพง

ภายในบ้านที่อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ได้ยินเสียงช่าาาดังขึ้น ปรากฏซากศพที่มุดออกมาจากใต้พื้นดิน และมีบางส่วนที่มุดออกมาจากผนังกำแพง กระทั่งบางส่วนมุดออกมาจากลำต้นของต้นไม้

ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ ผู้คนที่อยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิง ไม่ว่าจะเป็นราษฎร ผู้บำเพ็ญตนพื้นเมือง หรือจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอก ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครพบเห็นว่ามีซากศพได้ปะปนเข้ามาแล้ว

…………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *