Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2605 ตายเพราะโลภ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2605 ตายเพราะโลภ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2605 ตายเพราะโลภ

เพียงชั่วข้ามคืน ผีดิบไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมสูงมาก หากเป็นก่อนหน้านั้น การปรากฏตัวของผีดิบบางทีอาจทำให้ผู้คนต้องร้องเสียงแหลมดังขึ้นมา และสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน

แต่ว่า เวลานี้หลังจากที่ผีดิบปรากฏตัวขึ้นแล้ว แน่นอนที่สุด มันยังคงทำให้ผู้คนต้องร้องเสียงแหลมดังขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่ไม่ใช่เสียงแหลมดังของความหวาดกลัว แต่เป็นเสียงแหลมดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เนื่องจากขอเพียงมีผีดิบปรากฎตัว นั่นเป็นการบ่งบอกว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้มาเยือนแล้ว จะได้ร่ำรวยกันแล้ว

ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าที่หนึ่งที่ใดปรากฏผีดิบออกมา ก็จะมีผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนตาสองข้างลุกวาว แห่กันไปเหมือนอาการคึกคัก คลั่งไคล้อย่างยิ่ง

แรกทีเดียว ผีดิบยังไม่ได้เป็นที่นิยมขนาดนั้น แม้จะกล่าวว่าผู้คนจำนวนมากต่างก็รู้ว่าก้อนหินสีดำที่อยู่ภายในร่างของผีดิบสามารถเพิ่มพลังวัตรได้ แต่กล่าวสำหรับยอดฝีมือส่วนใหญ่แล้วยังมีผลไม่มาก พวกเขายังไม่ได้ต้องการหินผีดิบสีดำร้อนแรงขนาดนั้น

แต่ว่า เมื่อมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ออกตัวรับซื้อหินผีดิบสีดำด้วยราคาสูง พลันเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไปทั้งหมดทันที หินผีดิบสีดำพลันสำคัญขึ้นมาทันที และราคาก็เพิ่มสูงขึ้นๆ โดยเฉพาะภายใต้การจงใจปลุกระดมของคนบางคน ยิ่งทำให้หินผีดิบสีดำมีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง

“ได้ยินมาว่า หินผีดิบสีดำมีความสัมพันธ์กับศิลาเซียนเป็นอันมาก” ในเวลานี้ ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงปรากฎข่าวลือขึ้นมาว่า “หินสีดำที่อยู่ในตัวผีดิบก็คือส่วนที่เป็นเศษเสี้ยวของศิลาเซียน เนื่องเพราะผีดิบเหล่านี้ได้กลืนกินส่วนที่เป็นเศษเสี้ยวของศิลาเซียนเข้าไป จึงส่งผลให้พวกมันตายแล้วฟื้นคืนชีพ เล่าลือกันว่า ศิลาเซียนเม็ดนี้ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเป็นสิ่งที่เซียนได้ทิ้งเอาไว้ให้ สามารถทำให้เป็นอมตะได้…”

ครั้นข่าวลือลักษณะเช่นนี้ได้แพร่กระจายออกมาแล้ว ทำให้ทั่วเมืองหมิงลั่วเฉิงยิ่งคลั่งไคล้หนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก ก่อนหน้านั้น บรรดาระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบางส่วนที่วางท่าทีในฐานะผู้ชมต่างเข้าร่วมขบวนการกักตุนหินผีดิบสีดำกันแล้ว

ขอเพียงเกี่ยวข้องกับความลึกซึ้งยอดเยี่ยมด้านอายุวัฒนะ ไม่ว่าจะเป็นระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะใดๆ ที่มีอายุมากแล้วก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ พวกเขาที่เป็นประเภทไม้ใกล้ฝั่งย่อมกระหายอยากที่จะมีความเป็นอมตะมากกว่าใครอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากทยอยกันเข้าร่วมในขบวนการกักตุนหินผีดิบสีดำ ส่งผลให้ราคาของหินผีดิบสีดำพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งภายในชั่วข้ามคืน ทำให้ราคาสูงขึ้นเกินไปถึงขีดสูงสุด

เมื่อมีผลประโยชน์ก็ย่อมมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ดังนั้นทุกครั้งที่ผีดิบปรากฏขึ้นก็จะนำมาซึ่งการต่อสู้ด้วยอาวุธ นำมาซึ่งความขัดแย้งจำนวนไม่น้อย ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยเรียกว่าลงมือกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงหินผีดิบสีดำ

กระทั่งมีข่าวลือที่แพร่สะพัดออกมาอย่างบ้าบิ่นว่า “หากรับประทานหินผีดิบสีดำได้ปริมาณที่มากพอ จะยืดอายุขัยให้ยืนยาวออกไป…”

ในเวลานี้ ข่าวลือต่างๆ นานาได้แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งในเมืองหมิงลั่วเฉิง สรุปก็คือ ผีดิบที่ทำให้ผู้คนต้องส่งเสียงร้องแหลมดังด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในตอนแรก เวลานี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงร้องแหลมดังออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

หลี่ชิเย่ที่อยู่ภายในตำหนักทองแดงไม่สนใจเรื่องราวต่างๆ เขาหลับตาครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ปล่อยจิตให้ล่องลอยออกไป เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินข่าวว่าหินผีดิบสีดำสามารถเพิ่มพลังวัตร สามารถเพิ่มอายุขัยให้ยืนยาวขึ้น เขายิ้มนิดหนึ่งและเอ่ยเรียบเฉยขึ้นว่า “ไม่รู้จักคำว่าตาย เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อบนเขียงแล้ว”

“หรือว่า หินผีดิบสีดำมีพิษ?” หวูโหย่วเจิ้งรู้สึกตะลึงงัน แต่ว่า เมื่อเขานึกถึงกลิ่นอายที่ชั่วร้ายแบบนั้นของหินผีดิบสีดำแล้ว เขาก็รู้สึกว่าใช่จะเป็นไปไม่ได้

“มีพิษหรือไม่ก็ไม่รู้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แต่ว่า คำพูดนี้ก็ไม่ผิด เจ้าสิ่งนี้เป็นยาบำรุงได้จริง และสามารถเพิ่มพลังวัตร ยืดอายุขัยได้จริง”

“มันมีผลข้างเคียงอย่างไรรึ?” หวูโหย่วเจิ้งก็ได้ข่าวมา เวลานี้หินผีดิบสีดำก้อนหนึ่งมีราคาสูงลิ่วในท้องตลาด ถ้าหากว่าเขาพบเจอกับผีดิบตนหนึ่งก็สามารถได้กำไรมาก้อนหนึ่ง

“เจ้าตกปลาต้องอาศัยเหยื่อหรือไม่?” หลี่ชิเย่มองหน้าหวูโหย่วเจิ้งทีหนึ่งและเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา

หวูโหย่วเจิ้งตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา พลันเข้าใจคำพูดของหลี่ชิเย่ หวาดผวาจนหน้าถอดสี ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “ความหมายของคุณชาย หินผีดิบสีดำนี่ นี่…”

หวูโหย่วเจิ้งถึงกับสั่นเทา และหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว เมื่อนึกถึงภาพของกลิ่นอายชั่วร้ายนี้น่ากลัวแบบนั้น ขณะหลี่ชิเย่ขัดหินผีดิบสีดำออกมา

หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไร เพียงหลับตาลงช้าๆ เท่านั้นเอง เสมือนดั่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น

ผีดิบกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการอย่างยิ่ง และหินผีดิบสีดำกลายเป็นของขาดตลาดไป ดังนั้น เวลามีผีดิบปรากฎตัวก็จะถูกยอดฝีมือแบ่งปันกันไป ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสแม้แต่ได้จับต้อง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร อาจมีความเป็นไปได้ว่ามีการสังหารผีดิบมากเกินไป และมีความเป็นไปได้ว่าผีดิบถูกทำให้ตกใจกลัว ดังนั้น ผีดิบที่ปรากฏตัวในเมืองหมิงลั่วเฉิงจึงมีน้อยลงๆ ทุกที ผ่านไปไม่ถึงสองวัน คิดจะพบเห็นผีดิบสักหนึ่งหรือสองตัวก็ยากมากแล้ว

“เฮ่อดูท่าผีดิบล้วนแล้วแต่ถูกพวกเราฆ่าจนตายหมดแล้วกระมัง” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับบ่นอุบเมื่อตามหาไปครึ่งค่อนวันแล้วไม่พบผีดิบแม้แต่ตัวเดียว

แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พบเห็นผีดิบ และทุกคนก็ไม่ได้อะไรติดมือมาเลย ก็ได้แต่ทอดถอนใจ และหรือบ่นโทษนี่นั่นคำสองคำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียก็คงไม่สามารถเสกผีดิบกลางอากาศออกมาสักตัว

ขณะที่ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าผีดิบได้ถูกสังหารจนหมดสิ้นไปแล้ว และเหตุการณ์เรื่องของผีดิบกำลังจะผ่านไป ทันใดนั้น มีผู้ออกคำสั่งขึ้นภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงขึ้นมา

“ปิดเมือง…” ภายในชั่วข้ามคืน มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรได้ออกคำสั่งในเมืองหมิงลั่วเฉิงว่า “จัดการต้อนราษฎร และผู้บำเพ็ญตนของเมืองหมิงลั่วเฉิงไปรวมอยู่ด้วยกันให้หมด”

พลันที่คำสั่งถูกถ่ายทอดออกมา ได้ยินเสียงเอี๊ยดดด เอี๊ยดดด เอี๊ยดดดซึ่งเป็นเสียงปิดประตูเมืองดังขึ้นมา ราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชนพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงได้ถูกยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งขับไล่ และทั้งหมดถูกไล่ต้อนไปขังเอาไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งภายในเมือง

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่มีขื่อแปแล้วรึ?” ภายในระยะเวลาอันสั้น ราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวเมืองดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งหมดถูกจับขังรวมเอาไว้ในที่เดียวกัน บางคนคิดจะหนีไป แต่ไม่ทันกาลเสียแล้ว

เพียงชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ชาวเมืองดั้งเดิมที่เป็นราษฎร และผู้บำเพ็ญตนของเมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งหมดก็ได้ตกเป็นเชลย แม้ว่ามีคนคิดจะขัดขืนแต่ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เนื่องจากกำลังความสามารถของผู้บำเพ็ญตนเมืองหมิงลั่วเฉิงมีขีดจำกัด พวกเขาไม่สามารถต่อต้านกับยอดฝีมือเหล่านี้ได้อยู่แล้ว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วนี่?” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มาจากภายนอกของเมืองหมิงลั่วเฉิงรู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นมีคนปิดเมืองอย่างกะทันหัน

“นี่ พวกเจ้าทำอะไรออกจะใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปแล้วกระมัง” มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกอดที่จะเอ่ยวาจาแสดงคุณธรรมขึ้นมา เมื่อเห็นเหล่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากภายนอกเที่ยวค้นหาและจับตัวราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวเมืองดั้งเดิมของเมืองหมิงลั่วเฉิงไปทั่วเมือง

จะอย่างไรเสีย เมืองหมิงลั่วเฉิงยังคงเป็นของบรรดาชาวเมืองดั้งเดิมเหล่านี้ พวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญตนมาจากภายนอกยังเป็นแขกของพวกเขาด้วยซ้ำ การที่มาค้นหาและจับกุมตัวพวกเขาอย่างกะทันหัน ออกจะเกินเลยไปแล้ว

“ฮึทำไม มีปัญหารึ?” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ตรวจจับชาวพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงก็หาใช่เป็นคนดีอะไร จ้องมองเขม็งผู้ที่พูดจาผดุงคุณธรรมทีหนึ่ง พร้อมกับแสดงป้ายที่ห้อยอยู่ที่เอวของพวกเขา

“เคอะเหมิงกำลังทำงานที่นี่ อย่าให้ตัวเองต้องเดือดร้อน” ฝ่ายตรงข้ามกล่าวน้ำเสียงน่าเกรงขาม ท่าทางหยิ่งยโส

“เจ้า…” ผู้บำเพ็ญตนที่กล่าววาจาเพื่อผดุงคุณธรรมถึงกับโกรธขึ้นมา แต่ว่า พรรคพวกของเขารีบดึงตัวเขาออกไป

เมื่อกลุ่มยอดฝีมือกลุ่มนี้ไปไกลแล้ว พรรคพวกของเขาจึงได้กล่าวเตือนสติเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าไปยุ่งกับเคอะเหมิงจะดีกว่า ป้องกันภัยจากการถูกฆ่า เคอะเหมิงใช่จะมีเรื่องกับเขาง่ายๆ ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถึงขั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่หยิ่งยโสทำตัวเด่นเหมือนอย่างฉางจินต้ง แต่ว่า เมื่อไหร่ที่ลงมือล่ะก็น่ากลัวยิ่งนัก พวกเขาจะอาศัยความรวดเร็วไม่ให้ทันได้ตั้งตัวทำลายล้างศัตรูใดๆ ก็ตาม”

ผู้บำเพ็ญตนที่มีความตั้งใจผดุงความยุติธรรมแม้จะเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ด้วยกำลังของพวกเขาที่เหนือกว่า เขาจะทำอะไรได้ พูดกันตามตรง เขาไม่มีกำลังพอที่จะไปหาเรื่องกับเคอะเหมิงได้ ต่อให้เป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของพวกเขาก็ไปหาเรื่องกับเคอะเหมิงไม่ได้เช่นกัน

ขณะที่คนของเคอะเหมิงไล่จับกุมราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่นั้น มีข่าวลือแพร่กระจายภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงว่า “พรุ่งนี้ทางเคอะเหมิงจะทำการลงทัณฑ์บริเวณหน้าประตูเมือง มีอะไรสนุกๆ ได้ดูกันแล้ว”

“ลงทัณฑ์ ทำไมจะต้องลงทัณฑ์ต่อราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิง? พวกเขาอ่อนแอขนาดนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะไปมีเรื่องกับเคอะเหมิงกระมัง” มีผู้ที่รู้สึกแปลกใจ

“ตกปลาน่ะสิ” มียอดฝีมือพลันเข้าใจถึงความลึกซึ้งภายใน มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และกล่าวว่า “ผีดิบชื่นชอบเลือด พวกมันปรากฏตัวทุกครั้งก็ต้องการดูดกินเลือดคน เคอะเหมิงต้องการจับเอาราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงมาเป็นเหยื่อล่อ ปล่อยให้เลือดของพวกมันไหลออกมาเพื่อล่อให้ผีดิบปรากฎตัว”

“ปล่อยเลือด…” หลายคนเข้าใจในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับใจหายใจคว่ำ สีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือการบูชายันต์แฝงนะเนี่ย”

พลันที่ได้ยินคำว่า ‘บูชายันต์’ สีหน้าของหลายคนดูไม่ดีเลย คำว่า ‘บูชายันต์’ เป็นคำที่ผู้คนจำนวนมากหลีกเลี่ยง เมื่อใดที่ปรากฏคำๆ นี้ มักจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นพวกนอกรีตอยู่เสมอๆ และง่ายต่อการถูกมองว่าเป็นพวกฝ่ายมาร

เวลานี้พันธมิตรอย่างเคอะเหมิงถึงกับนำเอาวิธีนี้มาใช้ แล้วจะไม่ให้ผู้คนต้องหวาดกลัวได้อย่างไร

“เคอะเหมิงออกจะทำเกินเลยแล้วกระมัง” มีผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกต่างรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่เกินเลยไป อดที่จะบ่นกล่าวโทษขึ้นมา

“ผลประโยชน์ทำให้จิตใจคนสั่นคลอง” ระดับบรรพบุรุษส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่านี่คงเป็นคำสั่งจากเบื้องบน คนทั่วไปไม่กล้าสั่งการเช่นนี้ สมควรทราบว่า ลู่เคอะเวิงมีอายุมากแล้ว หากว่ากันด้วยเรื่องอายุ คงมีไม่กี่คนในแดนลัทธิราชันที่มีอายุมากไปกว่าเขาอีกแล้ว อายุขัยของเขาก็เหลืออยู่ไม่มาก ถ้าหากว่าหินผีดิบสีดำสามารถต่ออายุขัยได้จริงล่ะก็ แหะ แหะเคอะเหมิงย่อมไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น…”

ลู่เคอะเวิงก็คือผู้นำของเคอะเหมิงนั่นเอง

“เรื่องบูชายันต์เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง” มียอดฝีมืออดที่จะพึมพำด้วยความกังขาว่า “นี่มันคือฝ่ายมาร ดีไม่ดีสามารถก่อเกิดความโกรธเป็นวงกว้างขึ้นมาได้”

“ดังนั้น เคอะเหมิงจึงได้ลงมือต่อราษฎร และผู้บำเพ็ญตนที่เป็นชาวพื้นเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงน่ะสิ เอาพวกเขามาเป็นเหยื่อล่อ?” มีระดับบรรพบุรุษได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิงไม่มีระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์เลยสักคน จะไปเอาอะไรมาขัดขืนเคอะเหมิง? ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าไม่มีใครยอมไปเป็นศัตรูกับเคอะเหมิงเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวี่นเท่านั้น”

“ที่พูดมาก็ถูก” มีบางคนที่รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ออกจะทำเกินไป แต่ว่า ก็ได้แต่จนด้วยเกล้า และหัวเราะเจื่อนๆ ขึ้นมา

ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นในวันนี้ได้ตกต่ำไปแล้ว ต่อให้นำเคอะเหมิงเอาชีวิตของจำนวนหลายหมื่นชีวิตมาบูชายันต์ ก็ไม่มีใครในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นสามารถช่วยพวกเขาได้

อย่างไรก็ตามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นที่ตกต่ำไปแล้ว จึงไม่มีพันธ์มิตรข้างนอกอยู่แล้ว จะมีใครจะออกปากหรือยึดถือคุณธรรมให้พวกเขา

หากเปลี่ยนเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่ง เกรงว่าเคอะเหมิงจะไม่กล้าทำเช่นนี้ เพราะจะนำมาซึ่งความโกรธของผู้คนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นที่อ่อนแอเช่นนี้ มันคือเนื้อที่อยู่บนเขียง ไม่มีใครจะมาพูดจาผดุงคุณธรรมให้พวกเขาอยู่แล้ว

………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *