Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2659 ทางเลือกของตระกูลมู่

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2659 ทางเลือกของตระกูลมู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2659 ทางเลือกของตระกูลมู่

“ถ้าหากพี่มู่ไม่เชื่อ พี่มู่สามารถสอบถามกับผู้อาวุโสไป๋ยื่อด้วยตนเองเมื่อผู้อาวุโสไป๋ยื่อมาถึงในวันพรุ่งนี้” ซุนหลิ่งหยิ่งเป่าไอร้อนของน้ำชาทีหนึ่ง จากนั้นได้จิบเบาๆ คำหนึ่ง ท่าทางดูเป็นธรรมชาติ เหมือนว่าทุกอย่างมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

“นักพรตไป๋ยื่อจะมาที่ตระกูลมู่พวกเราจริงรึ?” บรรพบุรุษตระกูลมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง

“หากไม่เป็นเช่นนั้น ไฉนท่านจะต้องช่วยหลานมู่เจี้ยนเล่า?” ซุนหลิ่งหยิ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นี่เป็นเพราะท่านผู้อาวุโสเห็นความสำคัญของตระกูลมู่ และเห็นความสำคัญของหลานมู่เจี้ยนที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค”

ท่าทีของบรรพบุรุษตระกูลมู่ถึงกับหนักแน่นจริงจังขึ้น แม้จะกล่าวว่าตระกูลมู่ของพวกเขาคือหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุด ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ แต่ว่า ในยุคนี้ตระกูลมู่ของพวกเขาไม่ได้มีระดับคงความเป็นอมตะตลอดกาลสักคน

ความจริงแล้ว ทั่วทั้งแดนลัทธิราชันก็มีเพียงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลเช่นนักพรตไป๋ยื่อเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในยุคที่ไม่มีระดับปฐมบรรพบุรุษ เกรงว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลสามารถเรียกได้ว่าปราศจากผู้ต่อกรกระมัง

ถ้าหากว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลเช่นนักพรตไป๋ยื่อจะมาที่ตระกูลมู่ของพวกเขา นับว่าเป็นเรื่องที่สะเทือนเลื่อนลั่นเรื่องหนึ่ง และนับเป็นเกียรติของตระกูลมู่ของพวกเขา

แม้จะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ทางบรรพบุรุษตระกูลมู่ก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่านักพรตไป๋ยื่อจะมา เวลานี้ออกจากปากของซุนหลิ่งหยิ่งเอง สิ่งนี้สามารถยืนยันได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

“ตระกูลมู่คิดจะพักรบแล้วรึ?” ซุนหลิ่งหยิ่งจ้องมองดูบรรพบุรุษตระกูลมู่ ท่าทางดูเป็นธรรมชาติ ตัวเขาที่มีท่าทีเย็นชาเสมอมา ทำให้ผู้คนมองความคิดของเขาไม่ออก และมองไม่ออกถึงการวางแผนทำร้ายผู้อื่นของเขา

คำพูดของซุนหลิ่งหยิ่งทำให้ท่าทางของบรรพบุรุษตระกูลมู่ถึงกับเปลี่ยนไป สีหน้าดูไม่ปรกติ และมีความลังเลอยู่บ้างในเวลานี้

กล่าวสำหรับตระกูลมู่ของพวกเขาแล้ว การพ่ายแพ้ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการตีเสกหน้า ถูกไม้กระบองเคาะใส่กลางกระบาลของตระกูลมู่เข้าให้

กำลังความสามารถของคนโหดอันดับหนึ่งนับว่าน่าสยองขวัญเหลือเกิน ในเวลานี้ได้ทำให้ตระกูลมู่มีใจจะถอย ภายในใจรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่งอีกต่อไป ถ้าหากเงื่อนไขได้ พวกเขากระทั่งยินดียุติความขัดแย้ง

“พี่มู่คิดว่าตระกูลมู่ของพวกท่านสามารถจับมือสงบศึกกับคนโหดอันดับหนึ่งได้อย่างนั้นรึ? ถ้าหากพวกท่านสามารถจับมือสงบศึกได้ล่ะก็ยังต้องรอถึงเวลานี้อย่างนั้นรึ?” ท่าทีของซุนหลิ่งหยิ่งดูเย็นชาห่างเหิน กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลมู่ของพวกท่านกับคนโหดอันดับหนึ่ง เรียกได้ว่ามีมานานมาก ความแค้นที่พวกท่านได้สั่งสมเอาไว้ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน”

ลูกตาดำของบรรพบุรุษตระกูลมู่ถึงกับหดตัวทีหนึ่ง เป็นความจริงที่ตระกูลมู่ของพวกเขาเป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่งก่อนและนานกว่าสำนักใดๆ ในแดนลัทธิราชันมากทีเดียว ตระกูลมู่ของพวกเขาเป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่งตั้งแต่มู่เส้าเฉิงในเวลานั้นแล้ว

“ขอพูดคำที่ไม่น่าฟังคำหนึ่ง” ซุนหลิ่งหยิ่งเป่าไอร้อนทีหนึ่งและจิบน้ำชาคำหนึ่ง ท่าทางดูเย็นชาไม่น้อยและพูดขึ้นมาว่า “คนโหดอันดับหนึ่งจะต้องทำลายล้างตระกูลมู่ของพวกท่านอย่างแน่นอน เวลานี้ในมือของเขาควบคุมระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่เอาไว้ทั้งหมด ขณะที่ทั่วทั้งแดนลัทธิราชันนั้น ผู้ที่สามารถบงการสถานการณ์ได้นั้น ก็มีเพียงระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ ตระกูลมู่ ตระกูลหลี่เท่านั้น…”

“…เวลานี้ คนที่มีสติปัญญามีความรู้ล้วนแล้วแต่มองออกว่า ราชันแท้จริงต้วนยวี่ได้หันไปพึ่งพาอาศัยคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว การเป็นพันธมิตรกันระหว่างระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่กับตระกูลหลี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ขณะที่ในอดีต ความแค้นระหว่างตระกูลมู่กับตระกูลหลี่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ตระกูลมู่ของพวกท่านก็ได้เป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่งอีก หากจะกล่าวว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ และตระกูลหลี่ต้องการควบคุมสถานการณ์ของแดนลัทธิราชันเอาไว้อย่างมั่นคง พี่มู่คิดว่าระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่ใครคือคนนอก ใครที่เกะกะสายตามากที่สุด? สมควรกำจัดใครทิ้งไป?”

เมื่อซุนหลิ่งหยิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้วางถ้วยน้ำชาบนมือลง แววตาที่ลึกล้ำจ้องมองไปที่บรรพบุรุษตระกูลมู่

“ตระกูลมู่…” บรรพบุรุษตระกูลมู่รู้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชันอยู่ในลักษณะที่คานอำนาจกันตลอดมา ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงกุมอำนาจใหญ่ เขาจะไม่เป็นพันธมิตรกับตระกูลหลี่ และจะไม่เป็นพันธมิตรกับตระกูลมู่ ขณะที่ตระกูลมู่ของพวกเขาก็จะไม่เป็นพันธมิตรกับตระกูลหลี่

แต่ว่า สถานการณ์ในเวลานี้เปลี่ยนไป คนโหดอันดับหนึ่งเกรียงไกรทั่วหล้า ปราศจากผู้ต่อกร ความแข็งแกร่งของคนโหดอันดับหนึ่งนั้นเป็นที่ประจักษ์ทั่วหล้า ราชันแท้จริงต้วนยวี่ก็ไปพึ่งพาคนโหดอันดับหนึ่งเสียแล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัย สี่เป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่จะต้องเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลี่แน่นอน

ขณะที่ตระกูลมู่ของพวกเขาได้ผูกความเป็นศัตรูทั้งกับคนโหดอันดับหนึ่ง และตระกูลหลี่ ต่อให้วันนี้คนโหดอันดับหนึ่งไม่ลงมือกับตระกูลมู่ เช่นนั้นแล้ว ช้าหรือเร็วสักวันหนึ่งระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ของพวกเขากับตระกูลหลี่ก็ต้องร่วมมือกัน กำจัดตระกูลมู่ขอบพวกเขาทิ้ง

เมื่อถึงเวลานั้น ในแดนลัทธิราชันก็จะไม่มีสามผู้ยิ่งใหญ่อะไรนั่นอีกต่อไป การคานอำนาจนี้ถูกทำลาย ก็จะเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ กับตระกูลหลี่ที่เป็นหนึ่งในหล้า

บรรพบุรุษตระกูลมู่ก็มองสถานการณ์ได้ขาด และสามารถเข้าใจถึงความร้ายกาจในนั้น ดังนั้น เวลานี้สีหน้าของเขาดูจะไม่ชัดเจน

“พี่มู่ยังคิดจะจับมือสงบศึกหรือไม่?” ซุนหลิ่งหยิ่งจ้องมองบรรพบุรุษตระกูลมู่ด้วยท่าทีเย็นชา และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พี่มู่คิดว่ามีความมั่นใจกี่ส่วนในการที่จะจับมือสงบศึกกับคนโหดอันดับหนึ่งเล่า?”

คำพูดนี้พลันทำให้บรรพบุรุษตระกูลมู่ต้องนิ่งเงียบ ตระกูลมู่ของพวกเขากับคนโหดอันดับหนึ่งได้เป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยแล้ว ตัวเขาเองไม่มีความมั่นใจแม้แต่สักนิดหากจะให้ทั้งสองฝ่ายต้องจับมือสงบศึกกัน

“เว้นแต่ตระกูลมู่ของพวกท่านยอมจ่ายค่าตอบเทนที่ไม่สามารถประเมินได้ และหรือตระกูลมู่ของพวกท่านยอมศิโรราบต่อคนโหดอันดับหนึ่งตลอดไป ตระกูลมู่ของพวกท่านจะต้องเป็นบริวารของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ ถ้าเช่นนี้ยังมีโอกาสที่จะจับมือสงบศึกกับคนโหดอันดับหนึ่งได้ มิฉะนั้นแล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตระกูลมู่ยอมคุกเข่าอยู่แทบเท้าของคนโหดอันดับหนึ่งรึ? ถ้ายอม ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรเลย” คำพูดนี้ของซุนหลิ่งหยิ่งเย็นชาและโหดร้ายอย่างยิ่ง

ในเวลานี้ สีหน้าของบรรพบุรุษตระกูลมู่ดูไม่จืดยิ่งนัก ตระกูลมู่ของพวกเขาคือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน มีอำนาจสยบแดนลัทธิราชันมานานนับพันล้านปี เคยครอบงำและหมางเมินใต้หล้า ถ้าหากวันนี้ต้องให้ตระกูลมู่พวกเขาสยบต่อคนโหดอันดับหนึ่ง ให้ตระกูลมู่พวกเขากลายเป็นบริวารของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ จุดจบลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในตระกูลมู่ไม่สามารถยอมรับได้อยู่แล้ว

“ตระกูลมู่ได้แต่สู้ และมันเป็นโอกาสสุดท้ายของตระกูลมู่” ซุนหลิ่งหยิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ตาเฒ่าอย่างข้าต้องติดค้างหนี้บุญคุณมากมายจึงสามารถขอให้ผู้อาวุโสไป๋ยื่อลงมือ กล่าวได้ว่า นี่แหละก็จะเป็นโอกาสสุดท้ายของตระกูลมู่ด้วย”

“นักพรตไป๋ยื่อยอมลงมือต่อคนโหดอันดับหนึ่งจริงๆ รึ?” ในเวลานี้เอง บรรพบุรุษตระกูลมู่ยังคงไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

แม้ว่าตระกูลมู่ของพวกเขากับตระกูลหลูมีความสัมพันธ์กัน แต่ว่า เมื่อถึงระดับของนักพรตไป๋ยื่อแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลแค่นั้นไม่นับเป็นอะไรได้อีกแล้ว อาศัยฐานะของบรรพบุรุษตระกูลมู่ยากที่จะเชิญให้นักพรตไป๋ยื่อออกหน้าได้แล้ว

แต่ว่า ซุนหลิ่งหยิ่งนั้นแตกต่าง ในขณะที่นักพรตไป๋ยื่อยังไม่ได้สำเร็จกลายเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลนั้น เขาเคยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนักพรตไป๋ยื่อมาก่อน ช่วยเสิร์ฟน้ำชาให้กับนักพรตไป๋ยื่อมาก่อน มาวันนี้นักพรตไป๋ยื่อปราศจากผู้ต่อกรแล้ว จะมากหรือน้อยก็ต้องนึกถึงมิตรภาพเก่าอยู่บ้าง

“เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตระกูลมู่ของพวกท่านแล้ว” ซุนหลิ่งหยิ่งจ้องมองหน้าบรรพบุรุษตระกูลมู่และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ตระกูลมู่ของพวกท่านยังไม่ทุ่มพลังบ้างเลย ท่านคิดว่าผู้อาวุโสไป๋ยื่อจะยอมเป็นโล่ให้กับตระกูลมู่อย่างนั้นรึ? โอกาสต้องอาศัยตนเองช่วงชิงให้ได้มา ตระกูลหลูก็แค่หลู่เหว่ยจวินตายไปคนหนึ่งเท่านั้น ลูกหลานที่ห่างชั้นหลายสิบรุ่นคนหนึ่งเช่นนี้ กล่าวสำหรับผู้อาวุโสไป๋ยื่อแล้ว ท่านคิดว่าคู่ควรให้ท่านต้องทำสงครามอย่างนั้นรึ?”

บรรพบุรุษตระกูลมู่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และจ้องมองซุนหลิ่งหยิ่งเช่นกัน กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ความหมายของพี่ซุนคือ?”

“ทุ่มเทสรรพกำลังเต็มที่” ซุนหลิ่งหยิ่งกล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ตระกูลมู่ของพวกท่านคือสมรภูมิหลัก ให้การช่วยเหลือผู้อาวุโสไป๋ยื่อเต็มที่ มีเพียงสังหารคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว แดนลัทธิราชันจึงจะสงบ”

ครั้นซุนหลิ่งหยิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้จ้องมองไปที่บรรพบุรุษตระกูลมู่ ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นว่า “ขอเพียงสังหารคนโหดอันดับหนึ่งได้ รอให้ข้าได้ครองอำนาจปกครองระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่อีกครั้งแล้ว ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่กับตระกูลมู่ก็จะกลายเป็นพันธมิตรที่สนิทชิดเชื้อที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ลำพังแค่ตระกูลหลี่จะนับเป็นอะไรได้ แดนลัทธิราชันทั้งหมดก็จะเป็นของพวกเรา ในแดนลัทธิราชันมิใช่เป็นพวกเราที่พูดแล้วคนอื่นต้องทำตามรึ?”

หลังจากที่บรรพบุรุษตระกูลมู่ได้ฟังคำบอกเล่านี้จากซุนหลิ่งหยิ่งแล้ว ทำให้บรรพบุรุษตระกูลมู่ถึงกับเผยรอยยิ้มขึ้นมา นับว่าข่าวนี้เป็นข่าวที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นข่าวที่สามารถมองไปยังอนาคต เป็นอนาคตที่งดงาม เป็นสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลมู่อย่างยิ่ง

“พี่มู่ ขอพูดคำที่ไม่น่าฟังสักคำ ฉกฉวยโอกาสครั้งนี้ให้ดี” ซุนหลิ่งหยิ่งเป่าไอร้อนทีหนึ่ง จิบน้ำชาคำหนึ่ง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เป้าหมายการเดินทางไกลของนักพรตไป๋ยื่ออยู่ที่แดนลัทธิเซียน หลังจากที่เขาได้กลายเป็นชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลแล้ว ช้าหรือเร็วสักวันก็ต้องขึ้นไปที่แดนลัทธิเซียน ช้าหรือเร็วก็ต้องไปจากอยู่แล้ว ถ้าหากเมื่อใดที่ผู้อาวุโสไป๋ยื่อจากไป ทั่วทั้งแดนลัทธิราชันยังจะมีใครสามารถต้านกับคนโหดอันดับหนึ่งได้เล่า? ดังนั้น กล่าวได้ว่านี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่ของท่าน”

“ข้าเองจะอย่างไรก็ได้ ถ้าหากไม่สามารถสังหารคนโหดอันดับหนึ่งได้ อย่างมากข้าก็หลบซ่อนตัวเอาไว้ หาสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามใช้ชีวิตในบั้นปลายให้ดีที่สุด จะอย่างไรเสียข้ากับคนโหดอันดับหนึ่งก็ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไร ตรงกันข้าม ข้าเคยช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ และเขาเองก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับข้า ขณะที่ตระกูลมู่แตกต่าง ถ้าหากผู้อาวุโสไป๋ยื่อจากไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ตระกูลมู่ของพวกท่านจะเอาอะไรมาต้านกับคนโหดอันดับหนึ่ง” ครั้นซุนหลิ่งหยิ่งกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทางดูสบายอกสบายใจ

บรรพบุรุษตระกูลมู่ถึงกับมีท่าทีหนักแน่นจริงจังขึ้น แม้ว่าตระกูลมู่ของพวกเขาในฐานะหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน และพวกเขาก็ไม่เคยดูถูกฝีมือตนเอง

แต่ทว่า คนโหดอันดับหนึ่งนับว่าแข็งแกร่งมากเหลือเกิน ยอดฝีมือสี่คนร่วมมือกันยังเอาชนะคนโหดอันดับหนึ่งไม่ได้ ตายสามบาดเจ็บหนึ่ง ถ้าหากสักวันคนโหดอันดับหนึ่งบุกเข้าสังหารตระกูลมู่ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าสามารถต้านคนโหดอันดับหนึ่งเอาไว้ได้

ต่อให้ตระกูลมู่ของพวกเขาสามารถต้านคนโหดอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงสูญเสียอย่างหนัก กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่า นับจากนั้นเป็นต้นไป ตระกูลมู่ของพวกเขาต้องตกจากอันดับในสามผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเสื่อมลงนับแต่นั้นเป็นต้นไป และทรุดลงไม่สามารถฟื้นคืนได้อีกต่อไป

สุดท้ายแล้ว บรรพบุรุษตระกูลมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ท่าทางหนักแน่นจริงจัง และกล่าวว่า “แม้ว่าตระกูลมู่ของพวกเราจะเป็นสมรภูมิรบหลัก แต่ ก็ต้องล่อให้คนโหดอันดับหนึ่งเข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด ไม่คิดว่าคนโหดอันดับหนึ่งจะยอมมาติดกับดักเอง”

กล่าวสำหรับตระกูลมู่ของพวกเขาแล้ว ถ้าหากจะต้องเปิดศึกกับคนโหดอันดับหนึ่งล่ะก็ สมรภูมิรบที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ของพวกเขา พวกเขาจะได้เป็นเจ้าบ้าน พวกเขามีความได้เปรียบอย่างยิ่งภายในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของตนเอง

หากว่า พวกเขาได้วางม่านฟ้าแหดิน วางหลุมพรางเอาไว้แล้วล่อให้คนโหดอันดับหนึ่งหลงกล สิ่งนี้กล่าวสำหรับตระกูลมู่ของพวกเขาแล้วได้ช่วงชิงโอกาสมาได้ไม่น้อย โอกาสที่จะชนะเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยทีเดียว

ถ้าคนโหดอันดับหนึ่งไม่หลงกล ลงมือกะทันหัน และบุกเข้าสังหารพวกเขาจนตั้งตัวไม่ทันล่ะก็ สถานการณ์เช่นนั้นก็จะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขามากทีเดียว

……………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *