Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2700 ดึกดำบรรพ์จนสืบค้นไม่ได้

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2700 ดึกดำบรรพ์จนสืบค้นไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2700 ดึกดำบรรพ์จนสืบค้นไม่ได้

เส้นทางดึกดำบรรพ์เป็นเส้นทางที่คงไว้ตั้งแต่ยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์ยิ่ง ยุคดึกดำบรรพ์ยิ่งลักษณะเช่นนี้กระทั่งเรียกได้ว่าดึกดำบรรพ์จนไม่สามารถไล่ย้อนกลับไปได้

เนื่องเพราะมีเส้นทางดึกดำบรรพ์เหล่านี้นี่เอง จึงทำให้การสัญจรไปมาระหว่างแดนสามเซียนด้วยกันกลับกลายเป็นสะดวกสบายขึ้นมาบ้าง แน่นอน ความสะดวกสบายที่ว่าก็มีขีดจำกัดอยู่

จะอย่างไรเสีย หากต้องการอาศัยวิธีหักหาญเพื่อไปยังแดนใดแดนหนึ่งอีกสองแดนของแดนสามเซียนนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม และหรืออาศัยทรัพยากรจำนวนมหาศาลมาสนับสนุน มิฉะนั้นล่ะก็ ยอดฝีมือโดยทั่วไปจะไม่สามารถไปมาระหว่างกันกับอีกสองแดนได้อยู่แล้ว

ยกตัวอย่างจากแดนลัทธิพรรษเข้าสู่แดนลัทธิราชัน มีผู้ที่กล่าวเอาไว้ว่า จากแดนลัทธิพรรษหากคิดจะก้าวสู่แดนลัทธิราชัน โดยปรกติแล้วจะต้องเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นหนึ่งแสนชาติจึงจะมีสิทธิ์ ซึ่งระดับนี้ยังเป็นเพียงแค่เพิ่งจะได้ก้าวข้ามประตูเท่านั้น ส่วนเรื่องของความเสี่ยงนั้นไม่อาจทราบได้

ถ้าหากจากแดนลัทธิราชันเข้าสู่แดนลัทธิเซียน มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า จะต้องเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลจึงสามารถไปได้

ไม่ว่าจะเข้าสู่แดนลัทธิราชันจากแดนลัทธิพรรษ และหรือจากแดนลัทธิราชันเข้าสู่แดนลัทธิเซียน หากต้องการอาศัยการหักหาญเข้าไปล่ะก็ นอกเหนือจากต้องมีกำลังความสามารถอย่างเพียงพอในตนเองแล้ว ยังจำเป็นต้องมีทรัพยากรจำนวนมหาศาลมาช่วยเหลือเกื้อกูล

แน่นอนที่สุด หากเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะดั่งปฐมบรรพบุรุษก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ธรณีประตูที่เชื่อมไปยังแดนสามเซียนกลับกลายเป็นมีความสูงมาก กล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน สำนักเจ้าลัทธิ กระทั่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิโดยทั่วไป โดยพื้นฐานแล้วคิดจะก้าวข้ามแดนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่างได้แต่มองและทอดถอนใจออกมาเท่านั้น กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว การก้าวข้ามแดนเป็นเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด

แต่ทว่า การคงอยู่ของเส้นทางดึกดำบรรพ์เช่นนี้ กลับลดระดับการก้าวข้ามแดนลงมาได้ไม่น้อยทีเดียว แน่นอน ใช่ว่ามีเส้นทางดึกดำบรรพ์แล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถก้าวข้ามแดนไปได้

เพียงแต่ หลังจากมีเส้นทางดึกดำบรรพ์แล้ว ทำให้บรรดาเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในแดนลัทธิราชัน และหรือแดนลัทธิเซียนได้มีความหวังอันน้อยนิดขึ้นมา

จะอย่างไรเสีย ชั่วชีวิตของระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะบางส่วนจะสุดอยู่เพียงเท่านี้ เรียกได้ว่า หากไม่สามารถก้าวไปถึงระดับที่สูงเพียงพอ โดยพื้นฐานแล้วชั่วชีวิตของพวกเขาจะไม่สามารถก้าวเข้าไปยังแดนลัทธิราชัน หรือแดนลัทธิเซียนไปเปิดหูเปิดตาได้เลย

หลังจากมีเส้นทางดึกดำบรรพ์แล้วทำให้สถานการณ์นี้มีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยที่สุดบรรดาเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังคงมีความหวังอยู่นิดหนึ่งที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรที่สูงมากกว่า

เนื่องจากมีเส้นทางดึกดำบรรพ์นี้เอง ทำให้มีการคาดเดาต่างๆ นานาเกี่ยวกับยุคสมัยดึกดำบรรพ์มากๆ และเส้นทางดึกดำบรรพ์ของผู้คนบนโลก

กระทั่งมีผู้ที่คิดว่า ในยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์มากๆ นั้น ทั้งสามแดนของแดนสามเซียนนั้นเชื่อมติดต่อถึงกัน ขณะที่เส้นทางดึกดำบรรพ์ก็คือสะพานระหว่างแดนทั้งสาม กระทั่งมีผู้เข้าใจว่า ด้วยเหตุนี้เองในยุคนั้นการเชื่อมติดต่อถึงกันของสามแดนนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

เพียงแต่ ภายหลังไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แดนสามเซียนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนเลื่อนลั่น เส้นทางเกิดพังทลายขึ้น ทำให้เส้นทางดึกดำบรรพ์ที่เชื่อมติดต่อถึงกันระหว่างสามแดนขาดไป สุดท้ายเหลือไว้เพียงเส้นทางดึกดำบรรพ์ไม่กี่สายที่ยังเหลืออยู่และสามารถใช้การได้

ขณะที่พวกเส้นทางดึกดำบรรพ์ที่หลงเหลืออยู่ล้วนแล้วแต่มีอันตรายอยู่ไม่น้อย ต่อให้เส้นทางดึกดำบรรพ์ไม่กี่เส้นทางที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาได้แต่ก็ไม่สมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นการเพิ่มความยากและอันตรายขึ้นมาไม่น้อยระหว่างการก้าวข้ามแดน

ในที่สุด หลี่ชิเย่กับราชันแท้จริงจิ่วหนิงก็ได้มาถึงทางเข้าเส้นทางดึกดำบรรพ์สายหนึ่ง ที่ตรงนั้นคือแผ่นฟ้าที่แตกละเอียดซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ ทอดสายตามองออกไป ที่ตรงนั้นมีสุริยันจันทราและดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ถูกยิงจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ทั่วทั้งโลกเสมือนดั่งถูกทำลายจนพินาศย่อยยับอย่างนั้น

ไม่ว่าใครก็ตามหากได้มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็จะทราบว่า ที่ตรงนี้เคยเกิดศึกยิ่งใหญ่ที่ทำลายฟ้าดินขึ้น แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสองฝ่ายที่ก่อศึกยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นผู้ใด แต่จากอานุภาพการทำลายที่พังพินาศย่อยยับแล้ว ทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากและน่ากลัวอย่างยิ่ง

ทางเข้าเส้นทางดึกดำบรรพ์ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง ภูเขาขนาดยักษ์ลูกนี้ลอยล่องอยู่ท่ามกลางทางช้างเผือก โดยภูเขาขนาดยักษ์ลูกนี้เคยถูกยิงจนแตกละเอียดไปเสี้ยวหนึ่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ภูเขายักษ์ยังคงมีขนาดที่ใหญ่ยักษ์มาก เสมือนดั่งเป็นดวงดาวขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าอย่างนั้น

บนภูเขายักษ์มีบันไดหินที่แตกละเอียดหลงเหลืออยู่วกเวียนขึ้นไปดั่งเขาวงกต สุดท้ายบันได้หินที่แตกละเอียดและหลงเหลืออยู่ก็จะนำพาเข้าไปอยู่ภายในช่องเขาแคบๆ แห่งหนึ่ง เหมือนว่าหากลอดผ่านช่องเขาแคบๆ นี้ไปก็จะทะลุไปยังโลกอีกโลกหนึ่งได้

“อาศัยบันทึกต่างๆ ดูไปแล้ว ในยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์มากๆ นั้น การคมนาคมระหว่างสามแดนนั้นมีความสะดวกสบายอย่างยิ่ง” ขณะที่ก้าวเดินอยู่บนบันได้หินที่แตกหักและยังหลงเหลืออยู่ ราชันแท้จริงจิ่วหนิงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ดูจากขนาดของบันไดหินก็สามารถรู้ได้ว่า เกรงว่าการเชื่อมติดต่อถึงกันระหว่างสองแดนในครั้งนั้น จำนวนผู้คนที่เดินทางผ่านน่าจะมีจำนวนนับหมื่น เพียงแต่ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ทำให้เส้นทางดึกดำบรรพ์ส่วนใหญ่บนโลกแตกละเอียดไป สุดท้ายแล้ว เส้นทางดึกดำบรรพ์จึงยังคงหลงเหลืออยู่ไม่กี่สาย และแตกหักเสียหายไม่สมบูรณ์”

“เรื่องนี้ไหนเลยจะไม่ใช่เรื่องดีเรื่องหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นว่า “เมื่อการติดต่อถึงกันถูกปิดกั้นสนิท ต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันไม่ได้ นั่นแหละสามารถทำให้ความแตกต่างได้สำแดงประสิทธิผลของมัน ทำให้เผ่าพันธุ์ต่างๆ เจริญรุ่งเรือง มิฉะนั้นล่ะก็จะทำให้เป็นใหญ่อยู่เพียงผู้เดียว กล่าวสำหรับการเจริญเติบโตของโลกทั้งโลกโดยภาพรวมแล้ว ไม่เห็นมันจะเป็นเรื่องดีอะไร”

“คำพูดนี้ก็มีเหตุผล” เมื่อราชันแท้จริงจิ่วหนิงได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้วก็รู้สึกว่าใช่จะไร้เหตุผล

ถ้าหากว่าแดนใดๆ ในแดนสามเซียนล้วนแล้วแต่ไปมาหาสู่ได้อย่างสะดวกโยธินล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในแต่ละแดนยังจะพัฒนาขึ้นได้รึ? เฉกเช่นแดนลัทธิราชันอย่างนั้น ถ้าหากปล่อยให้ทั้งสามแดนไปมาได้อย่างสะดวกล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีคำว่าสามผู้ยิ่งใหญ่อะไรนั่นแล้วล่ะ

เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ตระกูลหลี่ที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแข็งแกร่งคงกลายเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิระดับสามไปแล้ว เนื่องจากถูกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าของแดนลัทธิเซียน และหรือปฐมบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งมาปกครองสามแดนโดยตรง และหรือพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของแดนระดับล่างก็จะถูกสำนักที่อยู่แดนระดับสูงซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเข้ามายึดครองและปกครอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ช่องว่างการอยู่รอดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมก็จะถูกบีบอัดอย่างหนัก ไม่สามารถให้กำเนิดเฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ หรือตระกูลหลี่ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อยู่แล้ว

“บางที ในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ยิ่งนั้น ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะผู้กุมอำนาจจักรวาลสูงสุดก็เคยคำนึงถึงปัญหาข้อนี้” ในเวลานี้ ราชันแท้จริงจิ่วหนิงถึงกับเพ่งสายตาไปข้างหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ดังนั้น บางทีเส้นทางดึกดำบรรพ์อาจจะไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนแตกละเอียดอะไรนั่น บางทีอาจถูกผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดคนหนึ่งคนใดลงมือทำลาย”

“อาจจะใช่ และหรืออาจจะไม่ใช่” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เบื้องหลังของเรื่องนี้มักจะมีสิ่งที่ผู้คนบนโลกไม่รู้ การที่สามแดนตัดขาดจากกันก็ใช่จะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป บางครั้งมักจะเป็นการลดระดับอันตรายลงไปถึงจุดต่ำสุดอยู่เสมอๆ”

“อันตรายที่พี่ท่านพูดถึงคืออันตรายอะไรเล่า?” ภายในใจของราชันแท้จริงจิ่วหนิงเต้นกระตุกทีหนึ่ง สามารถทำให้หลี่ชิเย่พูดออกมาในลักษณะเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเบื้องหลังของอันตรายที่ว่าต้องไม่ธรรมดาแน่

“ไม่ทราบ” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ มีผู้ที่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ได้ทำการปกปิดความจริงบางอย่างไปเท่านั้น ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนบนโลกมักจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความคลุมเครืออยู่เสมอๆ ไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายของโลกทั้งโลก”

“สูงขึ้นไปรึ?” แววตาของราชันแท้จริงจิ่วหนิงเต้นกระตุกทีหนึ่ง แม้ว่านางยังไม่ได้กลายเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลมากแล้ว นางเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงแกนกลางของบางสิ่งบางอย่าง

หลี่ชิเย่หัวเราะเรียบเฉย และกล่าวว่า “เรื่องนี้ มีใครเล่าที่จะพูดชัดเจนได้ กล่าวสำหรับเจ้า กล่าวสำหรับผู้คนบนโลกแล้ว นี่คือโลกๆ หนึ่ง อย่างไรก็ตาม บางทีสำหรับผู้ดำรงอยู่ในฐานะบางอย่างแล้ว สิ่งนี้เป็นเพียงอาหารอันโอชะเท่านั้นเอง”

“อาหารอันโอชะ…” หัวใจของราชันแท้จริงจิ่วหนิงถึงกับสั่นเทาทีหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้

อาจกล่าวได้ว่า กำลังความสามารถของราชันแท้จริงจิ่วหนิงใกล้เคียงกับระดับปฐมบรรพบุรุษแล้ว บนโลกใบนี้สิ่งที่สามารถทำให้นางต้องหวั่นเกรงมีอยู่น้อยมากแล้ว แต่ว่า คำพูดของหลี่ชิเย่กลับทำให้หัวใจของนางต้องสั่นเทาทีหนึ่ง

ราชันแท้จริงจิ่วหนิงหาใช่เป็นคนโง่อะไร นางคือราชันแท้จริงที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งมากคนหนึ่ง เป็นคนที่ฉลาดล้ำเลิศคนหนึ่ง ในพริบตาเดียวนี้เอง นาทีนี้ภายในใจของราชันแท้จริงจิ่วหนิงมีการคาดเดาที่นอกกรอบ เป็นแนวความคิดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

เมื่อนึกถึงความน่าจะเป็นเรื่องนี้แล้ว แม้ว่านางที่มีกำลังความสามารถระดับราชันแท้จริงสิบสองลัคนา ก็อดที่จะมีหัวใจที่เต้นกระตุกทีหนึ่งไม่ได้

ถ้าหากสามารถคิดตกถึงข้อเท็จจริงที่อยู่ภายใน เกรงว่าในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะใดก็ต้องตื่นตระหนกยิ่งนัก และจะต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ

“ความไม่รู้บางทีก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ชีวิตแสนสั้นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง” หลี่ชิเย่มองไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไป กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ที่เจ้าเห็น ที่เจ้ารับรู้ล้วนแล้วแต่เป็นความงดงาม เจ้าจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสบายอกสบายใจ มีชีวิตอย่างมีความสุข”

“เมื่อเจ้ารู้อะไรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าไม่มีกำลังพอที่จะไปแก้ไขมันได้ เจ้าก็จะได้รับทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น และเมื่อเจ้าพยายามไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงมัน เจ้าก็ต้องแบกรับความทุกข์ยากนับไม่ถ้วน” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ดังนั้น ผู้คนบนโลกช่างมีความสุขเหลือเกิน เสมือนดั่งมดปลวกอย่างนั้น ไม่เคยรับรู้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา สามารถกินอิ่มสักมื้อก็นับว่าสบายใจมากแล้ว”

“โลกมีความสงบสุข เป็นเพราะผลของการเฝ้าสังเกตการณ์ของผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างพี่ท่าน” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงกล่าวขึ้นช้าๆ

“สถานการณ์เช่นนี้หาใช่เป็นข้าที่เฝ้าสังเกตการณ์” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “ยังคงเป็นคำพูดที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้า ข้าเป็นเพียงคนที่เดินผ่านมา แต่ว่า ในห้วงระยะเวลาหมื่นยุคนี้ เคยมีปรัชญาเมธีจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามมาแล้ว มีผู้เป็นใหญ่สูงสุดหลั่งเลือดพลีชีพจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป ล้วนแล้วแต่น่าชื่นชมสรรเสริญ คู่ควรให้ผู้คนไปเคารพนับถือ”

“ถูกต้อง หากไม่มีการเฝ้าสังเกตการณ์ของปรัชญาเมธี ไหนเลยจะมีโลกๆ นี้” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงพยักหน้ากล่าว และเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา

สุดท้าย พวกเขาได้เข้าไปในหุบเขาที่ลึกและแคบ ในเวลานี้ราชันแท้จริงจิ่วหนิงร้องเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา วิวัฒนาการสัจธรรม พลังสัจธรรมตลบอบอวล ได้ยินเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดขึ้นมา ใต้เท้าปรากฎประกายแสงขึ้น สุดท้าย ท่ามกลางเสียงแว้งค์ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง เห็นเพียงเศษก้อนอิฐแตกหักแต่ละชิ้นประติดประต่อเข้าด้วยกัน ประตูมิติบานหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา

หลี่ชิเย่และราชันแท้จริงจิ่วหนิงทั้งสองคนมองตากันและกัน ก้าวเดินเข้าไปในประตูมิติ

หลังจากก้าวเดินเข้าไปในประตูมิติแล้ว ด้านหลังของประตูมิติมีบันไดหินเป็นแถววกเวียนกันไป โดยบันไดหินนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ก้าวข้ามแผ่นฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน

บันไดหินนี้อาศัยหินโบราณแต่ละก้อนที่วางเรียงกันเป็นแถว โดยที่หินโบราณแต่ละก้อนเหล่านี้ไม่รู้ว่าได้ผ่านกาลเวลามานานเท่าไรแล้ว เก่าแก่จนไม่สามรถแยกแยะออกว่าสร้างขึ้นในยุคใด

หินโบราณแต่ละก้อนล้วนแล้วแต่สลักลวดลายโบราณที่เก่าแก่โบราณมาก และพลันที่มองเห็นก็สามารถรู้ได้ว่า คนที่ทำการสลักหินโบราณเหล่านี้มีกำลังความสามารถที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง

เนื่องจากกาลเวลาผ่านไปนับไม่ถ้วน แต่ลวดลายบนหินโบราณยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะผ่านการขัดเกลาของกาลเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาพันล้านชาติ ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถลบเลือนลวดลายโบราณเหล่านี้ออกไปได้

บันไดหินก้าวข้ามท้องฟ้าไปยังสถานที่ที่ห่างไกลยิ่ง ท่ามกลางเส้นทางสายนี้ได้ก้าวข้ามภูเขาไฟที่กำลังปะทุ และก้าวข้ามเพลิงมารที่ดั่งคลื่นยักษ์ ยิ่งกว่านั้นยังได้ก้าวข้ามการจมใต้น้ำที่ไม่มีสิ้นสุด…

………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *