Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2711 โลกนี้ไม่มีเซียน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2711 โลกนี้ไม่มีเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2711 โลกนี้ไม่มีเซียน

ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำตกอยู่ในความนิ่งเงียบ ตามติดด้วยเสียงตูมที่ดังสนั่นหวั่นไหว ในพริบตาเดียวนั่นเอง ความมืดดำได้โจมตีอย่างบ้าคลั่ง ด้วยท่าทีดุดันและพาลอย่างยิ่ง เหมือนว่าต้องการพลิกอาณาจักรขึ้นมาอย่างนั้น

ตามติดด้วยความมืดดดำที่กลับกลายเป็นดั่งคลื่นยักษ์ เข้าโจมตีประกายศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้าคลั่งรอบแล้วรอบเล่า ท่ามกลางเสียงตูม ตูม ตูมที่ดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอก

แต่ว่า ไม่ว่าความมืดดดำจะโจมตีต่ออาณาจักรที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้าคลั่งเพียงใด ไม่ว่าพลังของความมืดดำจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นใดก็ตาม ก็ไม่สมารถทำลายจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ลงไปได้ ต่อให้ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำจะสำแดงสุดยอดวิชาสูงสุดในหล้า ก็ไม่สามารถกัดกร่อนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่

กล่าวได้ว่า ขอเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่มีความแกร่งไม่หวั่นไหว ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำก็ไม่สามารถหนีรอดออกมาจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่ตลอดไป และเขาจะต้องถูกหลี่ชิเย่บดขยี้กระทั่งตายในที่สุด

ตลอดขั้นตอนดังกล่าวดูไปแล้วเหมือนง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้ว เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดยากจะหาสิ่งใดเทียบเทียม ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวผู้นี้มีความแข็งแกร่งจนไม่สามารถจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นปฐมบรรพบุรุษอะไร ผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นใด หาใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว

กล่าวได้ว่า เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวเช่นนี้ เขาคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา เป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดที่ยังคงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นนับแต่อดีตกาลที่ผ่านมา ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสู้รบกับเหล่าปฐมบรรพบุรุษใต้หล้าจำนวนมาก และกวาดล้างเหล่าปฐมบรรพบุรุษจำนวนมากจนสิ้น

กล่าวได้ว่าในสายตาของเขานั้น ประเภทราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกร หรือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลเสมือนดั่งเป็นเพียงมดปลวกอย่างนั้น

เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะความมืดดำสุดน่ากลัวเช่นนี้ ถ้าหากแทรกซึมเข้าไปในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของคนอื่นๆล่ะก็ แม้จะเป็นปฐมบรรพบุรุษที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่งก็ไม่สามารถรองรับได้กับการกัดกร่อนของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกเขาตีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจนแตกพ่าย และถูกยึดครองร่างกาย ท้ายสุดต้องกลับกลายเป็นมาร และถูกผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำผู้นี้ยึดครองอย่างสิ้นเชิง

น่าเสียดาย ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำผู้นี้กลับต้องมาเจอะเจอกับหลี่ชิเย่เข้า หลี่ชิเย่นั้นมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งไม่สามารถทำลายได้ดวงหนึ่ง เวลานี้เขาถูกหลี่ชิเย่กักขังเอาไว้ภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ทั้งยังถูกชะตาดั้งเดิมโลกดึกดำบรรพ์พันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีรอดออกไปจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่ได้อยู่แล้ว เรียกได้ว่าแม้จะเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวเช่นเขา ท้ายที่สุดแล้วก็คงเหลือไว้เพียงจุดจบที่ถูกบดขยี้ทำลายเท่านั้น

“สิ่งที่เจ้าปรารถนาคืออะไร?” หลังจากผ่านไปนานมาก ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“สิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาคืออะไร?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ให้ข้าเดา ข้าได้ข้อมูลจากตาโตมา รับรู้ถึงการกระทำที่ผ่านมาของพวกเจ้า ดังนั้น สิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาก็คงไม่พ้นเรื่องของการมีชีวิตเป็นอมตะเท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นขอเพียงสามารถมีชีวิตเป็นอมตะ ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของพวกเจ้าก็คืออย่างไรก็ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมดปลวก เป็นฝุ่นผงเท่านั้นเอง”

“แหะ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำยิ้มเสียงชั่วร้ายและกล่าวว่า “หรือว่าสิ่งที่เจ้าปรารถนาไม่ใช่ชีวิตอมตะเช่นเดียวกันอย่างนั้นรึ? เจ้าผ่านประสบการณ์มาหมื่นยุค เคยปกครองใต้หล้า ควบคุมจักรวาล กล่าวสำหรับเจ้าแล้วอำนาจใดๆ บนโลก ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกก็มิใช่เป็นเพียงฝุ่นผงเท่านั้นเอง สิ่งที่เจ้าปรารถนาจะแตกต่างอะไรจากพวกเรา ก็แค่มีชีวิตเป็นอมตะเท่านั้นเอง”

“เรื่องนี้เจ้าทายผิดแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “สิ่งที่ข้าปรารถนาหาใช่ชีวิตความเป็นอมตะ สิ่งที่ข้าปรารถนาก็ไม่ใช่การบรรลุเป็นเซียน สิ่งที่ข้าปรารถนาเป็นเพียงคำตอบๆ หนึ่งเท่านั้นเอง”

“คำตอบ?” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “โลกนี้ไม่เคยมีคำตอบมาก่อน ไม่มีใครสามารถให้คำตอบพวกเรา และไม่มีใครสมารถให้คำตอบเจ้าเช่นกัน! คำตอบนั้นอยู่ในใจของเจ้า นั่นก็คือเซียน!”

“เซียน…” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และยิ้มกล่าวว่า “เซียนยื่นมือมาลูบคลำศีรษะของข้า เดิมข้าได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาความเป็นอมตะตั้งแต่เยาว์วัย ข้าก็เป็นเซียนเช่นกัน เจ้าว่า อะไรคือเซียนเล่า?”

“พวกเราก็คือเซียน เจ้าเองก็คงเป็นเซียนเช่นกัน” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำเอ่ยขึ้นช้าๆ

“หากพวกเจ้าคือเซียนล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นแค่เซียนตัวปลอมเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย

“ถ้าพวกเราไม่ใช่เซียน เจ้าคิดว่าใครกันเล่าที่เป็นเซียน?” มาคราวนี้ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำไม่ได้โกรธ และไม่โมโห พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เสมือนดั่งสองคนกำลังศึกษาแลกเปลี่ยนสัจธรรมซึ่งกันและกันอย่างนั้น

หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สำหรับคำพูดเช่นนี้ของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัว

“ถ้าหากเจ้าคิดจะอาศัยชีวิตความเป็นอมตะมาเป็นนิยามของความเป็นเซียนล่ะก็ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็คือเซียน พวกเรามีชีวิตเป็นอมตะไม่แตกดับ และเป็นเซียนแท้จริง” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำกล่าวขึ้น

“ใช่หรือ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “พวกเจ้าเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นอมตะไม่มีวันแตกดับจริงๆ รึ?”

“ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อก็มาลองดูกัน ต่อให้เจ้าบดขยี้ข้าจนตาย แต่ทว่า ข้ายังคงไม่แตกดับตลอดกาล ขอเพียงข้ายังคงอยู่เพียงน้อยนิดข้ายังคงไม่ตายไม่ดับ!” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำกล่าวขึ้นช้าๆ คำพูดนี้ดั่งเป็นผู้หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ดูสบายอกสบายใจยิ่ง เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงมาได้แล้วก็ไม่แสดงความโกรธอีกเลย จะอย่างไรเสียเขาเองก็เป็นผู้ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วนมาแล้วเช่นกัน

“ข้ารู้ ข้าเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก จะต้องรีดเจ้าจนกว่าจะแห้ง” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมาทีหนึ่ง

“ต่อให้เจ้าจัดการรีดเอาจากข้าไปจนหมด แม้เจ้าสามารถได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการไปจากตัวของข้า แล้วไง?” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัว กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “สุดท้าย เจ้าก็กลับกลายเป็นคนที่เหมือนกับพวกเรา มีชีวิตอยู่จนถึงท้ายสุด ก็แค่ต้องการมีชีวิตอมตะเท่านั้นเอง เซียนยื่นมือมาลูบคลำศีรษะของข้า เดิมข้าได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาความเป็นอมตะตั้งแต่เยาว์วัย! ความเป็นอมตะของเจ้าก็จะมีข้าเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเจ้า!”

“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้ามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม มันใจในตนเองอย่างยิ่ง”

“พวกเราทั้งหลายแม้จะอยู่คนละโลก แต่ คงอยู่คู่ฟ้าดิน ไม่มีวันตายตลอดกาล ประสบการณ์ที่ผ่านมา สิ่งที่เคยพบเคยเห็นมีมากกว่าเจ้ามากนัก” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เคยมีผู้ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งยิ่งกว่าเจ้า เคยมีผู้ที่มีความมั่นคงยิ่งกว่าเจ้า สุดท้ายมิต้องมีจุดจบที่เหมือนกัน อะไรคือความมืดดำ อะไรคือสว่างไสว ก็แค่อยู่ที่หนึ่งความนึกคิดเท่านั้นเอง”

ครั้นคำพูดของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวท่ามกลางความมืดดำพูดขาดคำ ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง เห็นเพียงความมืดดำพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมทีความมืดดำที่ดำเข้มยิ่งกว่าน้ำหมึกพลันกลับกลายเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทันที

ท่ามกลางเสียงแว้งค์เสียงนี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ขยายตัวเต็มที่ เสมือนดั่งน้ำขึ้นลงที่บ้าคลั่งล้นทะลักออกมา ส่วนผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวที่อยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้อยู่แล้ว ที่ที่เขายืนอยู่นั้นเรียกได้ว่ามีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ร้อนแรงเจิดจ้าอย่างยิ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

ภายใต้ความร้อนแรงเจิดจ้าที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ประกายศักดิ์สิทธิ์ของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวไม่ได้ไปโจมตีประกายศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ชิเย่ มันคล้ายดั่งหิมะที่ละลายต้องการไปรวมตัวของประกายศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ชิเย่ให้เป็นเนื้อเดียวกันอย่างนั้น

แต่ว่า ในพริบตาเดียวนั่นเอง ได้ยินเสียงตูมที่ดังสนั่น ประกายศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ชิเย่ยังคงทำการสยบมันลงไปพร้อมกับอำนาจบดขยี้ ด้วยการสยบประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ทะลักขึ้นมาลงไปโดยตรงโดยไม่เกรงใจ โดยจะไม่มีวันไปรวมตัวกับมันอยู่แล้ว ในความคิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ชิเย่มองว่า แม้ประกายศักดิ์สิทธิ์ของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวจะร้อนแรงเจิดจ้าเพียงใดก็ตาม ก็ยังคงเป็นเพียงความดำมืดเท่านั้นเอง

“ความดำมืดก็ดี ประกายศักดิ์สิทธิ์ก็ช่าง ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความนึกคิดแวบเดียวเท่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงรูปแบบอย่างหนึ่ง เป็นวิธีการอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นว่า “ต่อให้เจ้ากลายเป็นอริยะบุคคลที่แท้จริง ณ ที่ตรงนี้ข้ายังคงสยบเจ้าเอาไว้ ข้ายังคงบดขยี้ทำลายเจ้าเช่นเดิม!”

“ข้ารู้” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวที่อยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเพียงแต่บอกคำตอบให้กับเจ้าเท่านั้น เจ้ากับพวกเราก็เหมือนกัน เจ้าก็จะต้องกลายเป็นเซียน เมื่อเจ้าได้กลายเป็นเซียนแล้วก็จะยืนอยู่ข้างฝ่ายเดียวกันกับพวกเรา ทุกยุคสมัยมันก็แค่ฝุ่นผงเท่านั้น วัฏสงสารมันก็แค่หลักเกณฑ์เท่านั้นเอง”

“เจ้าก็อย่าได้อวดอ้างตัวเองให้มากนักเลย ถ้าหากพวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นเซียนแท้จริง เช่นนั้นแล้วโลกนี้ก็ไม่มีเซียน” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา

โลกนี้ไม่มีเซียน! ความจริงคำพูดนี้ประกอบด้วยความหมายหลายชั้น มันไม่เพียงแต่บอกว่าโลกนี้ไม่มีเซียนเท่านั้น ความจริงแล้ว ความหมายของคำพูดนี้หมายรวมถึงความหมายของคำพูดหลี่ชิเย่ก่อนหน้านั้น

“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ อนาคตเจ้าก็หนีไม่พ้นชะตากรรมของเจ้า ภายในใจของเจ้าเองก็รู้ถึงคำตอบที่ตนต้องการแล้ว” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวหัวเราะขึ้นมา

“ข้าจะคอยดู” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า สิ่งที่ข้าสามารถยืนยันได้ก็คือ เจ้ายากจะหนีความตายไปได้ สุดท้ายจะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว”

“ฮึ นั่นเป็นเพราะเจ้าได้ประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรงอะไรเท่านั้น” ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ถ้าหากข้าอยู่ในช่วงแข็งแกร่งเต็มที่ล่ะก็ ผู้ใดสามารถต่อกร? จะต้องกลืนกินอาณาจักรของพวกเจ้า ฮึ หากว่าอยู่ท่ามกลางรอยแตก ข้าไหนเลยจะมีสภาพเช่นนี้ หากข้าอยู่ในช่วงแข็งแกร่งเต็มที่ ต่อให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าแกร่งมากกว่านี้ ข้าไม่สามารถกักขังข้าได้เช่นกัน!”

คำพูดของผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงตน และเต็มไปด้วยความถือดี เป็นความจริงที่เข้ามีสิทธิ์และกำลังความสามารถไปหยิ่งทะนงตนกับถือดี ในโลกนี้อย่าว่าแต่ผู้คนเป็นแสนเป็นล้านเลย แม้แต่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะปฐมบรรพบุรุษ พวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญ

“ได้แต่โทษเจ้าที่โชคไม่ดี” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และไม่พูดอะไรมากความ

ผู้ยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ในขณะนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความมืดดำอีกในทันที ได้ยินเสียงตูม…ดังสนั่น มองเห็นความมืดดำที่ดั่งคลื่นยักษ์ พลังความมืดดำได้ประทุขึ้นมาอีกครั้ง

มาคราวนี้ ขณะพลังความมืดดำปะทุขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ไปหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่อาศัยท่วงท่าที่พรงพลังมากที่สุดโจมตีเข้าไป ในเวลานี้ พลังของความมืดดำได้เพิ่มขึ้นมากมายอย่างบ้าคลั่ง บุกโจมตีประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด มันต้องการปกคลุมประกายศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ทั้งหมด เขาต้องการตีแตกจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่

กล่าวสำหรับตัวเขาแล้ว มีเพียงทำลายจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่จึงสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ สามารถกัดกร่อนหลี่ชิเย่ได้อย่างแท้จริง ยึดครองจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร และร่างกายของหลี่ชิเย่มาเป็นของตน

กล่าวสำหรับผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวเช่นนี้แล้ว จะเป็นความมืดดำก็ดี สว่างไสวก็ช่าง เฉกเช่นที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น นั้นเป็นเพียงหนึ่งความนึกคิดเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงรูปแบบ หรือวิธีการอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

ถ้าหากเขาต้องการ ขอเพียงหนึ่งความนึกคิดเท่านั้น เขาก็สามารถทำให้ตนเองกลายเป็นมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก อีกทั้งยังสามารถทะลุผ่านต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นอริยะบุคคล

“เพียงแต่ เวลานี้เขาเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ ย่อมต้องยิงถล่มด้วยสิ่งที่ตนเองถนัดมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นพลังความมืดดำที่มีความได้เปรียบมากที่สุด”

พูดตามจริง พวกเขาที่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะเป็นอริยะบุคคลก็ดี เป็นมารร้ายก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก แค่วิธีการที่จะไปถึงจัดนั้นไม่เหมือนกัน วิธีการปกครองแตกต่างกันเท่านั้น พวกเขายังคงเป็นพวกเขา พวกเขาใช่ว่าการกลับกลายเป็นอริยะบุคคล และหรือมารชั่วร้ายแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงในธาตุแท้ดั้งเดิมของพวกเขา ธาตุแท้ดั้งเดิมของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน

เสมือนดั่งผู้ดำรงอยู่ในฐานะสุดน่ากลัวอย่างนั้น ธาตุแท้ดั้งเดิมของพวกเขาก็คือความเป็นอมตะ เหมือนดั่งที่พวกเขาพูดเอาไว้อย่างนั้น อมตะไม่มีวันตาย พวกเขาก็คือเซียน

…………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *