Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2713 การตัดสินใจที่ลังเล

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2713 การตัดสินใจที่ลังเล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2713 การตัดสินใจที่ลังเล

“น่าสงสาร” มีศิษย์ที่ซุบซิบขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เจี้ยนคุนผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่

“เป็นผู้ที่น่าสงสารจริงๆ เกรงว่าเขาคงหกล้มอยู่ตรงนี้นานแล้วกระมัง ไม่มีใครมาตามหา ไม่แน่นักอาจไม่มีญาติ อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว” มีศิษย์ที่ส่ายหน้าเมื่อมองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่แล้ว

“สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว” มีศิษย์พูดขึ้นมาว่า “กลายเป็นมนุษย์ผักไปแล้วถึงกับ่ยังไม่ตาย ดูท่าอาจเป็นไปได้ว่าสมุนไพรเซียนหญ้าทิพย์ที่ขึ้นอยู่ตรงนี้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ดื่มโอสถทิพย์ หายใจเอากลิ่นอายสมุนไพรเข้าไป ทำให้รอดชีวิตมาได้”

ศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างพยักหน้ารู้สึกมีเหตุผล เมื่อได้ฟังการคาดเดาของศิษย์ผู้นี้ จะอย่างไรเสีย การทีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งหกล้มอยู่ที่ตรงนี้จนกลายเป็นมนุษย์ผักที่ขยับตัวไม่ได้ ถึงกับยังรอดชีวิตมาได้ นับว่าเป็นเพราะที่ตรงนี้มีสมุนไพรที่ล้ำค่าขึ้นอยู่บริเวณนี้เป็นจำนวนมก ได้ดื่มน้ำค้างของสมุนไพรหญ้าทิพย์ ได้หายใจเอากลิ่นอายของสมุนไพรหญ้าทิพย์ จึงทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้

มิฉะนั้นล่ะก็ แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งล้มและนอนอยู่ที่ตรงนี้เป็นเวลานานขนาดนี้ ต่อให้ไม่ถูกสัตว์ป่าลากเอาไปกิน ก็ต้องอดอาหารจนตาย

“เช่นนั้นจะจัดการกับเขาอย่างไรดี?” ในเวลานี้มีศิษย์กระซิบขึ้นมาด้วยคำพูดเช่นนี้

บรรดาศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ไม่มีประสบการณ์อะไร เวลานี้ก็ไม่ได้มีความคิดที่ดีกว่านี้

“ไม่ก็พาเขากลับสำนัก ให้ท่านอาจารย์พวกท่านตัดสิน” มีศิษย์เสนอขึ้นมา

ศิษย์อีกคนตอบทันควันว่า “ใครจะแบกเขากลับไป? เกิดกลับไปแล้วเรื่องยาวใครจะไปดูแลเขา?”

พลันทำให้ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดต้องนิ่งเงียบ แม้จะกล่าวว่า “นิกายหู้ซานจงของพวกเขาไม่ถือเป็นสำนักเจ้าลัทธิอะไร แต่ว่า กล่าวสำหรับศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ทุกคนแล้ว พวกเขาคือผู้บำเพ็ญตน ไม่ว่าทักษะจะสูงหรือต่ำ เมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว พวกเขาก็จะมองว่าตนเองนั้นเหนือกว่าขั้นหนึ่ง”

“ถ้าหากจะให้ผู้บำเพ็ญตนเช่นพวกเขาไปดูแลมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งล่ะก็ ใครเล่ายินดีไปทำเรื่องเช่นนี้?”

การนำตัวเขากลับไป ถ้าหากเขามีครอบครัว และหรืออาจารย์ของพวกเขามีวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีก็ยังดี เกิดอาจารย์ของพวกเขาตัดสินใจว่าใครพาตัวเขากลับมาใครก็ต้องเป็นผู้ดูแล มิกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเรื่องใหญ่รึ?

ให้พวกเขาที่เป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญตนไปดูแลมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง กระทั่งอาจต้องดูแลเขาหลายสิบปี ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่อยากทำ

“ไม่ก็ทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่ ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย” มีศิษย์ที่ซุบซิบขึ้นมาว่า “ไหนๆ เขาก็ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายหู้ซานจง ทั้งยังไม่ได้เป็นญาติมิตรกับพวกเรา ทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน ปล่อยให้เขาเกิดเองตายเอง จะอย่างไรเสียเป็นตัวเขาที่ล้มเองอยู่ตรงนี้ ใช่เป็นพวกเราที่ทำร้ายเขา

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ศิษย์ผู้นี้ยังได้พูดเสริมประโยคนี้ขึ้นมาในตอนท้าย เพื่อความสบายใจ

เวลานี้ ศิษย์ของนิกายหู้ซานจงทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่ปฏิเสธว่านี่คือวิธีทีดีวิธีหนึ่ง จะอย่างไรเสียมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเขา

“ทำอย่าง อย่างนี้ไม่ดีกระมัง เกรงว่าทิ้งเขาไว้ตรงนี้ต้องถูกสัตว์กินแน่นอน” มีศิษย์ที่มองดูหลี่ชิเย่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกทนไม่ได้ เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

“ไม่ทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่ หรือว่าต้องการพาตัวเขากลับไปจริงๆ? เกิดจะต้องดูแลเขาแล้วจะทำอย่างไร? ใครจะมาแบกรับหน้าที่เช่นนี้” ศิษย์ที่มีอายุแก่กว่ากล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีศิษย์คนใดยินดีที่จะไปดูแลมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งอยู่แล้ว

จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขายังคงต้องพยายามฝึกปรือ ต้องบรรลุสัจธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้เวลาอันล้ำค่าไปสิ้นเปลืองอยู่บนตัวของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่สหาย

“ฆ่าเขาเสีย” สุดท้ายศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจี้ยนคุนได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

“ฆ่าเขาเสีย…” ศิษย์นิกายหู้ซานจงทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจอย่างยิ่ง มีศิษย์เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “ทำ ทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง”

ความจริงแล้ว ในฐานะศิษย์ของนิกายหู้ซานจง พวกเขาก็เคยฆ่าคน แต่คนที่พวกเขาฆ่าล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น

แต่ทว่า มาวันนี้หากจะให้พวกเขาไปสังหารมนุษย์ผักคนที่กระทั่งเคลื่อนไหวก็ไม่ได้

เหมือนจะไม่เหมาะสมนัก จะอย่างไรเสียพวกเขายังคงไม่สามารถทำเรื่องลักษณะเช่นนี้ได้

“ไม่ฆ่าเขาเสีย ปล่อยเขาทิ้งไว้ที่ตรงนี้ก็เป็นการทรมานเปล่าๆ ทิ้งเขาไว้ตรงนี้ช้าหรือเร็วก็ต้องตาย แทนที่จะถูกยุงและสัตว์มากัดกินจนตาย มิสู้หนึ่งกระบี่ให้เขาตายไปทันที อย่างน้อยก็ให้เขาสบายใจ” จะอย่างไรหลี่เจี้ยนคุนก็คือศิษย์พี่ใหญ่ เคยพานพบสถานการณ์มากกว่า คำพูดที่พูดออกมาดูจะเย็นชาโหดร้ายยิ่งกว่า

ในเวลานี้ บรรดาศิษย์นิกายหู้ซานจงที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างนิ่งเงียบ แม้ว่าพวกเขาไม่บอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่เจี้ยนคุน แต่ว่าคำบอกเล่าลักษณะเช่นนี้ของหลี่เจี้ยนคุนใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

แทนที่จะทิ้งหลี่ชิเย่ให้ได้รับทุกข์ทรมานอยู่ตรงนี้ มิสู้หนึ่งกระบี่ช่วยให้เขาสบายใจ จะอย่างไรเสียก็ต้องตายอยู่แล้ว กล่าวสำหรับมนุษย์ผักแล้ว หนึ่งกระบี่ช่วยให้เขาสบายกลับจะเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง

“ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นอื่นใด เช่นนั้นแล้วก็ฆ่าเขาเสีย” สายตาของหลี่เจี้ยนคุนกวาดตามองไปรอบ เมื่อเห็นศิษย์นิกายหู้ซานจงทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเงียบ จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

ศิษย์ทั้งหมดของนิกายหู้ซานจงต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน สุดท้ายทุกคนล้วนแล้วแต่นิ่งเงียบ จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการรับเอาเรื่องยุ่งยากนี้เอาไว้

ขณะที่บรรดาศิษย์ทั้งหมดของนิกายหู้ซานจงต่างนิ่งเงียบอยู่นั้น หลี่เจี้ยนคุน ค่อยๆ ชักกระบี่วิเศษของตนออกมา ส่งประกายเยือกเย็นวูบวาบ

“ศิษย์พี่ ข้า ข้า ข้าจะดูแลเขา” จังหวะที่หลี่เจี้ยนคุนชักกระบี่และกำลังจะสังหารหลี่ชิเย่นั้น ปรากฎเสียงที่อ่อนแอเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางศิษย์ของนิกายหู้ซานจง คำพูดนั้นดูจะไม่มั่นใจอะไรนัก แต่ว่า ยังคงพูดขึ้นมาว่า “ข้า ข้า ข้าจะแบกตัวเขากลับสำนัก ดู ดูว่าเขายังสามารถช่วยได้หรือไม่ ข้า ข้าจะดูแลเขา”

บรรดาศิษย์ของนิกายหู้ซานจงต่างจ้องมองไปที่นางเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ผู้ที่พูดคำพูดนี้ขึ้นมาคือศิษย์สาวคนหนึ่ง นางมีรูปโฉมที่สวยสดงดงามมาก ท่าทางออกจะไม่ค่อยมั่นใจตนเองเท่าไรนัก แต่ว่านัยน์ตาคู่นั้นที่ใสสะอาดมีชีวิตชีวากลับเผยให้เห็นถึงประกายที่มั่นคง

“ศิษย์น้องสาวกัว…” ศิษย์พี่สาวที่อยู่ข้างๆ ดึงตัวนางเบาๆ เมื่อได้ยินศิษย์สาวผู้นี้พูดขึ้นมาเช่นนี้

ศิษย์สาวผู้นี้ดูจะไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมาเมื่อถูกศิษย์พี่ทุกคนจ้องมอง ต้องรีบก้มหน้าลง

“ศิษย์น้องสาวกัว ทำแบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง” มีศิษย์พี่คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเตือนสติขึ้นเบาๆ ว่า “จะอย่างไรเสียเจ้ากับเขาใช่ญาติใช่สหาย ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

ศิษย์สาวผู้นี้มีชื่อว่ากัวเจียหุ้ย นางคือหนึ่งในศิษย์ของนิกายหู้ซานจง เข้าเป็นศิษย์ของนิกายหู้ซานจงมาได้หลายปีแล้ว ด้านพรสวรรค์นั้นพูดได้แต่เพียงจัดว่าใช้ได้ ในบรรดาศิษย์ของนิกายหู้ซานจงการแสดงออกของนางถือว่าเรียบๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นและไม่มีผลงานอะไรเท่าไร กล่าวได้ว่าศิษย์ลักษณะเช่นนางมักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอๆ

ศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจี้ยนคุนจ้องมองไปที่นางทันที กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ามั่นใจรึ? ถ้าหากเจ้านำตัวเขากลับไป เกรงว่าจะต้องดูแลเขาไปตลอด จะอย่างไรเสียหากสักวันเจ้าจับเขาโยนออกไปข้างนอก ปล่อยให้เขาเกิดเองตายเองล่ะก็ สิ่งนี้ไม่เพียงสำหรับเจ้าเท่านั้น กับชื่อเสียงของสำนักก็จะไม่ดี”

“ถ้าหากเจ้าไม่มีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ล่ะก็ ทางที่ดีอย่าทำจะดีกว่า” สุดท้าย ศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจี้ยนคุนยังได้หว่านล้อมด้วยคำๆ นี้

ในเวลานี้ ศิษย์พี่ ศิษย์พี่สาวทั้งหมดล้วนแล้วแต่จ้องมองไปที่กัวเจียหุ้ย ทุกคนต่างรู้สึกว่าการทำเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องดีโดยแท้ จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการไปปรนนิบัติมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเช่นนี้ และยังเป็นมนุษย์ผักอีกด้วย

“ศิษย์น้องสาว ยังคงเลิกเสียเถอะ เขากับเจ้าไม่ได้เป็นญาติหรือสหาย หากเจ้านำตัวเขากลับไปจริงๆ ล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงศิษย์คนอื่นๆ จะมีคำพูดนินทาอะไรทำนองนั้น แม้แต่การที่เจ้าต้องดูแลเขา เกรงว่าคงเสียเวลาเจ้า อนาคตเจ้าต้องการมีเวลามากกว่านี้ไปฝึกปรือ ไม่ควรเอาเวลาอันมีค่าของตนมาเสียเวลาอยู่กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง” ข้างกายของกัวเจียหุ้ยก็มีศิษย์พี่สาวที่เตือนด้วยความหวังดี

“นั่นสิ ศิษย์น้องกัว ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ มันจะนำมาซึ่งความยุ่งยากนับไม่ถ้วน” มีศิษย์พี่ที่เตือนด้วยความหวังดี และกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าทนดูไม่ได้ก็จากไปก่อนได้ รอให้เจ้าไปจากแล้วศิษย์พี่ใหญ่ค่อยลงมือ”

“ศิษย์น้องกัว เป็นความจริงที่เรื่องนี้ต้องคิดอย่างรอบคอบ สิ่งนี้มีความเป็นไปได้ทำให้เจ้าเสียเวลาหลายสิบปี เกิดเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอด เช่นนั้นแล้วเจ้ามิต้องดูแลเขาตลอดไปรึ?” เหล่าศิษย์พี่ศิษย์พี่สาวต่างทยอยกันออกปากเตือน

ภายใต้การเตือนของเหล่าศิษย์พี่ ศิษย์พี่สาว กัวเจียหุ้ยถึงกับลังเลขึ้นมานิดหนึ่ง ภายในจิตใจถึงกับหวั่นไหวทีหนึ่ง คำพูดของศิษย์พี่ ศิษย์พี่สาวใช่จะไม่มีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น เป็นความจริงที่นางกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่ญาติหรือสหาย

จังหวะที่ภายในใจของกัวเจียหุ้ยเกิดความลังเลนั้น นางอดที่จะจ้องมองดูหลี่ชิเย่ไม่ได้ ใบหน้าของหลี่ชิเย่ยังคงเลอะเทอะเต็มไปด้วยดินโคลน แต่ว่า เมื่อมองเห็นโครงหน้าของเขาแล้ว ภายในใจของนางถึงกับปรากฏคนผู้หนึ่งลอยขึ้นมา บังเกิดความรู้สึกที่ชิดใกล้ขึ้นมา

“ข้า ข้า ข้าตัดสินใจแล้ว” สุดท้าย กัวเจียหุ้ยกัดฟันและกล่าวว่า “ข้า ข้ายินดีดูแลเขา”

ขณะที่กัวเจียหุ้ยพูดคำๆ นี้ออกมานั้น ถึงกับเหมือนยกของหนักลงจากบ่า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง

“ศิษย์น้องสาวยังคงมีเมตตาเกินไป” ศิษย์พี่ ศิษย์พี่สาวคนอื่นๆ ได้แต่ส่ายหน้า เมื่อเห็นกัวเจียหุ้ยได้ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ในท้ายที่สุด จึงไม่ขัดขวางอีก จะอย่างไรเสียพวกเขาได้เตือนมามากพอแล้ว

ทุกคนต่างก็รู้ว่า พลันที่นำเอามนุษย์ผักเช่นนี้กลับไป ก็จะกลายเป็นภาระของกัวเจียหุ้ยในทันที เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว กัวเจียหุ้ยยิ่งไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากอีก

“ในเมื่อศิษย์น้องกัวมีจิตเมตตาเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ว่าอะไรอีก” หลี่เจี้ยนคุนเก็บกระบี่วิเศษและพยักหน้ากล่าวว่า “เพียงแต่ นับว่านี้เป็นต้นไปเขาก็จะกลายเป็นหน้าที่ของเจ้า”

“ข้า ข้าทราบแล้ว” หลังจากที่กัวเจียหุ้ยตัดสินใจแล้วก็ไม่เสียใจภายหลังอีก รีบเข้าไปพยุงหลี่ชิเย่ขึ้นมา

ศิษย์คนอื่นๆ หลายคนที่มีความสัมพันธ์กับกัวเจียหุ้ยค่อนข้างดีเข้าไปให้ความช่วยเหลือ จัดการพยุงหลี่ชิเย่ที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมา

“ภารกิจในครั้งนี้ของพวกเราได้เสร็จสิ้นแล้ว กลับสำนักเถอะ” สุดท้าย ศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจี้ยนคุนมองดูศิษย์ทุกคนทีหนึ่ง เดินนำหน้ากลับไปยังสำนัก

ศิษย์คนอื่นๆ ต่างทยอยกันเดินตามให้ทัน กัวเจียหุ้ยได้แบกหลี่ชิเย่เดินอยู่ข้างหลัง บางครั้งก็จะมีศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ลงมือช่วยเหลือบ้างเป็นครั้งคราว

แม้ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ จะทยอยกันส่ายหน้ากับการติดสินใจเช่นนี้ขอกัวเจียหุ้ย ขณะที่มี ผู้คนที่รู้สึกประหลาดใจ แต่ทว่า กัวเจียหุ้ยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่ไปอธิบาย เพียงแบกตัวหลี่ชิเย่ติดตามทุกคนก้าวเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ตลอดทาง

……………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *