Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2721 ขัดเกลา

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2721 ขัดเกลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2721 ขัดเกลา

พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก วสันตฤดูผ่านไป สารทฤดูมาเยือน กัวเจียหุ้ยยังคงแบกหลี่ชิเย่เคลื่อนที่ไปทีละก้าวๆ ปีนขึ้นไปยังส่วนที่สูงขึ้นไปของภูเขาศักดิ์สิทธิ์

ท่ามกลางการก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้น ไม่รู้ว่ากัวเจียหุ้ยได้สูญเสียเหงื่อไปเท่าไร ไม่รู้ว่าได้แลกมาด้วยความยากลำบากเท่าไร แต่ทว่า ท่ามกลางการขัดเกลาลักษณะเช่นนี้ นางได้เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ท่ามกลางตลอดขั้นตอนที่ผ่านมา กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างช้าๆ มีร่องรอยของการเป็นดักเด้เพื่อกลับกลายเป็นผีเสื้ออย่างนั้น

ภายในใจของกัวเจียหุ้ยไม่ได้มีการสับเปลี่ยนหมุนวนของสุริยันจันทราของโลกภายนอก ภายในใจของนางมีเพียงความศรัทธาที่มั่นคงอย่างยิ่ง ความศรัทธาดังกล่าวก็คือการขึ้นไปให้ถึงยอดเขา! และจากการที่นางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ความศรัทธาที่อยู่ในใจก็ยิ่งมีความมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก

บนเส้นทางที่ปีนป่ายไปตลอดทางนั้น กัวเจียหุ้ยต้องพานพบกับกลางวัน และยามค่ำคืนครั้งแล้วครั้งเล่า บนเส้นทางนี้เคยพบกับพายุฝนฟ้าคะนอง เกือบจะต้องถูกพัดจนตกหน้าผาภายใต้พายุฝนฟ้าคะนองนี้ บนเส้นทางที่เป็นหินเคยมีน้ำแข็งและหิมะที่ปกคลุม ท่ามกลางความหนาวเย็นสุดขั้วนางเคยถูกหิมะปกคลุมจนกลายเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็ง บนเส้นทางสายนี้ เคยมีแดดที่ร้อนแผดเผา จนนางเกือบจะถูกย่างจนกลายเป็นมนุษย์แห้งแล้ว…

วันเวลาที่ผ่านไป กัวเจียหุ้ยที่ประสบกับความทุกข์ยากจากการก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ในอดีตเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่า ภายใต้การขัดเกลาด้วยลักษณะที่ทุกข์ยากและยากลำบากเช่นนี้ ทำให้กัวเจียหุ้ยเติบโตขึ้นทุกๆ วัน กลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กลับกลายเป็นมีความเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น

ไม่รู้ว่าก้าวเดินไปนานเท่าไรแล้ว ทันใดนั้นอยู่มาวันหนึ่งนางได้นั่งลงกะทันหัน และได้สติกลับมาจากความด้านชานั่น

เมื่อนางได้สติกลับมา ได้มองเห็นภาพที่สะเทือนหวั่นไหวอย่างยิ่ง เวลานี้ นางได้มาอยู่ที่ครึ่งเขาของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว และการได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้ เสมือนหนึ่งได้ก้าวสู่โลกอีกโลกหนึ่งอย่างนั้น

ในเวลานี้ไม่สามารถมองเห็นนิกายหู้ซานจงอีกแล้ว และมองไม่เห็นภูเขาแม่น้ำลำธารที่อยู่เบื้องล่างอีกแล้ว ทอดสายตามองออกไป มันเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง และในขณะนี้ ดวงดาวที่ส่งประกายเจิดจ้าแต่ละดวงเหมือนอยู่เหนือศีรษะของนาง แค่เอื้อมมือไปก็สามารถคว้าดวงดาวแต่ละดวงลงมาได้แล้ว

ท่ามกลางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยดวงดาวนี้ สามารถมองเห็นการสับเปลี่ยนหมุนวนของสุริยันแลจันทรา สามารถมองเห็นทางช้างเผือกที่ล้อมรอบ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเสมือนดั่งโลกทั้งโลกล้วนแล้วแต่กำเนิดขึ้นที่นี่อย่างนั้น

กัวเจียหุ้ยรู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจิ๋วเหลือเกิน เหมือนหนึ่งเป็นฝุ่นผงที่เล็กมากจนไม่สามารถจินตนาการได้เม็ดหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นด้านบนต่อไป ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยังคบงตั้งสูงตระหง่านทะลุเข้าไปยังส่วนที่ไกลที่สุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เหมือนว่ายอดเขาสูงสุดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ก็คือบริเวณที่สูงที่สุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแห่งนี้ และก็คือส่วนที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปมากที่สุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

มองดูด้านล่างของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เห็นดาวตกที่งดงามยิ่งนักวิ่งผ่านไป ดั่งบทกวีดั่งภาพวาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ไกลออกไปของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวถึงกับมีเรือรบขนาดยักษ์หลายลำที่จอดอยู่ โดยเรือรบขนาดยักษ์แต่ละลำคล้ายดั่งเป็นดวงดาวขนาดยักษ์อย่างนั้น เรือรบหนึ่งลำหากตกลงไป เหมือนว่าสามารถทับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งจนจมธรณีได้

เรือรบแต่ละลำเหล่านี้ไม่รู้ว่าทอดสมออยู่ตรงนั้นมานานเท่าไรแล้ว ตัวของเรือรบแลดูลายพร้อยยิ่งนัก หลายๆ แห่งได้แตกละเอียดไป เหมือนว่าเรือรบเหล่านี้พลันที่กลับมาจากสมรภูมิรบในยุคดึกดำบรรพ์ก็ได้มาทอดสมออยู่ที่ตรงนี้ และไม่มีใครได้ขับเคลื่อนเรือรบแต่ละลำเหล่านี้อีก

กัวเจียหุ้ยถูกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้หวั่นไหวอย่างสิ้นเชิงแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้เห็นภาพที่อลังการเช่นนี้ หากไม่ได้ปีนขึ้นมาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ เกรงว่าชั่วชีวิตของนางก็จะไม่ได้เห็นสภาพที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวตลอดไป

นาทีนี้กัวเจียหุ้ยที่ได้สติกลับมาจึงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าตนเองไม่ได้มาเสียเที่ยว ลำพังแค่ได้เห็นภาพตรงหน้าทุกอย่างก็คุ้มค่าแล้ว เหงื่อที่ไหลไป ความยากลำบากที่สูญเสียไปล้วนคู่ควร

หลังจากผ่านไปนานมาก กัวเจียหุ้ยจึงได้ละสายตากลับมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวซึ่งสร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนมาได้ เวลานี้ นางอดที่จะจ้องมองดูหลี่ชิเย่ ขณะที่หลี่ชิเย่ยังคงหลับใหลอยู่ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

นับแต่เริ่มต้นปีนขึ้นเขาเป็นต้นมา หลี่ชิเย่ก็ไม่เคยฟื้นตื่นขึ้นมาเลย แม้แต่หนังตาก็ไม่มีการกระตุกสักครั้ง

ระหว่างทาง กัวเจียหุ้ยเกือบจะต้องเสียชีวิตหลายครั้ง เกือบจะตกหน้าผามาหลายครั้ง แต่ว่า หลี่ชิเย่ยังคงปราศจากความเคลื่อนไหว เหมือนว่าต่อให้กัวเจียหุ้ยตกหน้าผาจนเสียชีวิตเขาก็จะไม่ตื่นขึ้นมา

ความจริงแล้ว เรื่องราวที่เกิด่ขึ้นหลี่ชิเย่รู้เรื่องดีมาโดยตลอด เพียงแต่เขาขี้คร้านจะไปสนใจเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของมัน ถ้าหากการทดสอบเพียงแค่นี้ การได้รับความทุกข์ทรมานเพียงเท่านี้ กัวเจียหุ้ยก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ และไม่สามารถทำได้สำเร็จล่ะก็ ในอนาคตนางไหนเลยจะมีสิทธิ์ยืนอยู่จุดสูงสุดได้ และมีความสามารถไปแบกรับภาระที่หนักอึ้งได้อย่างไร?

ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงไม่ใส่ใจต่อกัวเจียหุ้ย ปล่อยให้นางได้รับความทุกข์ทรมานตามอำเภอใจ ให้นางถูกเคี่ยวกรำท่ามกลางความทุกข์ทรมาน ให้ทุกข์ทรมานเป็นตัวขัดเกลานาง

วิสัยทัศน์ของหลี่ชิเย่นั้นชัดเจนมาก ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง พรสวรรค์ไม่สูงไม่ใช่ปัญหา แต่ว่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจะต้องแข็งแกร่งเพียงพอ

ด้วยพรสวรรค์ลักษณะเช่นนี้ของกัวเจียหุ้ย เมื่อเปรียบเทียบกับอัจฉริยะบุคคลอื่นๆ แล้ว เรียกได้ว่านางอยู่ในระดับธรรมดาไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ถ้าหากกัวเจียหุ้ยคิดจะล้ำหน้าบรรดาอัจฉริยะบุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จสูงสุด จำต้องแลกมาด้วยความพยายามมากยิ่งกว่าคนอื่น แบกรับความทุกข์ทรมานมากกว่าคนอื่น หาไม่แล้วนางจะเอาอะไรมาแข่งกับบรรดาอัจฉริยะบุคคลเหล่านั้น?

ถ้าหากนางแบกรับการขัดเกลาเช่นนี้ รับไม่ได้กับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ก็ไม่คู่ควรให้หลี่ชิเย่ไปบ่มฟักนางแล้ว

สุดท้าย กัวเจียหุ้ยได้ละสายตากลับมา และแบกหลี่ชิเย่ออกเดินทางต่อไป เริ่มต้นการเคลื่อนที่ไปทีละก้าวๆ ต่อไป

หลังจากผ่านการขัดเกลามานับวันนับเดือน ภาพรวมของกัวเจียหุ้ยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อ ด้านอุปนิสัยได้กลับกลายเป็นมีความกล้าหาญมากขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น และกลายเป็นผู้ที่ตัดสินใจที่เด็ดขาด

กล่าวได้ว่า ท่ามกลางตลอดขั้นตอนของการขัดเกลาไม่เพียงทำให้ร่างกายของนางเหมือนเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น ทำให้ด้านอุปนิสัย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรได้มีการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เด็กสาวคนหนึ่งแบกผู้ชายคนหนึ่งก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ บนเส้นทางที่คดเคี้ยวลดเลี้ยวขรุขระและสูงชัน ท่ามกลางประกายจากดวงดาวร่างเงาของนางลากไปยาวมาก

มองดูร่างเงาของนางที่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่แล้ว ทำให้ผู้คนนึกถึงคำพูดคำหนึ่ง คือ ก้าวเดินบนเส้นทางโดยลำพัง!

แต่ละวันที่ผ่านไป วสันตะฤดูผ่านไป สารทฤดูมาเยือน ด้านล่างของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จ้าวจื้อถิงรอคอยการกลับมาของกัวเจียหุ้ยสองคน นางได้ทำการปลูกเป็นบ้านไม้ขึ้นมาหลังหนึ่ง ยืนหยัดจะรอจนกว่ากัวเจียหุ้ยสองคนจะกลับมา

จ้าวจื้อถิงรออยู่ที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์เพียงผู้เดียว แรกทีเดียวรู้สึกร้อนรนและค่อยๆ ตกผลึกลง ทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ของนางค่อยๆ สงบขึ้น และมีความหนักแน่นขึ้น

ภายใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จ้าวจื้อถิงพยายามฝึกปรืออย่างหนักพลาง รอคอยการกลับมาของกัวเจียหุ้ย

ลักษณะการฝึกปรืออย่างหนักที่เสมือนดั่งกักตนนี้ ทำให้ภาพรวมของจ้าวจื้อถิงกลายเป็นคนที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ ภายใต้ปราศจากสิ่งอึกทึกรบกวน ทำให้นางมีความใจจดใจจ่อมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ทักษะของจ้าวจื้อถิงก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ทำให้กำลังความสามารถของนางได้ทะลุผ่านด่านแล้วด่านเล่า กล่าวได้ว่า การรั้งอยู่ที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวจื้อถิงนับว่าได้รับผลดอกผลที่สะเทือนเลื่อนลั่นยิ่ง

จากการที่กัวเจียหุ้ยไปจากนานวันมากขึ้นเท่าไร วสันตะฤดูผ่านไป สารทฤดูมาเยือน ศิษย์จำนวนไม่น้อยของนิกายหู้ซานจงต่างค่อยๆ ลืมเลือนกัวเจียหุ้ยไปแล้ว

เนื่องจากระยะเวลาผ่านไปยาวนานมาก กัวเจียหุ้ยก็ยังไม่ได้กลับมา ทุกคนต่างเข้าใจว่านางได้เสียชีวิตบนเขาศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว

“น่าสงสาร” บางครั้งบางครา คงมีอาจารย์ของกัวเจียหุ้ยที่มองไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทีหนึ่งจากระยะห่างไกล ส่ายหน้า ท่าทางดูเสียดายอยู่บ้าง

แม้จะเป็นอาจารย์ของนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ต่อให้อาจารย์ของนางคิดจะเป็นเก็บศพก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พลังของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งยิ่งนัก ลำพังอาศัยกำลังแค่นั้นของอาจารย์ของนาง พร้อมที่จะถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดได้ทุกเวลา

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร และไม่รู้ว่าวันและเดือนผ่านไปกี่มากน้อย ในที่สุดกัวเจียหุ้ยที่แบกหลี่ชิเย่ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ยอดเขาแล้ว

นาทีขณะที่เหยียบลงบนยอดเขานั้น กัวเจียหุ้ยยังไม่ได้สติกลับมา นางยังคงจมปลักอยู่ในสภาพของภวังค์ หลังจากที่ก้าวขึ้นบนยอดเขาครู่ใหญ่ นางจึงได้สติกลับมา

นางมองไปรอบๆ นาทีนี้นางจึงเข้าใจว่าในที่สุดตนเองก็ได้มายืนอยู่บนยอดเขาแล้ว ในขณะนี้รสชาติของความเบิกบานใจสายหนึ่งได้ตลบอบอวลอยู่ภายในจิตใจของนาง

“ข้าขึ้นมาได้แล้ว ข้าขึ้นมาได้แล้ว คุณชาย ข้าขึ้นมาได้แล้ว” ไม่ง่ายนัก กัวเจียหุ้ยรู้สึกดีใจจึงรีบบอกกล่าวต่อหลี่ชิเย่ แต่ทว่า หลี่ชิเย่ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่าไม่สามารถแบ่งปันความเบิกบานใจกับนางได้

ในขณะนี้ความเบิกบานใจได้ตลบอบอวลอยู่ภายในจิตใจของกัวเจียหุ้ย นางไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจระคนกับความดีใจจนควบคุมสติไม่ได้ แต่ความเบิกบานใจที่บานเบ่งอยู่ภายในใจนั้น ช่างหวานฉ่ำเหลือเกิน

ขณะยืนอยู่ที่ตรงนี้ เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกล่าวสำหรับกัวเจียหุ้ยแล้วช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ เป็นสิ่งที่นางสมควรจะได้รับ

ด้วยเหตุนี้เอง ภายในใจของกัวเจียหุ้ยมีความเบิกบานใจแต่ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจระคนกับความดีใจจนควบคุมสติไม่ได้ เนื่องจากการที่นางยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ สามารถบังเกิดผลเช่นนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ ดังนั้นจึงมีแต่ความเบิกบานใจ ไม่มีตื่นตระหนกตกใจระคนกับความดีใจจนควบคุมสติไม่ได้

ขณะที่กัวเจียหุ้ยยืนอยู่บนยอดเขาและมองไปรอบๆ บังเกิดความรู้สึกที่ได้ขึ้นมาอยู่บนยอดเขาที่สูงสุดแล้วอย่างนั้น

ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสุริยันจันทราและดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นทางช้างเผือกหมื่นสายล้วนแล้วแต่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง การได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดและก้มมองทุกสิ่ง ทุกสิ่งดูจะเล็กจิ๋วอะไรขนาดนั้น เหมือนว่าตนเองนั้นอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

รสชาติแบบนี้ในอดีตไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน เวลานี้นางตระหนักได้แล้วว่า รสชาติแบบนี้ต่อให้นางต้องแลกมาด้วยความยากลำบากมากกว่านี้ก็คุ้มค่าอยู่แล้ว

ในขณะนี้ กัวเจียหุ้ยพลันรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แต่ว่า ความฝันนี้ช่างเป็นจริงมากเหลือเกิน

เริ่มต้นจากไม่กล้าจินตนาการ จนถึงออกเดินทางขึ้นเขา ผ่านความลำบากทุกข์ยากต่างๆ นานา กระทั่งเวลานี้นางได้มายืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดแห่งนี้

กัวเจียหุ้ยรู้สึกในความมหัศจรรย์ของตนเอง ที่ตนนั้นสามารถทำได้สำเร็จ สมควรทราบว่าหากเป็นอดีตการขึ้นสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิด มาวันนี้กลับกลายเป็นจริงแล้ว

ในเวลานี้ กัวเจียหุ้ยอยากจะแหงนหน้าคำรามเสียงยาวสักครั้ง แต่ว่า นางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางเพียงก้มหน้ามองดูดวงดาวที่ไม่มีสิ้นสุดใต้เท้าของตนเอง และสภาพจิตของนางได้กลับกลายเป็นสงบนิ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ

นาทีนี้ กัวเจียหุ้ยจึงได้ตระหนักว่าตนเองนั้นเติมโตขึ้นแล้ว เติบโตขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เด็กสาวคนนั้นที่ปราศจากความกล้าหาญ เมื่อพานพบเรื่องราวก็จะหวาดกลัวปราศจากความกล้าอีกแล้ว

สุดท้าย กัวเจียหุ้ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาแล้ว นาทีนี้สายตาของนางตกไปอยู่ข้างหน้า

ข้างหน้าถึงกับมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ถ้ำดังกล่าวไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ ดูไปแล้วมืดตึ๊ดตื๋อไปทั่ว

‘ถ้ำเซียนมาร’ กัวเจียหุ้ยรู้ว่ามันสถานที่ใด เมื่อมองเห็นถ้ำที่อยู่ตรงหน้า

………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *