Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2726 มงกุฎปราชญ์

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2726 มงกุฎปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2726 มงกุฎปราชญ์

เมื่อหลี่เจี้ยนคุนเห็นว่ากัวเจียหุ้ยและจ้าวจื้อถิงจะพาหลี่ชิเย่ไปด้วย ถึงกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์น้อง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง เจ้านิกาย ผู้อาวุโสพบเจ้าเป็นเรื่องภายในของพวกเรา ไม่ควรมีคนนอกอยู่ด้วย”

“เรียนศิษย์พี่ เหมาะสม” กัวเจียหุ้ยไม่พูดมากความ และไม่ต้องการอธิบาย นางทำตามที่หลี่ชิเย่สั่งการก็พอแล้ว

“ศิษย์น้อง หากทำเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้านิกายโกรธ” หลี่เจี้ยนคุนกล่าวเตือนสติอีกครั้ง สิ่งนี้นับเป็นความหวังดี จะอย่างไรเสีย คนพิการอย่างหลี่ชิเย่คือคนนอก ไม่เหมาะที่จะปรากฎตัวในเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ด้วยประการทั้งปวง

“ศิษย์พี่ อย่าพูดมาก” เวลานี้จ้าวจื้อถิงได้ส่ายหน้าเบาๆ กับหลี่เจี้ยนคุน และกล่าวว่า “ศิษย์น้องกัวย่อมมีเหตุผล”

จ้าวจื้อถิงก็เตือนสติหลี่เจี้ยนคุน จะอย่างไรเสียภายในใจของนางรู้ดีว่า เรื่องที่หลี่ชิเย่ตัดสินใจแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

“หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ศิษย์น้องก็จัดการไปตามสถานการณ์เองก็แล้วกัน” หลี่เจี้ยนคุนทำได้เพียงเท่านี้ เขาถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้งด้วยท่าทีที่ประหลาด

ภายในใจของหลี่เจี้ยนคุนนึกไม่ออกอย่างสิ้นเชิงว่ากัวเจียหุ้ยคิดอย่างไรกันแน่ หากจะกล่าวว่าในอดีตที่กัวเจียหุ้ยนำเอาคนพิการอย่างหลี่ชิเย่กลับมาดูแลที่สำนัก นั่นเป็นเพราะนางมีจิตใจที่ดีงาม ทนไม่ได้ที่จะเห็นหลี่ชิเย่ต้องถูกทิ้งศพเอาไว้กลางป่า

เรื่องเช่นนี้หลี่เจี้ยนคุนสามารถเข้าใจได้

แต่ว่า ภายหลังกัวเจียหุ้ยต้องการพาหลี่ชิเย่ขึ้นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เขาก็ไม่เข้าใจแล้ว เวลานี้ กัวเจียหุ้ยกลับมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปพบกับเจ้านิกาย ผู้อาวุโสยังคงจะพาหลี่ชิเย่ไปด้วย ยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนคุนไม่สามารถเข้าใจได้

หลี่เจี้ยนคุนเองก็รู้ดีว่า การที่กัวเจียหุ้ยกลับมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้นับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์โดยแท้ ไม่แน่นักอาจจะได้รับการให้ความสำคัญจากผู้อาวุโสของนิกายก็เป็นได้

กล่าวสำหรับกัวเจียหุ้ยแล้ว ในฐานะที่เป็นศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของนิกายหู้ซานจง นี่คือโอกาสที่นางควรทะนุถนอมเอาไว้จึงจะถูก เวลานี้นางกลับต้องการพาหลี่ชิเย่ไปพบกับเหล่าผู้อาวุโสและเจ้านิกาย เกิดไปทำให้พวกของเจ้านิกายไม่พอใจ มิเท่ากับเป็นการพลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไปรึ?

ณ โถงประชุมเรื่องสำคัญของนิกายหู้ซานจง บรรดาผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจง และเจ้านิกายล้วนแล้วแต่มารวมตัวกัน เรียกได้ว่า บรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโที่มีฐานะของนิกายหู้ซานจงล้วนมากันพร้อมหน้า

กล่าวสำหรับนิกายหู้ซานจงแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นง่ายดาย เว้นเสียแต่จะมีเรื่องราวที่ใหญ่โตสะเทือนเลื่อนลั่นแล้ว น้อยครั้งนักที่บรรดาเหล่าผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงจะมารวมตัวกันพร้อมหน้า มาวันนี้เพื่อศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งแล้ว บรรดาเหล่าผู้อาวุโส เจ้านิกายมารวมตัวกันเต็มโถงประชุม ยิ่งเป็นเรื่องที่หาได้น้อยมาก

เฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายนั่งอยู่ด้านบน เหล่าผู้อาวุโสเคียงข้างซ้ายขวา มองดูพวกของกัวเจียหุ้ยที่ก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอก

บรรดาผู้อาวุโสและเจ้านิกายไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด เมื่อจ้าวจื้อถิงเดินทางเข้ามามาพร้อมกับกัวเจียหุ้ย จะอย่างไรเสียหลังจากที่กัวเจียหุ้ยขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว จ้าวจื้อถิงก็ได้รอคอยการกลับมาของนางอยู่ที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ตลอดมา กระทั่งได้ปลูกกระท่อมเพื่อบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์

บรรดาผู้อาวุโสและเจ้านิกายพวกเขาสามารถเข้าใจได้ถึงความรักอันลึกซึ้งของศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ว่า เวลานี้เห็นกัวเจียหุ้ยเข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้ามา ขณะที่ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนก็คือหลี่ชิเย่ที่พวกเขามองว่าเป็นคนพิการ สิ่งนี้พลันทำให้บรรดาผู้อาวุโสและเฉินเหวยเจิ้งที่เป็นเจ้านิกายถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา

“เรียนเจ้านิกาย ผู้อาวุโส ศิษย์น้องมาแล้ว” หลังจากที่หลี่เจี้ยนคุนได้นำพาพวกของกัวเจียหุ้ยเข้ามายังห้องโถงแล้วก็ไม่กล้ากล่าวมากความเมื่อมีบรรดาผู้อาวุโสและเจ้านิกายอยู่ในเหตุการณ์ แสดงคารวะแล้วก็ถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง

“เหลวไหล” อาจารย์ของกัวเจียหุ้ยเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่อยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้านิกาย ผู้อาวุโสเรียกพบเจ้าเป็นเรื่องภายในของสำนัก ไหนเลยพาคนนอกเข้ามาได้ เข็นออกไป”

กัวเจียหุ้ยนิ่งเงียบไปทีหนึ่ง สุดท้ายแสดงคารวะ และกล่าวว่า “เรียนท่านอาจารย์ เรียนท่านเจ้านิกาย ผู้อาวุโส การมาของคุณชายย่อมมีเหตุผล”

กัวเจียหุ้ยเองก็กล่าววาจาด้วยความระมัดระวัง ในอดีต ภายในใจของนางเจ้านิกายนิกายหู้ซานจง และผู้อาวุโสล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงเด่น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่ศิษย์ธรรมดาเช่นนางไม่สามารถเอื้อมถึงได้

แต่มาวันนี้ ภายในใจของนางเข้าใจ หลี่ชิเย่นั่นแหละคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด แม้แต่ผู้เฒ่าที่อยู่ในถ้ำเซียนมารยังต้องให้ความเคารพนอบน้อมต่อเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

“เหลวไหล ที่นี้คือสถานที่สำคัญของสำนัก ไหนเลยปล่อยให้มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเข้ามาได้” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งตวาดเสียงทุ้มต่ำ

กัวเจียหุ้ยอ้าปากจะพูด แต่ก็นิ่งเงียบในทันที นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หากนางพูดออกมาเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคำพูดบางคำหากพูดออกมาเกรงว่าคุณชายจะไม่ปลื้ม เมื่อไหร่ที่คุณชายไม่พอใจ กัวเจียหุ้ยเองก็ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นภายหลัง

“มงกุฎบนศีรษะเจ้าได้มาจากที่ใด?” จังหวะที่ผู้อาวุโสแสดงความไม่พอใจต่อกัวเจียหุ้ยอยู่นั้น เฉินเหวยเจิ้งเจ้านิกายได้สังเกตเห็นหมวกปราชญ์ที่สวมอยู่บนศีรษะของกัวเจียหุ้ย

“ได้มาจากถ้ำเซียนมาร คุณชายประทานให้” กัวเจียหุ้ยแสดงคารวะต่อเจ้านิกาย และเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ว่าไงนะ…” พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาที่อยู่ในนั้นต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา กระทั่งมีผู้อาวุโสที่ลุกขึ้นยืนทันที เบิ่งตาจ้องมองกัวเจียหุ้ยแบบไม่อยากจะเชื่อ

“ได้มาจากถ้ำเซียนมาร?” มีผู้อาวุโสที่ไม่อยากจะเชื่อร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา

“เจ้าขึ้นไปบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์จริงรึ ได้เข้าไปในถ้ำเซียนมารจริงรึ?” ผู้อาวุโสผู้นึ่งลุกขึ้นยืน จ้องเขม็งไปที่กัวเจียหุ้ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

กัวเจียหุ้ยโค้งคำนับ แสดงคารวะและกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เรียนผู้อาวุโส ถูกต้อง ข้าได้ก้าวเดินตามเส้นทางหินขึ้นไปจนถึงยอดเขา เข้าไปในถ้ำเซียนมาร”

พลันที่กัวเจียหุ้ยพูดคำพูดนี้ออกมา หลี่เจี้ยนคุนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากกว้างค้าง เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

“เจ้า เจ้าเข้าไปในถ้ำเซียนมารแล้วจริงๆ…” ในเวลานี้ จะโทษบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาที่อยู่ในเหตุการณ์สงสัยก็ไม่ถูก

จะอย่างไรเสีย กี่ปีมาแล้วที่นิกายหู้ซานจงของพวกเขาไม่มีใครสามารถขึ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้อีกแล้ว ความจริงแล้ว เกรงว่าทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารก็ยากจะหาผู้ใดสามารถขึ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และเข้าไปยังถ้ำเซียนมารได้อีกแล้ว

เวลานี้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กลับถูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งทำได้แล้ว มันเป็นเรื่องที่เหลวไหลจริงๆ แล้วมันจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรกันเล่า

“เรียนผู้อาวุโส ถูกต้อง” เทียบกับกัวเจียหุ้ยในอดีตแล้ว กัวเจียหุ้ยในขณะนี้แม้แต่ต้องอยู่ต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสและเจ้านิกายก็ดูจะใจเย็น นิ่งและหนักแน่นขึ้นมากทีเดียว

“นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ในเวลานี้ บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างวิพากวิจารณ์กันขึ้น

การที่กัวเจียหุ้ยกลับลงมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต่างเข้าใจว่ามีความเป็นไปได้ที่นางขึ้นไปได้ถึงกลางเขา จากนั้นหันหลังกลับลงมา กล่าวสำหรับทุกคนแล้วแม้จะเป็นเช่นนี้ก็คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามงกุฎนี้มีชื่อว่ากระไร?” เฉินเหวยเจิ้งที่เป็นเจ้านิกายกลับดูจะสงบเยือกเย็นไม่น้อยเมื่อเทียบกับบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาอื่นๆ

“เรียนเจ้านิกาย ไม่ทราบ” กัวเจียหุ้ยส่ายหน้าเบาๆ ความจริงแล้วนางเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามงกุฎปราชญ์นี้มีชื่อว่าอะไร หลี่ชิเย่ประทานให้นาง นางจึงสวมใส่มันไว้บนศีรษะ

“มันมีชื่อว่ามงกุฎปราชญ์ เจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของมันหรือไม่?” สุดท้าย เฉินเหวยเจิ้ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งทีหนึ่ง และกล่าวขึ้นมาช้าๆ

“อะไรนะ มงกุฎปราชญ์!” ครั้นเฉินเหวยเจิ้งพูดชื่อของมงกุฎปราชญ์นี้ขึ้นมา พลันเหมือนหนึ่งระเบิดลง บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาทั้งหมดต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ ต่างรู้สึกหวาดผวากับสิ่งนี้ รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง

“นี่ นี่เป็นมงกุฎปราชญ์ที่หายสาบสูญไปนานจริงๆ รึ?” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งจ้องเขม็งไปที่มงกุฎปราชญ์ที่สวมอยู่บนศีรษะของกัวเจียหุ้ย รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ

“น่าจะไม่ผิด” เฉินเหวยเจิ้งมองดูมงกุฎปราชญ์ที่อยู่บนศีรษะของกัวเจียหุ้ยแล้ว ท้ายที่สุดได้กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “ปรัชญาเมธีคนสุดท้ายของนิกายหู้ซานจงพวกเรา ไม่สามารถต้อนรับการกลับชาติมาเกิดใหม่ของปฐมบรรพบุรุษ ดังนั้น จึงได้ฝากมงกุฎปราชญ์เอาไว้ภายในถ้ำเซียนมารในที่สุด เหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังที่มีคุณสมบัติได้สืบทอดมัน นับจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ปรากฏมงกุฎปราชญ์ในหล้าอีกเลย”

บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาต่างมองหน้าซึ่งกันและกันโดยพลันเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเหวยเจิ้ง ถ้าหากว่าสิ่งที่เฉินเหวยเจิ้งพูดมานั้นเป็นความจริง เช่นนั้นแล้ว กัวเจียหุ้ยก็ได้ขึ้นไปยังยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ และเข้าไปในถ้ำเซียนมารจริงน่ะสิ

เมื่อบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขานึกถึงตรงนี้แล้วต่างรู้สึกตะลึงงัน พันล้านปีที่ผ่านมา นับแต่ปรัชญาเมธีรุ่นสุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้อีก ไม่มีใครได้เข้าไปในถ้ำเซียนมารได้อีก แต่ มาวันนี้กลับถูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งทำได้แล้ว

“เจ้าได้มงกุฎปราชญ์มา ดูท่า เจ้าได้เข้าไปในถ้ำเซียนมารแล้วจริงๆ” ท่าทางของเฉินเหวยเจิ้งดูหนักแน่นจริงจัง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ศิษย์ธรรมดามาสืบทอดมงกุฎปราชญ์

“เรียนเจ้านิกาย ศิษย์ไม่กล้าหลอกลวง ที่พูดมาล้วนเป็นความจริง” กัวเจียหุ้ยโค้งคำนับ แสดงคารวะ ท่าทางก็ดูหนักแน่นจริงจัง

“แต่ว่า เจียหุ้ยเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ให้ ให้นางสวมใส่มงกุฎปราชญ์มันเหมาะสมรึ?” หลังจากได้สติกลับมากันแล้ว มีผู้อาวุโสเสนอความเห็นต่าง

“นั่นสิ มงกุฎปราชญ์คือของวิเศษสำคัญของนิกายหู้ซานจงพวกเราเสมอมา และมีเพียงปรัชญาเมธีเท่านั้นที่สามารถสวมใส่มัน หากให้ศิษย์ธรรมดาสวมใส่ ไม่เพียงเป็นการลบหลู่ต่อปรัชญาเมธี เกรงว่าหากไม่ทันระวังของวิเศษสำคัญอาจสูญหายได้ เมื่อไหร่ที่ของวิเศษสำคัญสูญหายพวกเรามิกลายเป็นคนบาปของสำนักรึ” ผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งก็กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

“บางที ทางสำนักควรริบคืนมงกุฎปราชญ์มาก่อน แล้วตบรางวัลด้วยของวิเศษอื่นๆ เป็นการปูนบำเหน็จให้กับเจียหุ้ย การที่นางนำเอามงกุฎปราชญ์กลับมาจากถ้ำเซียนมาร นับเป็นผลงานยิ่งใหญ่สมควรตบรางวัลอย่างงาม” มีหัวหน้าสาขาที่เสนอความเห็นขึ้นมา

“ถูกต้อง มงกุฎปราชญ์ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของปรัชญาเมธี มันยังเป็นของวิเศษสำคัญที่ทรงพลังมากปราศจากผู้ต่อกร จะสูญหายไม่ได้” ผู้อาวุโสอื่นๆ ทยอยกันพูดขึ้นมา

ในเวลานี้ บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาทั้งหมดต่างจ้องมองไปที่เฉินเหวยเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกาย เฉินเหวยเจิ้งไม่เพียงเป็นผู้ที่มีกำลังความสามารถแกร่งที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้านิกายที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมด

เฉินเหวยเจิ้งนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายกล่าวขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “เจียหุ้ยในฐานะศิษย์ธรรมดาของสำนักกลับสามารถขึ้นสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปยังถ้ำเซียนมารได้ เป็นสิ่งที่ผู้คนแต่ละรุ่นไม่สามารถทำได้ และบ่งบอกว่าการที่เจียหุ้ยสามารถได้รับมงกุฎปราชญ์นับเป็นวาสนาที่ลึกซึ้งมากนัก และเป็นการอธิบายว่าเจียหุ้ยได้ผ่านการทดสอบจากปรัชญาเมธีและปฐมบรรพบุรุษแล้ว…”

“…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางสมควรมีคุณสมบัติครอบครองมงกุฎปราชญ์นี้ ยิ่งไปกว่านั้น มงกุฎปราชญ์นี้ไม่ได้อยู่ในสำนักมานานแล้ว วันนี้เจียหุ้ยนำมันกลับมา ต่อให้อนาคตมันหายไปก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการทำหาย แม้ว่าทักษะของเจียหุ้ยเวลานี้ยังอ่อน ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับมงกุฎปราชญ์นี้ แต่ว่า อนาคตเจียหุ้ยอาจจะมีความสำเร็จที่สะเทือนเลื่อนลั่น ไม่ทำให้ต้องเสื่อมเสียต่อมงกุฎปราชญ์ที่อยู่บนศีรษะของนาง”

เฉินเหวยเจิ้งพูดเป็นฉากๆ ดูมีเหตุผลอย่างยิ่ง เวลานี้ได้ทำให้บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสาขาทั้งหมดต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน

“อืมมมนับว่าเจ้าไม่ได้โง่เขลาเกินไปนัก การที่นิกายหู้ซานจงมีเจ้าเป็นเจ้านิกายนับว่ายังไม่ถึงขั้นไร้สมองจนสุดจะเยียวยาได้” ขณะที่ทุกคนกำลังเงียบสงัดนั้น เสียงที่เรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น

…………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *