Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2733 ยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2733 ยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2733 ยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่

สำหรับคำพูดของเฉินเหวยเจิ้งนั้น ดวงตาทั้งสองของฝูคุนในเวลานี้เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าออกมา หัวเราะน่าเกรงขาม และกล่าวว่า “เจ้านิกายเฉิน เจ้ามั่นใจรึ? เจ้ามั่นใจรึว่านิกายหู้ซานจงพวกเจ้าสามารถรักษามงกุฎปราชญ์นี้เอาไว้ได้จริง”

บรรดาผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อฝูคุนพูดคำๆ นี้ออกมา ขณะที่ฝูคุนพูดคำนี้ออกมานั้น ความหมายของเขาชัดเจนเป็นที่สุดแล้ว

“ผู้ตรวจการฝู มงกุฎปราชญ์คือของวิเศษสืบทอดตำแหน่งของนิกายหู้ซานจงพวกเรา ปรัชญาเมธีก็เป็นเกียรติยศของนิกายหู้ซานจงพวกเรา” เฉินเหวยเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และยืนยันอีกครั้ง กล่าวหนักแน่นจริงจังว่า “ตามกฎที่ปฐมบรรพบุรุษกำหนดเอาไว้ แต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา ปรัชญาเมธีล้วนแล้วแต่ถือกำเนิดขึ้นโดยนิกายหู้ซานจงพวกเรา…”

“…การกลับชาติมาเกิดใหม่ทุกครั้งของปฐมบรรพบุรุษก็จะมีนิกายหู้ซานจงพวกเราให้การต้อนรับ สิ่งนี้เป็นทั้งข้อปฏิบัติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาพันล้านปีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และเป็นความประสงค์ของปฐมบรรพบุรุษ”

คำพูดของเฉินเหวยเจิ้งก็เป็นการย้ำเตือนถึงความถูกต้องตามกฎของนิกายหู้ซานจง และย้ำเตือนถึงฐานะของนิกายหู้ซานจง เป็นการบอกกล่าวอย่างชัดเจนต่อฝูคุนแล้ว และมีเพียงนิกายหู้ซานจงเท่านั้นที่มีสิทธิ์แต่งตั้งปรัชญาเมธี ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และเป็นประสงค์ของปฐมบรรพบุรุษ ผู้เฒ่าอมตะ

“แหะเจ้านิกายเฉิน อย่าอาศัยชื่อคนอื่นมาสั่งการเลย” ฝูคุนหัวเราะชั่วร้าย และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นิกายหู้ซานจงพวกเจ้าได้เสื่อมลงแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะสืบทอดมงกุฎปราชญ์อีกต่อไป และไม่มีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งปรัชญาเมธีอีกแล้ว นิกายหู้ซานจงพวกเจ้าควรหลีกทางให้กับผู้ที่มีความสามารถมากกว่าได้แล้ว กฎเกณฑ์คือของตาย แต่คนเป็นคนเป็น เมื่อไม่เหมาะสมก็ควรแก้ไขกฎเกณฑ์”

“พูดแบบนี้ แสดงว่าผู้ตรวจการฝูจะไม่สนใจคนรอบข้างแม้ว่าจะทำเรื่องที่ไม่ดีมารึ?” เฉินเหวยเจิ้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “หรือว่าผู้ตรวจการฝูต้องการเปลี่ยนแปลงความประสงค์ของปฐมบรรพบุรุษอย่างนั้นรึ? หรือว่าผู้ตรวจการฝูไม่เกรงว่าจะถูกผู้คนทั่วหล้าสอบถามด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิติเตียนรึ? ไม่กลัวจะถูกสำนักต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารนับพันนับหมื่นสอบถามด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิติเตียนรึ?”

“แหะเจ้านิกายเฉิน เจ้าสำคัญตนผิดมากเกินไปแล้วกระมัง” ฝูคุนหัวเราะเย็นชา และกล่าวน่าเกรงขามว่า “สอบถามด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิติเตียนจากทั่วหล้าอะไร แค่คำพูดที่เลื่อนลอยเท่านั้นเอง แคว้นโบราณยันต์แปดทิศของข้าคือแคว้นอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร เป็นผู้ครอบครองอำนาจสูงสุดและเป็นสายตรง สมควรสืบทอดและแผ่กระจายความประสงค์ทุกอย่างของปฐมบรรพบุรุษ”

“ผู้ตรวจการฝู แล้ววิหารอมตะเล่า?” เฉินเหวยเจิ้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ผู้ตรวจการฝูวางตำแหน่งวิหารอมตะไว้ที่ใด?”

คำพูดดังกล่าวนี้ทำเอาผู้ตรวจการฝูถึงกับหายใจไม่ออก ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลง

เป็นความจริงที่แคว้นโบราณยันต์แปดทิศสามารถเรียกได้ว่าเป็นแคว้นอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร กำลังความสามารถาแข็งแกร่งยิ่งนัก มีความทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ว่า แม้ว่าแคว้นโบราณยันต์แปดทิศที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งจัดตั้งเพื่อสืบทอดหนึ่งก็คือ วิหารอมตะ

วิหารอมตะคือหนึ่งในสิ่งจัดตั้งเพื่อสืบทอดหรือสำนักที่แข็งแกร่งและลึกลับที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และคือสำนักที่ควบคุมดูแลอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารที่แท้จริง

ในยุคของผู้เฒ่าอมตะ แม้ว่าผู้เฒ่าอมตะเคยกลับชาติเกิดใหม่ แต่ว่า ชั่วชีวิตของผู้เฒ่าอมตะนั้นมีความลึกลับ มีร่องรอยที่ไม่แน่นอน ผู้คนใต้หล้าต่างก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ ณ ที่ใด

ดังนั้น ในยุคสมัยนั้นภายใต้การแนะนำของผู้เฒ่าอมตะ ให้วิหารอมตะเป็นผู้ควบคุมดูแลอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ให้วิหารอมตะสั่งการแทนผู้เฒ่าอมตะ กล่าวได้ว่าในยุคสมัยนั้น คำบัญชาของวิหารอมตะก็คือคำบัญชาของผู้เฒ่าอมตะ

เรียกได้ว่าภายในระยะเวลาที่ยาวนานมาก วิหารอมตะมีฐานะที่สูงสุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร

แม้ว่าภายหลังผู้เฒ่าอมตะไม่มีการกลับชาติมาเกิดใหม่ ขณะที่วิหารอมตะก็กลายเป็นลึกลับยิ่งขึ้น และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีกต่อไป

แต่ทว่า แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม วิหารอมตะยังคงมีฐานะที่สูงส่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ยังคงมีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ยังคงเป็นผุ้ควบคุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร

แม้จะกล่าวว่าวันเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้แล้ว วิหารอมตะยิ่งทำตัวค่อมต่ำมากยิ่งขึ้น และแคว้นโบราณยันต์แปดทิศก็ได้ผงาดขึ้นตามมา ภายในระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง แคว้นโบราณยันต์แปดทิศมักจะยกย่องตัวเองว่าเป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารอยู่เสมอ กระทั่งยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้ครอบครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร

แต่ทว่า มีสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารไม่ให้การยอมรับในฐานะของแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ

แม้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่อาจปฏิเสธว่าแคว้นโบราณยันต์แปดทิศคือแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร แต่ว่า ถ้าหากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศคิดจะมาในฐานะสายตรง คิดจะครอบครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร จะต้องได้รับการเห็นชอบจากจากวิหารอมตะ และหรือวิหารอมตะได้หายวับไปกับตาในพริบตาเดียวแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาแคว้นโบราณยันต์แปดทิศยังคงหวั่นเกรงต่อวิหารอมตะอยู่ในใจ

สิ่งนี้ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่แคว้นโบราณยันต์แปดทิศต้องการครอบครองมงกุฎปราชญ์ ถ้าหากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศของพวกเขาได้ครอบครองมงกุฎปราชญ์ แต่งตั้งปรัชญาเมธีรุ่นใหม่ เช่นนั้นแล้วก็บ่งบอกว่าแคว้นโบราณยันต์แปดทิศของพวกเขาเข้าใกล้สายตรงมากขึ้น และมีความมั่นใจที่จะอยู่ในฐานะของสายตรงยิ่งขึ้น

ไม่แน่นัก สักวันหนึ่งอาจสามารถท้าท้ายตำแหน่งของวิหารอมตะในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร

ดังนั้น ฝูคุนจึงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อเฉินเหวยเจิ้งเอ่ยถึงวิหารอมตะ เป็นความจริงที่พวกเขาไม่อาจไม่ให้ความยำเกรงต่อวิหารอมตะ

ไม่ง่ายนักกว่าฝูคุนจะเก็บซ่อนการเสียกิริยาเอาไว้ สีหน้าเย็นชา กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นว่า “เจ้านิกายเฉิน ข้าจะไม่พูดไร้สาระกับเจ้าให้มากความ ผู้รู้จักกาลเทศะเป็นยอดคน ถ้าหากเจ้ารู้จักกาลเทศะจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนิกายหู้ซานจงของพวกเจ้า ถ้าหากไม่รู้จักกาลเทศะก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”

“ถ้าหากนิกายหู้ซานจงพวกเจ้ารู้จักกาลเทศะ การแต่งตั้งปรัชญาเมธีในอนาคตยังสามารถเห็นแก่ความสัมพันธ์นิกายหู้ซานจงพวกเจ้า ก็จะไม่ให้นิกายหู้ซานจงต้องเสียเปรียบ กล่าวสำหรับเจ้านิกายเฉินแล้ว ก็นับเป็นการสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับสำนัก” เวลานี้ฝูคุนได้อาศัยหลอกล่อด้วยผลประโยชน์

แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับแคว้นโบราณยันต์แปดทิศแล้ว ถ้าหากนิกายหู้ซานจงยอมให้ความร่วมมือกับพวกเขาในการแต่งตั้งปรัชญาเมธี ร่วมมือให้การครองครองมงกุฎปราชญ์ของพวกเขามีฐานะถูกต้องตามกฎ แคว้นโบราณยันต์แปดทิศของพวกเขาย่อมยินดีอย่างยิ่ง

“ฮึถ้าหากเจ้านิกายเฉินไม่รู้จักกาลเทศะล่ะก็ เจ้าจะต้องกลายเป็นคนบาปของนิกายหู้ซานจง หากว่านิกายหู้ซานจงต้องหายวับไปกับตาในพริบตา ความผิดพลาดทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเจ้านิกายเฉินที่ไม่รู้จักกาลเทศะทำให้เป็นเช่นนี้” ฝูคุนหัวเราะน่าเกรงขามทีหนึ่ง

ในเวลานี้ฝูคุนได้งัดเอาการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ และบีบบังคับด้วยอำนาจออกมาใช้จนหมดสิ้นแล้ว กล่าวสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แคว้นโบราณยันต์แปดทิศของพวกเขาก็ต้องนำเอามงกุฎปราชญ์ไปให้ได้ ต้องครอบครองมงกุฎปราชญ์ให้จงได้ ปรัชญาเมธีรุ่นใหม่จะต้องมาจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศของพวกเขา

เรียกได้ว่าเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว หากจำเป็นพวกเขากระทั่งจะทำลายล้างนิกายหู้ซานจงให้สิ้น

“ผู้ตรวจการฝู พวกท่านต้องการใช้กำลังชิงเอาไปรึ?” สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งถึงกับเปลี่ยนไป แม้ว่าภายในใจของเขาจะได้เตรียมใจเอาไว้แล้วกับเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มาแล้ว แต่ยังคงสะกดความโกรธในใจเอาไว้ได้

“ชิงรึ?” ฝูคุนหัวเราะน่าเกรงขาม มองดูบรรดาผู้อาวุโสนิกายหู้ซานจงที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างเย้ยหยัน จากนั้นก้มมองดูเฉินเหวยเจิ้ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้านิกายเฉิน การชิงเอานั่นเรียกว่าเกรงใจมากที่สุดแล้ว ถ้าหากเจ้านิกายเฉินพวกเจ้ากล้าขัดขวางแม้แต่น้อยก็จะต้องฆ่าไม่มีละเว้นแน่นอน ถึงเวลานั้นแล้ว อย่าโทษพวกเราเลือดล้างนิกายหู้ซานจงของพวกเจ้า”

“ท่านมองว่านิกายหู้ซานจงพวกเราไม่มีคนแล้วจริงๆ รึ?” มีผู้อาวุโสที่ทนไม่ได้อีกต่อไป ถึงกับลุกขึ้นยืน และตวาดเสียงดังขึ้นมาด้วยความโกรธ

“มองนิกายหู้ซานจงพวกเจ้าไม่มีคนแล้วอย่างไร?” ฝูคุนหัวเราะเยาะ เมินใส่ และกล่าวว่า “อาศัยแค่นิกายหู้ซานจงพวกเจ้า ข้าสามารถสู้ได้หนึ่งต่อสิบ ข้าอาศัยฝ่ามือเข้างดียวก็สามารถกวาดล้างนิกายหู้ซานจงพวกเจ้าได้ทั้งหมด ถ้าหากไม่ยอมรับก็เข้ามาลองดูได้ ดูสิว่าสามารถต้านฝ่ามือข้างเดียวของข้าได้หรือไม่”

“เจ้า…” สีหน้าของผู้อาวุโสผู้นี้ดูไม่จืดถึงขีดสุด คิดจะบุกเข้าไป แต่ถูกคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ดึงตัวเอาไว้

ในเวลานี้ สีหน้าผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายหู้ซานจงล้วนแล้วแต่ดูไม่จืด คำพูดเช่นนี้ของฝูคุนเป็นการมองเหมือนนิกายหู้ซานจงพวกเขาไม่มีคน จะไม่ทำให้ภายในใจของบรรดาผู้อาวุโสต้องบันดาลเพลิงแห่งความโกรธขึ้นมาได้อย่างไรเล่า?

“มดปลวกกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง” ฝูคุนไม่ใยดี ยื่นมือไปหาเฉินเหวยเจิ้งช้าๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ส่งมา เจ้านิกายเฉิน หากไม่ต้องการถูกล้างสำนัก จงมอบมงกุฎปราชญ์ออกมาเสียแต่โดยดี”

สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งเดี๋ยวแดง เดี๋ยวซีด ถึงกับพูดน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “นิกายหู้ซานจงพวกเราอยู่คู่กับมงกุฎปราชญ์ มงกุฎปราชญ์อยู่ นิกายหู้ซานจงก็คงอยู่!”

“ดี ข้ากลับต้องการดูว่านิกายหู้ซานจงยังมีผู้มีความสามารถอะไร ดูว่าใครจะขวางข้าได้!” ฝูคุนหัวเราะน่าเกรงขาม ดวงตาทั้งสองปรากฏปณิธานการฆ่ารุนแรง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยื่นมือข้างหนึ่งคว้าไปยังมงกุฎปราชญ์ที่อยู่บนศีรษะของกัวเจียหุ้ย

พริบตาเดียวขณะที่ฝูคุนลงมือ เฉินเหวยเจิ้งคิดจะขัดขวางแต่ว่าทุกอย่างสายไปเสียแล้ว กำลังความสามารถทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเหลือเกิน เฉินเหวยเจิ้งแค่ระดับเทพแท้จริงเท่านั้น ขณะที่ฝูคุนคือเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สามแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำลังความสามารถ หรือระดับชั้นเฉินเหวยเจิ้งก็เทียบไม่ได้กับฝูคุน

เห็นทีฝูคุนจะคว้าเอามงกุฎปราชญ์บนศีรษะของกัวเจียหุ้ยมาอยู่ในมือแล้ว แต่ว่า นาทีนี้ได้ยินเสียงเปี๊ยะเสียงหนึ่งดังขึ้น มือขนาดใหญ่ของฝูคุนถูกกระแทกจนผงะกลับไปทันที

ฝูคุนถูกกระแทกจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว สองตาของเขาพลันไม่เป็นมิตร และตกไปอยู่บนตัวหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนนั่น

ย่อมไม่ต้องสงสัย ผู้ที่กระแทกมือขนาดใหญ่ของฝูคุนเมื่อครู่ก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนไม่ได้ขยับตัวสักนิดด้วยซ้ำ เพียงดีดนิ้วเบาๆ ทีหนึ่งเท่านั้น

“เจ้าเป็นใคร…” ดวงตาทั้งสองจ้องมองไม่เป็นมิตรไปที่หลี่ชิเย่

แต่ว่า หลี่ชิเย่ที่เอนนอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนไม่มีเสียงใดๆ ไม่ได้สนใจต่อฝูคุนด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ได้ลืมตามองดูฝูคุนสักแวบหนึ่ง

สิ่งนี้พลันทำให้สีหน้าของฝูคุนเปลี่ยนไปมากด้วยความโกรธ การที่ต้องมาถูกคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในนิกายหู้ซานจงซึ่งเป็นสำนักเล็กๆ ดูแคลนขนาดนี้ ย่อมทำให้สีหน้าของเขาดูไม่จืด

ในเวลานี้สีหน้าของฝูคุนดูเคร่งและน่าเกรงขาม เปี่ยมด้วยปณิธานการฆ่า กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ทำหดหัวหดหาง ผู้ตรวจการอย่างข้านี่แหละจะดูว่าเจ้ามีฝีมือแค่ไหน ลุยเข้าไป สับให้เละ” กล่าวพลาง โบกมือเป็นสัญญาณ

ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ฝูคุนพูดขาดคำ กองกำลังที่ยืนอยู่ด้านซ้ายขวาสองข้างพลันดาบยาวออกจากฝักทันที

กองกำลังนี้ถนัดในเรื่องการล้อมปราบมาก พลันลงมือก็จะระดมกำลังฟันเข้าใส่แยกร่างเป็นชิ้นๆ ดังนั้นในพริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นประกายดาบที่เคลื่อนไหวดั่งคลื่นยักษ์เป็นพันลูก ท่ามกลางเสียงดังตึง ตึง ตึงที่ดังขึ้นไม่ขาดสาย ประกายดาบที่ไม่ขาดสายพลันฟันเข้าใส่ร่างของหลี่ชิเย่ ประกายดาบที่ขาวดั่งหิมะพลันปกคลุมร่างหลี่ชิเย่จนมิด ด้วยประกายดาบที่ไม่ขาดสายเช่นนี้หากฟันใส่ร่างหลี่ชิเย่ ต้องสับร่างของหลี่ชิเย่จนเละเป็นเนื้อบดอย่างแน่นอน

ทำเอาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของนิกายหู้ซานจงต่างตกใจเป็นการใหญ่ เมื่อมองเห็นภาพของหลี่ชิเย่ที่ยังคงเอนนอนอยู่เก้าอี้ล้อเลื่อนเหมือนนอนหลับสนิทไปแล้ว ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่นิดเดียว

“ระวัง…” มีบรรพบุรุษที่อดร้องเสียงดังเตือนขึ้นมาไม่ได้

………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *