Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2741 เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา
ตอนที่ 2741 เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา
เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาคือเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร พื้นที่ของเมืองบนเขาทั้งหมดมีนับล้านลี้กระทั่งมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่านี้
พื้นที่ของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาทั้งหมดแทนที่จะเรียกว่าเป็นเมืองๆ หนึ่ง มิสู้เรียกว่าเป็นแคว้นๆ หนึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า
แต่ว่า เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาแตกต่างจากแคว้นก็คือ มันถูกกกสร้างอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกแล้วลูกเล่า ดังนั้น เมื่อยืนอยู่ด้านนอกของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาแล้วมองไกลไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาทั้งหมดก็จะพบว่า ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่าน ตำหนักโบราณดั่งดวงดาวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านทุกๆ ลูก
เนื่องจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าโดยตรง ทำให้ตำหนักโบราณจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เสมือนดั่งเป็นบ้านที่อยู่บนสวรรค์อย่างนั้น การมาอาศัยอยู่บนเมืองบนเขาแต่ละลูกก็เปรียบเสมือนดั่งอาศัยอยู่บนสวรรค์อย่างนั้น เต็มไปด้วยสีสันแห่งความลึกลับ
เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาทั้งหมดมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนับล้านลี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นี่ก็มีจำนวนนับหมื่นลูก ขณะที่กำแพงเมืองและตำหนักโบราณที่สร้างขึ้นบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ก็มีนับหมื่นแห่งเช่นกัน กระทั่งมีจำนวนนับแสนแห่ง แต่ว่า เมืองบนเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุดก็มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งนั่นเอง
ขณะมองดูเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาจากระยะห่างไกลนั้น จะพบว่ามีรุ้งกินน้ำแต่ละสายที่เหมือนโครงค้ำยันทรงโค้งพาดอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูก ค้ำยันขึ้นลงสลับระหว่างเมืองโบราณแต่ละแห่ง เหมือนเป็นโลกแห่งรุ้งกินน้ำ เสมือนดั่งเป็นท้องฟ้าปลอดโปร่งหลังฝนตก งดงามยิ่งนัก ดุจดั่งเป็นดินแดนสวรรค์อย่างนั้น
ความจริงแล้ว รุ้งกินน้ำแต่ละสายที่เห็นหาใช่เป็นรุ้งกินน้ำ แต่เป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์แต่ละสะพาน สะพานศักดิ์สิทธิ์แต่ละสะพานทอดเชื่อมภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา และเชื่อมถึงกันกับเมืองบนเขาแต่ละเมือง
เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขามีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับพันนับหมื่นที่อาศัยอยู่ และมีสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารที่มีจุดแวะพักชั่วคราวตั้งอยู่ที่ตรงนี้
เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาดำรงอยู่ในฐานะที่พิเศษมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และเป็นสถานที่ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง โดยเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักใดสำนักหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และไม่ขึ้นอยู่กับขั้วอำนาจใดๆ
ไม่มีสำนักหนึ่งสำนักใด คนหนึ่งคนใดสามารถปกครองเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาได้โดยตรง มันอยู่ในความครอบครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมด มันเป็นของศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทุกๆ คน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ ศิษย์คนใดก็ตามล้วนแล้วแต่สามารถผ่านเข้าออกได้ สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดเวลา และจะอาศัยอยู่นานเท่าไรก็ได้
เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาปกครองดูแลโดยวิหารอมตะร่วมกับสำนักต่างๆ ทุกๆ สำนักในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ไม่มีสำนักใดๆ สามารถตัดสินโดยลำพังได้เพียงสำนักเดียว
ด้วยเหตุนี้เอง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร การขัดแย้ง หรือบุญคุณความแค้นระหว่างสำนักใดสำนักหนึ่ง หรือยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนด้วยกัน เมื่อก้าวเข้าไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาแล้ว ขอเพียงมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยุติการต่อสู้ล่ะก็ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องยุติโดยไม่มีเงื่อนไข
เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องการให้ความขัดแย้งหรือการต่อสู้ดำเนินการต่อไป และหรือออกไปจากเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา
ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยุติความขัดแย้ง อีกฝ่ายหนึ่งยังคงตามล่าสังหารต่อไปภายในบริเวณเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาล่ะก็ จะต้องถูกลงโทษโดยผู้ที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมด
ด้วยสาเหตุนี้เอง เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาจึงกลายเป็นสถานที่ที่บรรดาศิษย์ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารมองว่า เป็นที่ที่สำหรับหนีเอาชีวิตรอด และรักษาชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้น มักจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสมอๆ เมื่อสองสำนักเกิดความขัดแย้งขึ้น หากมีสำนักใดสำนักหนึ่งถูกฆ่าล้างสำนัก ศิษย์ของสำนักดังกล่าวมักจะหนีเข้าไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาเพื่อรับการคุ้มครอง
ด้วยเหตุนี้เอง ในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาจึงมีศิษย์ผู้บำเพ็ญตน ของจำนักที่ถูกทำลาย และหรือผู้ที่ไร้บ้านมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขารอบพันล้านปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีใครทำลายกฎระเบียบที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถยุติการต่อสู้ได้ และไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนกฎข้อนี้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ส่วนที่เป็นเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยผู้เฒ่าอมตะผู้เป็นปฐมบรรพบุรุษ ตำหนักโบราณ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่โผล่ทะลุพื้นดินตั้งตระหง่าน แต่ละตำหนักของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาด้วยมือของผู้เฒ่าอมตะ
กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารแล้ว กฎระเบียบที่ผู้เฒ่าอมตะกำหนดขึ้นมาก็คือกฎเหล็กที่สูงสุด ใครก็ตามหากกล้าฝ่าฝืนก็คือการหักหลังสำนักทรยศบรรพบุรุษ ต้องถูกขับออกจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้
การที่มีตำหนักโบราณแต่ละลำหนักที่สร้างขึ้นบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ได้สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนจำนวนมาก เช่นนั้นแล้วบริเวณเชิงเขาของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ด้านล่างของภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่ตรงนั้นมีหุบเขาที่ลึกและเงียบอยู่นับไม่ถ้วน มีที่ราบลุ่มที่กว้างขวาง ยิ่งกว่านั้นยังมีหน้าผาที่สูงชันแต่ละแห่ง หรือว่าที่ตรงนี้ไม่เหมาะให้ผู้คนอาศัยอยู่รึ?
ความจริงแล้ว ด้านล่างของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา และด้านล่างของภูเขาศักดิ์สิทธิ์มันคือสมรภูมิรบโบราณแต่ละแห่ง
ขณะที่สมรภูมิรบโบราณแห่งแล้วแห่งเล่าเหล่านี้ คือสถานที่สำหรับศิษย์ผู้บำเพ็ญตนทุกคนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารให้ในการขัดเกลาที่ดีที่สุด ศิษย์ที่มีความสามารถและอยู่ในเงื่อนไขจำนวนมากก็จะมาฝึกที่สมรภูมิรบโบราณที่ตั้งอยู่ด้านล่างของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา การมาฝึกปรือที่ตรงนี้มักจะลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมาก เมื่อเทียบการการฝึกปรือที่อื่นอยู่เสมอๆ
ชนรุ่นหลังไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสมรภูมิรบโบราณ ตามตำนานเล่าว่า ผู้เฒ่าอมตะได้ลากเอาสมรภูมิรบโบราณแต่ละแห่งจากบริเวณที่ห่างไกลไม่มีสิ้นสุดบนท้องฟ้าของแดนลัทธิเซียน ทำพิธีปลุกเสกเข้าไปอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ขณะที่ทำการหลอมกลั่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมดขึ้นมา สุดท้ายจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา
เมื่อพวกของเฉินเหวยเจิ้งมาถึงด้านนอกของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขานั้น เฉินเหวยเจิ้งอดที่จะมองดูเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาจากระยะห่างไกล มองดูตำหนักโบราณแต่ละตำหนัก และกำแพงเมืองแต่ละด้านบนท้องฟ้า รู้สึกทอดถอนใจด้วยความหดหู่พรั่งพรูในใจ
“หวนนึกถึงครั้งนั้น นิกายหู้ซานจงของพวกเราก็มีที่นั่งในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาอยู่หลายที่ และเคยมีตึกและจวนที่กว้างขวางใหญ่โต” เฉินเหวยเจิ้งได้กล่าวทอดถอนใจด้วยความหดหู่ต่อพวกของหลี่เจี้ยนคุนที่เป็นรุ่นเยาว์เหล่านั้น
“พวกเรามีจวนอยู่ในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขารึ?” บรรดาศิษย์เช่นหวังเสวียหงต่างรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง
เปรียบเทียบกับเมืองที่มีขนาดยักษ์อย่างเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาแล้ว นิกายหู้ซานจงของพวกเขาก็เสมือนดั่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเขาที่ยังไม่ทันได้เข้าไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาก็คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างนั้น
ถ้าหากนิกายหู้ซานจงพวกเขาสามารถมีจวนและที่นั่งอยู่ในสถานที่ที่สูงส่งเช่นเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาแล้วล่ะก็ ช่างเป็นอะไรที่คู่ควรแก่การภาคภูมิใจในตัวเองอย่างนั้น
“ถูกต้อง เคยมี พวกเรามีที่พักชั่วคราวนับร้อยแห่งในหลายๆ เมืองของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา มีจวนที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร” เฉินเหวยเจิ้งอดที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
“ภายหลังล่ะ” กัวเจียหุ้ยเอ่ยถามขึ้นมาคำหนึ่ง นางเองก็รู้ว่านิกายหู้ซานจงของพวกเขาในเวลานี้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว
“ขายไปแล้ว” เฉินเหวยเจิ้งถึงกับยิ้มเจื่อนๆ กล่าวด้วยท่าทีจนด้วยเกล้าว่า “นิกายหู้ซานจงของพวกเราเคยมีห้วงเวลาที่ลำบากยากเข็ญยิ่ง เพื่อบ่มฝักผู้ที่มีความสามารถขึ้นมา ได้ทุ่มซื้อยาวิเศษเข้ามาเป็นจำนวนมาก เสียกำลังทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ จำเป็นต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา”
ครั้นเฉินเหวยเจิ้งเอ่ยมาถึงตรงนี้ถึงกับขมขื่นอย่างยิ่ง นิกายหู้ซานจงของพวกเขาก็เคยมีหน้ามีตาในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร เสียดาย ล่วงเลยมาถึงวันนี้ได้กลายเป็นสำนักระดับสามขนาดเล็กไปแล้ว
“เมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาอยู่ห่างจากนิกายหู้ซานจงพวกเราไกลมากเกินไป ทุกครั้งที่ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ บรรพบุรุษพวกเราต้องใช้จ่ายศิลาแกร่งจำนวนมากมาเปิดประตูมิติ จากภายในสำนักก้าวข้ามโดยตรงไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ภายหลัง ทางสำนักไม่สามารถแบกรับการใช้จ่ายศิลาแกร่งเช่นนี้ได้จริงๆ อีกต่อไป ได้แต่ถอนตัวจากการเข้าร่วมกำหนดนโยบาย” เมื่อเฉินเหวยเจิ้งเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจยาวๆ ออกมา ในใจมีความขมขื่นและความจนด้วยเกล้าอยู่มากมาย
แม้จะกล่าวว่า บรรพชนของนิกายหู้ซานจงก็ต้องการคงที่นั่งในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาเอาไว้ แต่ ท้ายที่สุดยังคงแบกรับความสิ้นเปลืองของศิลาแกร่งไม่ไหว ไม่อาจไม่สละปล่อยไป
พวกของหลี่เจี้ยนคุนต่างนิ่งเงียบกับสิ่งนี้ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเฉินเหวยเจิ้ง มาวันนี้นิกายหู้ซานจงของพวกเขาได้เสื่อมลงแล้ว ไม่มีหน้ามีตาในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาเหมือนเช่นอดีตอีกแล้ว และไม่มีที่ให้ยืนเหมือนเช่นในอดีต
“พวกเราจะต้องกลับมาใหม่แน่นอน” หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง กัวเจียหุ้ยกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “พวกเราจะต้องซื้อทรัพย์สินในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขากลับมาอีกครั้ง และพวกเราก็จะเอาที่นั่งในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขากลับมาอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่วันนี้ แต่ว่า พวกเราสามารถทำได้อยู่แล้ว ในระหว่างที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่จะต้องเป็นจริงแน่”
คำพูดของกัวเจียหุ้ยหนักแน่นมีพลัง ไม่มีใครกังขาในการตัดสินใจของนาง
“ภารกิจยิ่งใหญ่ในการพัฒนาสำนักให้เจริญรุ่งเรืองอยู่บนตัวของพวกเจ้าแล้ว” เฉินเหวยเจิ้งเองรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก เมื่อเห็นพวกของหลี่เจี้ยนคุนต่างคันไม้คันมืออยากลองเต็มกลืนเมื่อได้รับผลกระทบจากคำพูดของกัวเจียหุ้ย
“ไปสมรภูมิรบโบราณ” ในขณะที่พวกของกัวเจียหุ้ยกำลังมีเลือดในกายที่เดือดพล่าน เสียงจางๆ ของหลี่ชิเย่ดังขึ้น
พวกของหลี่เจี้ยนคุนไม่กล้าชักช้า รีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งสมรภูมิรบโบราณทันที
ด้านล่างของเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขามีสมรภูมิรบโบราณแห่งแล้วแห่งเล่า สมรภูมิรบโบราณทุกแห่งล้วนแตกต่างกัน และทุกๆ สมรภูมิรบโบราณก็จะมีความแข็งแกร่งอ่อนด้อยต่างกัน
ภายใต้การชี้นำของหลี่ชิเย่ ขบวนของพวกกัวเจียหุ้ยได้มาถึงด้านหน้าของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่ง
สมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูก ทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณอยู่ที่เชิงเขานั่นเอง เมื่อก้าวขึ้นบันไดหินของเชิงเขาก็จะมองเห็นได้ว่าด้านหน้ามีสมรภูมิรบที่กว้างขวางยิ่งนัก
ท่ามกลางสมรภูมิรบโบราณปรากฏอาวุธแตกหัก และชุดเกราะเสียหายเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด ภายในสมรภูมิรบโบราณยังมีโครงกระดูก ซากศพที่กระจัดการจายเป็นจำนวนมาก เพียงแต่บรรดาอาวุธแตกหัก ชุดเกราะเสียหาย โครงกระดูก ซากศพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว เนื่องจากผ่านยุคสมัยที่เนิ่นนานมากเกิน แต่ว่าดูจากบรรดาวัสดุของอาวุธแตกหัก และชุดเกราะเสียหายเหล่านี้แล้ว บรรดาอาวุธแตกหัก และชุดเกราะเสียหายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นอาวุธแต่ละชิ้นที่ไร้เทียมทานทั้งสิ้น เพียงแต่ล้วนถูกทำลายไปจากการต่อสู้อย่างดุเดือดสะเทือนเลื่อนลั่นในแต่ละครั้ง
ภาพรวมของสมรภูมิรบโบราณมีทั้งเนินเขา ตำหนักโบราณ และเหวลึก เพียงแต่บรรดาเนินเขา ตำหนักโบราณกระทั่งเหวลึกล้วนแล้วแต่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี สามารถมองออกได้ว่าที่ตรงนี้เคยเกิดศึกสงครามที่สะเทือนเลื่อนลั่นในยุคที่เก่าแก่มาก และศึกสงครามที่สะเทือนเลื่อนลั่นแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ มีอานุภาพที่ร้ายแรงมากทั้งสิ้น
“นี่ก็คือสมรภูมิรบโบราณรึ?” ลู่ยั่วซีถึงกับซุบซิบขึ้นมาเมื่อมองเห็นสมรภูมิรบโบราณตรงหน้าที่ตลบอบอวลไปด้วยไอหมอก
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มาที่สมรภูมิรบโบราณ ความจริงแล้ว เฉินเหวยเจิ้งเองก็มาที่สมรภูมิรบโบราณเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในขณะที่เขายังอยู่ในวัยหนุ่ม นิกายหู้ซานจงไหนเลยมีปัจจัยเพียงพอที่จะมาขัดเกลาที่สมรภูมิรบโบราณ
ต่อให้พวกเขายินดีที่จะเดินทางไกลมาขัดเกลาที่สมรภูมิรบโบราณ ก็ไม่ได้มีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งมากพอคอยคุ้มครองพวกเขา
แม้จะไม่รู้ว่าศึกสงครามในสมรภูมิรบโบราณตรงหน้าได้สงบไปนานเท่าไรแล้ว แต่ว่า ทั่วทั้งสมรภูมิรบโบราณยังคงตลบอบอวลไปด้วยปณิธานสงครามที่ไม่สามารถจางหายไปได้ แม้จะผ่านไปพันล้านปีแล้ว
เหมือนว่าท่ามกลางสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ ยังคงมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงอื้ออึงต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ตรงนี้อย่างนั้น
……………………………………………….
Comments