Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2745 ผูกศัตรู

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2745 ผูกศัตรู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2745 ผูกศัตรู

หลี่ชิเย่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ล้อเลื่อน และรั้งอยู่ด้านหน้าภาพจิตกรรมฝาผนังโบราณเป็นเวลานานมากตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนนอนหลับไปแล้ว ขณะที่พวกของกัวเจียหุ้ยก็ถูกส่งตัวกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่ได้สนใจในความล้มเหลวของพวกกัวเจียหุ้ย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้น ทอดถอนใจเบาๆ ปลงอนิจจัง และพึมพำขึ้นมาว่า “นับว่าตาเฒ่ามีความตั้งอกตั้งใจยิ่งนัก ใครจะสามารถบอกได้เล่า ต่อให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะฝืนลิขิตสวรรค์มากกว่านี้ อนาคตล้วนแล้วแต่กลายเป็นกระดูกเท่านั้น”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหลี่ชิเย่มองออกไปยังสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลมากๆ

บนเส้นทางสายนี้มีผู้ที่เดินผ่านไปแล้วมากมาย ผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด เปี่ยมด้วยสติปัญญามากที่สุดในแต่ละยุคสมัย แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เสียชีวิตลง และหรือตกต่ำลงคนแล้วคนเล่า

ผู้ที่เสียชีวิตนั้นเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่น่าเศร้าสลดและเสียใจ กล่าวได้เพียงสุดท้ายแล้วยังคงไม่แกร่งพอ การเตรียมตัวยังไม่มากพอ

แต่ว่า กล่าวสำหรับผู้เสียชีวิตแล้วออกจะน่าเศร้าแล้ว เดิมทีพวกเขาก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดแล้วกลับเดินไปถึงฝั่งตรงข้ามกับตน กลายเป็นความอาฆาตแค้นของตนในอดีต กลายเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะความอาฆาตแค้นของตนเอง ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ที่ตกต่ำลงลักษณะเช่นนี้นอกเหนือจากกำลังความสามารถไม่แข็งแกร่งพอ และการเตรียมการที่ยังไม่เพียงพอแล้ว นั่นก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรยังคงไม่มั่นคงเพียงพอ

ย่อมไม่ต้องสงสัย ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเฉกเช่นอมตะตระกูลเซียวนั้น จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขานั้นมีความมั่นคงเพียงพอ เขาเหยียบย่ำมาแล้วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ก้าวข้ามยุคสมัยแล้วสมัยเล่ามา แต่ว่า ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทำให้ตนเองหลุดพ้นจากชะตากรรมในยุคสมัยของตน ท้ายที่สุดแล้วได้แต่รอดชีวิตอยู่มาได้ด้วยความโชคดี แต่ เมื่อตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สามารถกลับไปยังจุดเดิมได้อีกแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ในขั้นตอนนี้อมตะตระกูลเซียวยังคงได้มีการเตรียมการต่างๆ นานา ด้วยการทิ้งคำเตือนต่างๆ นานาเอาไว้ให้กับชนรุ่นหลัง หวังว่าชนรุ่นหลังที่ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้จะไม่กระทำผิดซ้ำรอยเช่นนี้ของเขา

แน่นอนที่สุด นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ผู้ที่มีสิทธิ์ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ได้อย่างแท้จริงนั้นมีไม่อยู่มาก

“ไปเถอะ” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่ได้ละความคิดกลับมา และสั่งการต่อเฉินเหวยเจิ้ง

“ไป…” เฉินเหวยเจิ้งถึงกับตกใจยิ่งนัก อดที่จะเหลียวหลังกลับไปมองดูแท่นบูชาทีหนึ่ง กล่าวด้วยความกังวลว่า “ท่านปรมาจารย์ พวกเราไม่รอพวกของเจียหุ้ยรึ?”

“พวกเขาตามมาได้เองอยู่แล้ว” ท่าทางหลี่ชิเย่สั่งการออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจ

เฉินเหวยเจิ้งจนปัญญา ได้แต่เข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนไปยังเมืองโบราณเมืองถัดไป หลังจากที่เข้าสู่เมืองโบราณเมืองนี้แล้ว หลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่ที่ด้านหน้าของผนังโบราณเหมือนเดิม เวลาที่เข้ารั้งอยู่ที่ตรงนั้นจะเสมือนดั่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น

แต่ว่า ความพยายามอยู่ที่ใด ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ภายใต้การรอคอยด้วยความอดทนของเฉินเหวยเจิ้ง ในที่สุดแท่นบูชาได้ส่งตัวพวกขอวกัวเจียหุ้ยกลับออกมาแล้ว

ในเวลานี้ พวกของกัวเจียหุ้ยได้ถูกส่งตัวกลับออกมาทั้งหมด มาคราวนี้ อาการบาดเจ็บบนตัวของพวกเขาหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น เลือดไหลรินตลอดเวลา กระดูกบนตัวแตกหักไปไม่น้อย แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พวกเขายังคงดีใจอย่างยิ่ง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่าพวกเราสำเร็จแล้ว พวกเราผ่านสมรภูมิรบโบราณที่หนึ่งสำเร็จแล้ว” ในเวลานี้ หวังเสวียหง ล้มลุกคลุกคลานชันตัวขึ้นมา อดที่จะหัวเราะดังลั่นออกมา

ที่แท้พวกเขาสามารถเอาชนะซากศพยักษ์สี่แขนมาได้แล้ว และเข้าสู่สมรภูมิรบโบราณที่สอง เพียงแต่ ศัตรูในสมรภูมิรบโบราณที่สองนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่า ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ตีพวกเขาจนแตกพ่าย ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งหมด

แม้ว่าอาการบาดเจ็บบนตัวของพวกกัวเจียหุ้ยจะรุนแรงกว่าครั้งก่อน แต่ เฉินเหวยเจิ้งก็หายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรเสียพวกเขาก็สังหารผ่านเข้ามาจนได้ เรียกได้ว่าพวกเขาก้าวหน้าได้ดีอย่างแท้จริงทีเดียว

“ชี่ววว…” จังหวะที่พวกของหวังเสวียหงหัวเราะกันดังลั่นนั้น เฉินเหวยเจิ้งส่งสัญญาณให้พวกเขาเบาเสียงลง และชี้ไปที่หลี่ชิเย่ ส่งสัญญาณพวกเขาอย่ารบกวนหลี่ชิเย่

หลังจากที่พวกของหวังเสวียหงได้สติกลับคืนมา จึงรีบเก็บงำเสียงหัวเราะ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยังคงมีรอยยิ้มที่ลึกซึ้งบนใบหน้า ไม่สามารถซ่อนเร้นความดีใจที่อยู่ในใจ

หลังจากพวกเขาได้สติกลับมา นั่งขัดสมาธิและรับประทานยาสมานแผล ยาสมานแผลที่หลี่ชิเย่หลอมกลั่นมานั้นมีอานุภาพอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะแขนหักขาหักยังคงช่วยได้ กระทั่งกล่าวได้ว่า ขอเพียงชะตาแท้ยังคงอยู่ก็สามารถช่วยให้รอดชีวิตได้

แน่นอน หากหลี่ชิเย่ลงมือ ต่อให้พวกเขาถูกสังหารไปแล้ว หลี่ชิเย่ก็มีความสามารถที่จะช่วยให้รอดชีวิตได้ เนื่องจากชะตาแท้ของพวกเขาได้รับการพันธนาการและคุ้มครองโดยหลี่ชิเย่อยู่แล้ว

“ไป บุกฆ่ากลับไป” หลังจากฟื้นฟูพลังขึ้นมาแล้ว มาคราวนี้ พวกของกัวเจียหุ้ยต่างก็ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าไม่ได้มีท่าทีบาดเจ็บสาหัสเมื่อครู่ เดินทางเข้าสู่สมรภูมิรบโบราณอีกครั้ง

ช่วงเวลาค่อนข้างยาวต่อจากนี้ พวกของกัวเจียหุ้ยยังคงถูกตีแตกพ่ายกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่าพวกเขายังคงยิ่งสู้รบยิ่งมีความฮึกเหิม อีกทั้งระยะเวลาที่ถูกตีแตกพ่ายกลับมาก็มีความห่างที่ยาวนานขึ้น

สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่หลี่ชิเย่ต้องการ สิ่งที่หลี่ชิเย่ต้องการขัดเกลาพวกเขาไม่เพียงให้พลังวัตรของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงเพิ่มพูนกำลังความสามารถให้มากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นการขัดเกลาความอดทนของพวกเขา รีดเอาพลังแฝงของพวกเขาออกมา ให้พวกเขาสามารถแบกรับความกดดันที่รุนแรง แบกรับพลังที่แข็งแกร่งท่ามกลางความเป็นความตายครั้งแล้วครั้งเล่า

ที่สำคัญที่สุดก็คือขัดเกลาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขา ทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขามีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งขึ้น แม้ว่าจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่าก็สามารถแบกรับเอาไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถได้ประสบการณ์จากขั้นตอนระหว่างการพ่ายแพ้ยับเยินนั่น สรุปประสบการณ์ทำให้พวกเขากลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่หนักแน่นแน่วแน่มากขึ้น

ในสายตาของหลี่ชิเย่มองว่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

เคยมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนมากที่ปราดเปรื่องน่าทึ่ง แต่ว่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่หนักแน่นมั่นคง ไม่ก็หลังจากประสบความล้มเหลวแล้วก็ทรุดลงไม่ฟื้นกลับมาได้อีก และมีสุดยอดอัจฉริยะบุคคลหลังประสบความล้มเหลวแล้วก็หลงเดินไปแนวทางที่ผิด และเข้าสู่ฝ่ายมารนับจากนั้นเป็นต้นมา

ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงขัดเกลาพวกเขาเพื่อต้องการให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขามีความหนักแน่นแน่วแน่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม มาคราวนี้เฉินเหวยเจิ้งไม่ได้เห็นพวกของกัวเจียหุ้ยตีแตกสมรภูมิรบแห่งที่สอง ได้ยินเสียงดังปัง ปัง ปัง พวกของกัวเจียหุ้ยเจ็ดคนตกลงสู่แท่นบูชาทีละคนๆ

มาคราวนี้พวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด เสมือนหนึ่งถูกช้อนขึ้นมาจากทะเลเลือดอย่างนั้น อาการบาดเจ็บบนตัวของพวกเขาดูสยดสยองเหลือเกิน กรณีของหลี่เจี้ยนคุนเขาถูกซิวหลินซิวซี่วสองพี่น้องหามกลับมาโดยตรง พี่น้องทั้งสองคนก็ได้รับบาดเจ็บที่สาหัสมากเช่นกัน เพียงแต่ทนกัดฟันแบกหลี่เจี้ยนคุนกลับมา

แขนของหวังเสวียหงถูกฟันขาด กัวเจียหุ้ยถูกกระบี่แทงทะลุอก…ขณะที่พวกเขาแต่ละคนถูกส่งตัวกลับมานั้น ทั้งหมดล้มอยู่กับพื้นไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก

เกิดเรื่องอะไรขึ้น…พลันที่เฉินเหวยเจิ้งมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบวิ่งเข้าไปหา

เฉินเหวยเจิ้งถึงกับสูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง เรียกได้ว่ามาคราวนี้พวกเขาทั้งเจ็ดสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว พวกเขาเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว

มาคราวนี้ทำเอาเฉินเหวยเจิ้งตกใจไม่เบาเลยทีเดียว เนื่องจากก่อนหน้าหลายครั้งแม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้กลับมาจากสมรภูมิรบโบราณ แต่ว่า อาการบาดเจ็ดทุกครั้งก็จะเบากว่าทุกครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้า มาคราวนี้กลับบาดเจ็บสาหัสสถึงเพียงนี้ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วจะไม่ให้เฉินเหวยเจิ้งตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อได้อย่าไร

ในพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่พลันลืมตาขึ้นมา มือขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปพลันดูดเอาพวกของกัวเจียหุ้ยเข้ามา สัจธรรมของเขาตวัดทีหนึ่งเสมือนดั่งกลายเป็นเตากลั่นโอสถใบหนึ่ง ฉับพลันได้นำเอาพวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคนผนึกเข้าไปอยู่ภายในเตากลั่นโอสถ

ในขณะนี้เตากลั่นโอสถโดยรวมดูไปแล้วก็คล้ายเป็นรังไหมขนาดยักษ์อย่างนั้น

ภายในใจของเฉินเหวยเจิ้งสั่นเทาทีหนึ่งเมื่อมองเห็นรังไหมขนาดยักษ์นี้ ถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ เขาต้องอธิฐานภายในใจของเขา ขอให้พวกเขาทั้งเจ็ดอย่าได้เป็นอะไรมาก จะอย่างไรเสียการที่นิกายหู้ซานจง สามารถบ่มฟักต้นกล้าเช่นนี้ขึ้นมาได้นับว่าไม่ง่ายอย่างยิ่ง

เมื่อหลี่ชิเย่ลงมือมีหรือจะช่วยคนให้รอดชีวิตไม่ได้? หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก ได้ยินเสียงปุดังขึ้นเสียงหนึ่ง เตาโอสถสัจธรรมแตกออก จากนั้นก็ได้หายไป พวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคนตกลงบนพื้น

ในขณะนี้ พวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดก็หายเป็นปรกติทุกอย่างไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ลุกขึ้นยืนเหมือนมังกรพยัคฆ์ที่ผาดโผน

“ขอบคุณท่านปรมาจารย์ (คุณชาย) ที่ช่วยชีวิต” พวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคุกเข่ากราบกับพื้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลังจากที่พวกของกัวเจียหุ้ยลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินเหวยเจิ้งเอ่ยถามด้วยความกังวล

เขามองออกว่าพวกกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคนต้องไม่ใช่ได้รับบาดเจ็บจากวิญญาณผุ้กล้าของสมรภูมิรบโบราณเด็ดขาด พลันที่เห็นก็รู้ว่าต้องถูกศัตรูที่กล้าแข็งทำให้บาดเจ็บ

ในเวลานี้ พวกของกัวเจียหุ้ยจ้องมองตากันและกัน สุดท้ายหวังเสวียหงกล่าวด้วยท่าทีไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “เป็นคนแซ่โจวคนนั้นทำร้ายพวกเรา!”

“คนแซ่โจว? แซ่โจวคนไหน?” เฉินเหวยเจิ้งขมวดคิ้วนึกไปนึกมา นึกไม่ออกว่าเคยมีศัตรูที่แซ่โจว

“เจ้านิกาย ก็กลุ่มคนกลุ่มนั้นที่พวกเราพบตรงทางเข้าสมรภูมิรบโบราณ ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าแซ่โจว ชื่อโจวจือฉิง นางเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง!” จ้าวจื้อถิงเอ่ยขึ้น

“เป็นนาง” ภายในใจของเฉินเหวยเจิ้งรู้สึกหวั่นไหว และกล่าวว่า “ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง!”

ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางนับว่าเป็นสำนักอันดับต้นๆ มีชื่อชั้นเสมอด้วยแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ มีกำลังความสามารถที่องอาจห้าวหาญยิ่ง ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองสมรสกับแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ

“พวกเจ้าไปล่วงเกินอะไรนางเข้า?” ท่าทีของเฉินเหวยเจิ้งดูหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เหตุใดนางถึงได้ลงมือหนักกับพวกเจ้าขนาดนี้”

“พวกเราไปล่วงเกินนางตรงไหน!” หวังเสวียหงกล่าวด้วยท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม

“นางต้องการมงกุฎปราชญ์ของศิษย์น้อง” ในเวลานี้ หลี่เจี้ยนคุนได้เอ่ยเสียงแผ่วเบา

เฉินเหวยเจิ้งเข้าใจแล้วเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แคว้นโบราณยันต์แปดทิศพ่ายแพ้กลับไปด้วยฝีมือของหลี่ชิเย่ เกรงว่าพวกเขายังคงไม่ตายใจ ขณะที่แคว้นโบราณยันต์แปดทิศเกี่ยวดองสมรสกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง เวลานี้ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางต้องการชิงเอามงกุฎปราชญ์ของกัวเจียหุ้ยก็สามารถเข้าใจได้

“พวกเขาลงมือกี่คน?” เฉินเหวยเจิ้งเอ่ยถามขึ้น

“แค่โจวจือฉิงคนเดียว” หลี่เจี้ยนคุนถึงกับละอาย จะอย่างไรเสียพวกเขาเจ็ดคนร่วมมือกันยังไม่สามารถเอาชนะนางเพียงคนเดียว เกือบจะตายอยู่ตรงนั้น นับว่าทำให้เป็นที่อับอายโดยแท้

ภายในใจของเฉินเหวยเจิ้งทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ นิกายหู้ซานจงกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางย่อมห่างชั้นกันมาก เป็นความห่างชั้นที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้อยู่แล้ว

“ท่านปรมาจารย์ เราควรทำอย่างไรดี?” เฉินเหวยเจิ้งลังเลนิดหนึ่ง จึงขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่

เฉินเหวยเจิ้งเองก็ไม่กล้าตัดสินใจกับเรื่องแบบนี้ จะอย่างไรเสียนิกายหู้ซานจงของพวกเขาไม่สามารถมีเรื่องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้

…………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *