Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2749 จะเริ่มแล้วนะ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2749 จะเริ่มแล้วนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่โจวจือฉิงมาถึงแล้ว ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่คนของนิกายหู้ซานจงยังคงล่าช้าไม่ได้ปรากฎตัว ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองไปที่บริเวณทางเขา รอคอยการมาถึงของศิษย์นิกายหู้ซานจง แน่นอนที่สุด ทุกคนไม่ได้คิดอยากจะดูว่านิกายหู้ซานจงจะมีบุคลากรที่โดดเด่นอะไรหรือไม่ ทุกคนเพียงต้องการเห็นมงกุฎปราชญ์เท่านั้นเอง

“คนของนิกายหู้ซานจงยังมาไม่ถึง ออกจะวางมาดเกินไปแล้วกระมัง” มีคนที่รอจนรู้สึกรำคาญ อดที่จะซุบซิบด้วยความกังขา เมื่อเห็นว่านิกายหู้ซานจงยังคงทำชักช้าไม่ปรากฎตัวสักที

“ฮึ เกรงว่าจะไม่ใช่มาดเยอะ” มียอดฝีมือที่ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ไม่แน่นักนิกายหู้ซานจงอาจจะหลบหนีไปแล้วก็ได้ นิกายหู้ซานจงรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่นางโจว ที่บอกว่าต่อสู้ชี้ขาดนั่นเป็นเพียงอุบายที่จะถ่วงเวลาเท่านั้นเอง ไม่แน่นักอาจจะเตลิดหนีกลับไปยังนิกายหู้ซานจงนานแล้ว”

ในเวลานี้ โจวจือฉิงได้ยิ้มเยาะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ต่อให้หนีไปได้ชั่วขณะ ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น”

ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับรู้สึกเย็นวาบในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของโจวจือฉิง และทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น ถ้าหากว่าศิษย์ของนิกายหู้ซานจงอาศัยอุบายถ่วงเวลาแล้วหนีออกจากเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางมีข้ออ้างที่จะส่งกองทัพไปตีนิกายหู้ซานจงแล้ว

เมื่อถึงเวลานั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางแค่อาศัยข้ออ้างอะไรสักอย่างว่า “ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง” ก็สามารถนำทัพใหญ่ประชิดชายแดน และจัดการทำลายล้างนิกายหู้ซานจงได้อย่างมีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ ถึงตอนนั้น หลังจากที่ทำลายล้างนิกายหู้ซานจงไปแล้ว มงกุฎปราชญ์ยังคงเป็นหมูในอวยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางอยู่ดี

ดังนั้น ทุกคนในเวลานี้จึงมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่ว่านิกายหู้ซานจงจะรับคำท้าหรือว่าหลบหนีไป เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินตั้งแต่เริ่มแรกเสียแล้ว และมงกุฎปราชญ์ก็ถูกลิขิตให้ต้องเป็นของๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางมานานแล้ว

“ดูท่านิกายหู้ซานจงได้หนีไปแล้วจริงๆ ต้องการเป็นเต่าหดหัวเสียแล้ว” ขณะที่พระอาทิตย์ขึ้นกลางหาว มีผู้ที่มองไปรอบๆ แล้วปรากฏศิษย์ของนิกายหู้ซานจงยังคงไม่ได้ปรากฎตัว ถึงกับกล่าวด้วยท่าทีดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน

“ใครว่านิกายหู้ซานจงของข้าหนีไปแล้ว?” ในเวลานี้เอง เสียงทุ้มต่ำที่หนักแน่นเสียงหนึ่งดังขึ้น

“มาแล้ว มาแล้ว นิกายหู้ซานจงมาแล้ว” มีผู้ที่จดจำเฉินเหวยเจิ้ง เจ้านิกายของนิกายหู้ซานจงที่ก้าวเข้ามาตรงทางเข้าได้ทันที ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา

ทุกคนต่างทยอยกันมองไปที่บริเวณทางเข้า เห็นนิกายหู้ซานจงที่เดินแถวเรียงหนึ่งเข้ามารวมเก้าคน และหนึ่งในนั้นยังมีคนหนึ่งที่พิการนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน

ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากแคว้นเจ้าลัทธิต่างๆ แต่ละแห่งถึงกับมองตากันและกัน เมื่อเห็นขบวนลักษณะเช่นนี้ กำลังเช่นนี้ของนิกายหู้ซานจงนับว่าอ่อนแอถึงที่สุดแล้วจริงๆ มิน่าเล่าทุกคนต่างกล่าวกันว่านิกายหู้ซานจงเสื่อมลงแล้ว มาวันนี้ดูไปแล้วเป็นความจริงว่าข่าวเล่าลือกันนั้นไม่ได้เป็นเท็จ

สิ่งนี้จะโทษว่ายอดฝีมือจากแคว้นเจ้าลัทธิแต่ละแห่งดูแคลนนิกายหู้ซานจงขนาดนี้ก็ไม่ถูก เวลานี้มองไปแล้วกำลังความสามารถของพวกเฉินเหวยเจิ้งเรียกได้ว่าเห็นได้อย่างชัดเจน

ทุกคนต่างมองออกว่า ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็คือเจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งแล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพแท้จริงอย่างฝืนๆ เท่านั้นเอง

ขณะที่ระดับเทพแท้จริงในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารแล้วไม่นับเป็นอะไรได้อยู่แล้ว แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากนั้นมีจำนวนเทพแท้จริงที่มีอยู่ในครอบครองมากมายเหลือเกิน หากพูดถึงรุ่นอาวุโสแล้ว ในแคว้นเจ้าลัทธิมีอยู่เป็นจำนวนมากที่สามารถบรรลุเป็นระดับเทพแท้จริงได้อยู่แล้ว

สำหรับพวกของกัวเจียหุ้ยที่เป็นศิษย์ทั้งเจ็ดกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น ในสายตาของยอดฝีมือแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากมองว่า สามารถบอกได้แต่เพียงว่าพอไปได้ และหรือไม่เลวนัก แต่ยังคงห่างไกลจากชั้นดีเลิศอีกมากเลยทีเดียว

ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร จำนวนศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ลักษณะเช่นนี้มีจำนวนที่มากมาย

ดังนั้น ขณะที่มองเห็นศิษย์ทั้งเจ็ดอย่างกัวเจียหุ้ยแล้ว ทุกคนอดที่จะมองดูโจวจือฉิงอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าในบรรดาศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของแคว้นเจ้าลัทธินั้น โจวจือฉิงไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็นับว่าเป็นศิษย์ที่ดีเลิศ ไม่รู้ว่ายอดเยี่ยมกว่าพวกของกัวเจียหุ้ยอยู่เท่าใด

แม้ว่าพวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคนจะมีจำนวนคนมากกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดนั้นโจวจือฉิงเหนือกว่าพวกเขาอยู่สองระดับเต็มๆ ซึ่งช่วงห่างดังกล่าวไม่สามารถอาศัยจำนวนคนมาชดเชยกันได้

สำหรับหลี่ชิเย่ที่นอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนนั้น ทุกคนเพียงมองดูแวบเดียวเท่านั้นโดยไม่ได้นำมาใส่ใจ แค่คนพิการคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงอยู่แล้ว

ทุกคนยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้เห็นกำลังของพวกเฉินเหวยเจิ้ง มาคราวนี้นิกายหู้ซานจงต้องม้วยอย่างแน่นอน กำลังความสามารถเช่นนี้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางเป็นได้แค่มดปลวกเท่านั้น

“นิกายหู้ซานจงหาใช่นิกายหู้ซานจงในครั้งนั้นอีกแล้ว เวลานี้เป็นได้เพียงสำนักระดับสามเท่านั้นเอง” มียอดฝีมือเชิดใส่ เมื่อมองเห็นกำลังที่อ่อนแอเช่นนี้ของพวกเฉินเหวยเจิ้ง

ลองนึกดู ขณะนิกายหู้ซานจงยังแข็งแกร่งในครั้งนั้น ช่างมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นใด แม้ว่าไม่ได้บัญชาการทั่วหล้า แต่ก็อยู่เหนือเหล่าชั้นฟ้า มีต้นทุนเพียงพอที่จะให้ทั่วหล้าต้องสยบ มาวันนี้นิกายหู้ซานจงตกต่ำลมาจนถึงขั้นนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่ใส่ใจมันอีกต่อไป

“นั่นก็คือมงกุฎปราชญ์รึ?” ในเวลานี้ มีสายตาของยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่ตกอยู่บนมงกุฎปราชญ์ที่สวมอยู่บนศีรษะของกัวเจียหุ้ย มันทำให้ผู้คนสงสัยว่าเป็นมงกุฎปราชญ์จริงหรือไม่ เมื่อมองเห็นมงกุฎปราชญ์ดังกล่าวไม่ได้มีอะไรที่ดูมีความอัศจรรย์มากเป็นพิเศษ

“เป็นมงกุฎปราชญ์จริงๆ เหมือนกับที่อยู่ในตำนานทุกประการ” มีระดับบรรพบุรุษที่พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว กล่าวด้วยความมั่นใจ

กล่าวสำหรับระดับบรรพบุรุษบางคนแล้ว อดที่จะใจเต้นตูมตามไม่ได้เมื่อมองเห็นมงกุฎปราชญ์นี้แล้ว เพียงแต่ไม่กล้าลงมือเท่านั้น จะอย่างไรเสียคงมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าแย่งอาหารจากปากของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง และแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ

“เริ่มต้นได้แล้ว…” เวลานี้โจวจือฉิงมองไปรอบๆ มองดูพวกของกัวเจียหุ้ยทีหนึ่งด้วยท่าทีเย็นชาและหยิ่งยโส กล่าวน่าเกรงขามว่า “พวกเจ้าให้ข้ารออยู่นาน สมควรตาย!”

พวกของกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดยืนอยู่ด้านหลังชองหลี่ชิเย่ และไม่ส่งเสียงออกมาสักคำ รอคอยให้หลี่ชิเย่ออกคำสั่ง เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา พวกเขามีความนิ่งและหนักแน่นขึ้นไม่น้อย

กล่าวได้ว่า การฝึกปรือและขัดเกลาอยู่ในช่องว่างขั้นสูงได้ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาก และมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมากมาย แม้ว่าศัตรูอย่างโจวจือฉิงอยู่ตรงหน้านี้เอง พวกเขาก็ไม่แสดงอาการที่โกรธจัดขึ้นมา

“วันนี้ ข้านี่แหละจะชิงเอามงกุฎมาอย่างแน่นอน และจะตัดหัวพวกเจ้าแน่นอน!” ดวงตาทั้งสองของโจวจือฉิงดูดุดันน่าเกรงขาม เผยให้เห็นปณิธานการฆ่าที่น่าครั่นคร้ามออกมา ขณะที่แววตาของนางกวาดผ่านไปบนตัวของหลี่ชิเย่นั้น แววตาถึงกับหดลง แต่ยังคงยืดอกขึ้นทีหนึ่ง เมื่อนึกถึงว่าด้านหลังของตนยังคงมียอดฝีมือคอยหนุนหลังอยู่ ทำให้มีความกล้ามากขึ้น

เวลานี้ แววตาของโจวจือฉิงเผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่รุนแรงอย่างยิ่งโดยไม่มีการอำพราง สายตาคู่นั้นของนางจ้องเขม็งไปที่มงกุฎปราชญ์บนศีรษะชองกัวเจียหุ้ย ขณะที่แววตาของนางจ้องเขม็งไปที่มงกุฎปราชญ์อยู่นั้นดูแน่วแน่มั่นคงอย่างยิ่ง สำหรับมงกุฎปราชญ์ดังกล่าวนี้นางจะต้องเอามาให้ได้

สมควรทราบว่า เวลานี้โจวจือฉิงต้องการสังหารพวกของกัวเจียหุ้ย เพื่อแย่งชิงมงกุฎปราชญ์ นางไม่เพียงต้องการล้างแค้นก่อนหน้า และไม่เพียงต้องการนำเอาความอัปยศที่ได้รับจากมือของหลี่ชิเย่คืนมาเป็นเท่าทวีคูณจากตัวของพวกกัวเจียหุ้ยเท่านั้น

ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เวลานี้การแย่งชิงเอามงกุฎปราชญ์ของนางได้กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการมอบหมายจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศเสียแล้ว กล่าวสำหรับนางแล้ว สิ่งนี้จะไม่ให้มีการพลาดพลั้งอย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีการผิดพลาดอย่างเด็ดขาดแม้แต่น้อยนิด

เวลานี้มงกุฎปราชญ์ได้กลายเป็นสิ่งที่จะตัดสินอนาคตของนางเสียแล้ว ถ้าหากนางสามารถนำเอามงกุฎปราชญ์มาได้ อนาคตจะต้องได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่ต้องเปลืองแรงอย่างแน่นอน

สมควรทราบว่า ถ้าหากนางสามารถชิงเอามงกุฎปราชญ์องค์นี้มาได้ เช่นนั้นแล้ว มงกุฎปราชญ์องค์นี้ก็จะได้กลายเป็นสินเดิมของธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางแต่งเข้าแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ และแคว้นโบราณยันต์แปดทิศเมื่อได้รับมงกุฎปราชญ์มา ย่อมต้องตบรางวัลให้นางอย่างงาม ถึงเวลานั้น นางกลายเป็นพระชายาก็จะเป็นเรื่องที่มีเงื่อนไขพร้อม ถึงตอนนั้นนางก็จะสูงส่งอย่าบอกใครเชียว สามารถเรียกลมเรียกฝนได้

ดังนั้น ดวงตาทั้งสองของโจวจือฉิงเย็นชา เผยปณิธานการฆ่าที่รุนแรงอย่างยิ่งออกมา นางจะต้องเอามงกุฎปราชญ์มาให้ได้ ไม่ว่าใครก็ขวางนางเอาไว้ไม่ได้

“ไปเถอะ หากไม่สามารถตัดหัวของนาง ไม่ต้องกลับมาพบข้า ขายหน้า” ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนและหลับตาเหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น เพียงสั่งการคำหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่ได้ลืมตามองดูพวกของโจวจือฉิงสักแวบ ยิ่งไม่ได้มองดูเหล่ายอดฝีมือและบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์

“ครับ (ค่ะ) ท่านปรมาจารย์…” พวกของหลี่เจี้ยนคุนโค้งคารวะ และกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม ‘ท่านปรมาจารย์’ ผู้คนจำนวนมากถึงกับจ้องมองตากันและกัน และรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้ยินพวกของหลี่เจี้ยนคุนกล่าวยกย่องเช่นนี้ มีผู้ซุบซิบด้วยความกังขาว่า “นิกายหู้ซานจงมีปรมาจารย์หนุ่มขนาดนี้โผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

แม้จะเป็นเช่นนี้ ยังคงมีผู้คนจำนวนมากไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากต่อให้หลี่ชิเย่คือปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงจริง ก็คงแข็งแกร่งไปไม่เท่าไร จะอย่างไรเสียนิกายหู้ซานจงได้ตกลงไปเป็นสำนักระดับสามไปแล้ว แม้ว่าจะมีระดับปรมาจารย์ผู้หนึ่ง แข็งแกร่งที่สุดก็คงได้แค่ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวสำหรับแคว้นเจ้าลัทธิสักแห่งแล้ว ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ไม่นับเป็นอะไร ต้องเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจึงสามารถอวดตัวได้อย่างแท้จริง

โจวจือฉิงส่งเสียงฮึเย็นชาทีหนึ่ง เมื่อถูกหลี่ชิเย่มองว่านางไร้ตัวตนถึงเพียงนี้ ในใจของนางย่อมเข้าใจดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ และห่างชั้นกันมาก แต่ว่า สมควรทราบว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางของพวกเขาก็มียอดฝีมือมาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

“วันนี้ นิกายหู้ซานจงของพวกเจ้าไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดมีชีวิตออกไปจากที่ตรงนี้!” ดวงตาทั้งสองของโจวจือฉิงเผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่น่าครั่นคร้ามโดยไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นแต่อย่างใด กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ผู้เป็นศัตรูกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง ฆ่าไม่มีละเว้น!”

ย่อมไม่ต้องสงสัย คำพูดนี้ของโจวจือฉิงพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิเย่ วันนี้นางไม่เพียงต้องการสังหารพวกของกัวเจียหุ้ยแล้ว ขณะเดียวกันดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางก็ต้องการสังหารหลี่ชิเย่ และเฉินเหวยเจิ้งด้วย เรียกได้ว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางของพวกเขาช้าหรือเร็วก็ต้องทำลายล้างนิกายหู้ซานจงเสีย

นี่ไม่เพียงเป็นความแค้นส่วนตัวเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เพราะมงกุฎปราชญ์นั่น นิกายหู้ซานจงจะต้องหายวับไปกับตาในพริบตา ขอเพียงนิกายหู้ซานจงถูกทำลายล้างไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ได้ครอบครองมงกุฎปราชญ์ก็มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งปรัชญาเมธีได้อย่างสิ้นเชิง และมีเหตุผลที่จะพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ และชอบด้วยเหตุผล

แต่ว่า หลี่ชิเย่ที่นอนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ให้ความสนใจในโจวจือฉิงเลยแม้แต่น้อย

“เตรียมตัวเริ่มได้” เฉินเหวยเจิ้งสั่งการกับพวกของกัวเจียหุ้ย “ระวังตัวด้วย ทำให้เต็มที่”

เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ชิเย่แล้ว เฉินเหวยเจิ้งไม่ได้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และไม่มั่นใจว่าการร่วมมือกันของพวกกัวเจียหุ้ยทั้งเจ็ดคนสามารถสังหารโจวจือฉิงได้

พวกของกัวเจียหุ้ยรับคำ และเดินแถวเรียงหนึ่งเข้าสู่สนามประลอง

“ในเมื่อเป็นการต่อสู้ตัดสินชี้ขาดด้วยความเป็นความตายในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา เช่นนั้นแล้ว เก่ากะลาอย่างข้าไม่เจียมตัว ขออาสาเป็นผู้ตัดสินให้กับทั้งสองฝ่าย” ในเวลานี้เอง ผู้เฒ่าผู้หนึ่งได้ก้าวเดินออกมา น้ำเสียงนั้นดังกังวานยิ่งนัก

บนหลังของผู้เฒ่าผู้นี้สะพายกระบี่หนักเล่มหนึ่ง บนตัวกระบี่ปรากฏพลังกระบี่ที่ตลบอบอวลไม่ขาดสาย พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

“เป็นเทพกระบี่ฉีฟงแห่งแคว้นฉีฟง” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เห็นผู้เฒ่าผู้นี้แล้ว จดจำประวัติความเป็นมาของเขาได้

“ข้าไม่คัดค้าน” โจวจือฉิงเห็นด้วยกับการเป็นกรรมการของเทพกระบี่ฉีฟง

“นิกายหู้ซานจงของข้าก็ไม่คัดค้าน” เฉินเหวยเจิ้งลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายก็เห็นด้วย แม้ว่าเขาเองก็เคยได้ยินชื่อของเทพกระบี่ฉีฟง แต่ว่า ไม่ได้ไว้วางใจนัก เพียงแต่เวลานี้เขาเองก็ไม่มีตัวเลือก ได้แต่เห็นด้วย

………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *