Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2759 กัวเจียหุ้ยที่ด่านนรก

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2759 กัวเจียหุ้ยที่ด่านนรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2759 กัวเจียหุ้ยที่ด่านนรก

หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากได้ยินคำพูดที่แฝงไว้ซึ่งกลิ่นคาวเลือดของธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางแล้ว ล้วนแล้วแต่ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา

การที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางปล่อยคำพูดเช่นนี้ออกมาเรียกได้ว่าเลือดเย็นไร้ความปรานี ขณะที่นางปล่อยคำพูดเช่นนี้ออกมานั้น เกรงว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารคงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่แคร์ถึงน้ำหนักของคำพูดนี้

จะอย่างไรเสีย ขณะที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางพูดคำพูดคำนี้ขึ้นมานั้น ไม่เพียงเป็นการแทนตัวของนางเอง และยังเป็นตัวแทนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง กระทั่งในระดับหนึ่งยังเป็นตัวแทนของแคว้นโบราณยันต์แปดทิศอีกด้วย

ลองนึกดู ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางกับแคว้นโบราณยันต์แปดทิศซึ่งอยู่ในฐานะเป็นตัวแปรสำคัญในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ด้วยกำลังความสามารถที่ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารมีแคว้นเจ้าลัทธิไม่กี่แห่งที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้

กล่าวได้ว่า ไม่ว่าใคร และไม่ว่าสำนักใดก็ตามในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ต่างไม่กล้าละเลยจุดจบของการเป็นศัตรูกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางและแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ

“นิกายหู้ซานจงสามารถยืนหยัดผ่านด่านหินนี้ไปได้หรือไม่?” ในขณะนี้ปรากฏคำวิจารณ์จากยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนขึ้นจำนวนมาก เมื่อได้ยินคำพูดนักเลงที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางปล่อยออกมา

“ยาก เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้” ระดับบรรพบุรุษส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ต่อให้นิกายหู้ซานจงได้ให้กำเนิดปรมาจารย์ที่เรียกกันว่าคนโหดอันดับหนึ่ง แต่ว่า จะอย่างไรเสียก็คือไม้ซีกยากจะค้ำยันตึกใหญ่เอาไว้ได้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง และแคว้นโบราณยันต์แปดทิศมีระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งจำนวนเท่าไร พวกเขากระทั่งมีระดับเทพแท้จริงขั้นคงความอมตะตลอดกาล ธาตุแท้ภายในยากที่จะหยั่งถึง…”

“…อาศัยกำลัง ธาตุแท้ภายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง และแคว้นโบราณยันต์แปดทิศแล้ว ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงสามารถต้านเอาไว้ได้ช่วงหนึ่ง แต่ไม่สามารถต้านได้ตลอดไป อาศัยกำลังความสามารถเพียงลำพังของเขา ไม่สามารถสั่นคลอนต่อเจ้าลัทธิที่มีธาตุแท้ภายในลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง ซึ่งสืบทอดต่อกันมาเป็นพันล้านปีได้อยู่แล้ว”

ทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นว่าการคาดการณ์เช่นนี้มีเหตุผลอย่างยิ่ง จะอย่างไรเสียนิกายหู้ซานจงได้เสื่อมลงมาหลายยุคสมัยแล้ว เวลานี้มันเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ระดับสามเท่านั้น ไม่สามารต่อต้านกับแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ ในสายตาของทุกคนมองว่าเป็นการเอาไข่ไปกระทบกับหินเท่านั้น

“มาคราวนี้ นิกายหู้ซานจงได้เหย่รังแตนเข้าให้แล้ว หากไม่ถูกทำลายสำนักถือว่าโชคดีมาก ถือว่าได้รับการปกป้องคุ้มครองจากบรรพบุรุษแล้ว ชาตินี้ เกรงว่านิกายหู้ซานจงคงประสบความสำเร็จเพราะปรมาจารย์ผู้นี้ และล้มเหลวก็เพราะปรมาจารย์ผู้นี้” ระดับผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกตระกูลขุนนางโบราณส่ายหน้า

แม้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มองออกว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นปรมาจารย์คนโหดอันดับหนึ่ง นับว่าแข็งแกร่งมากจริงๆ ภายใต้การนำของปรมาจารย์เช่นนี้ นิกายหู้ซานจงมีความหวังจะผงาดขึ้นมาได้ แต่ว่า ทุกคนต่างมองว่า ปรมาจารย์ผู้นี้ของนิกายหู้ซานจงเรียกว่าทำอะไรโอ้อวดเกินจริง อวดดีมากเหลือเกิน ทำการล่วงเกินต่อเนื่องต่อแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง และแคว้นฉีฟงภายในระยะเวลาอันสั้น

ลำพังแค่สำนักเล็กๆ ระดับสามพลันสร้างกระแสขึ้นมาเพื่อหวังให้สถานการณ์เข้าข้างตัวเอง หากไม่ถูกฆ่าล้างสำนัก นั่นแหละคือปาฏิหาริย์

“ภายในสามวัน ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงจะต้องมายอมรับผิด และจัดการตนเองเสีย มิฉะนั้น จะฆ่าทำลายล้างนิกายหู้ซานจง” สุดท้าย ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้ถ่ายทอดคำสั่งตายออกมาเช่นนี้ พลันที่กฎเหล็กของนางถูกถ่ายทอดออกไป ทุกคนพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดแล้ว

“นิกายหู้ซานจงต้องถูกทำลาย” ทุกคนต่างได้ข้อสรุปเช่นนี้ เมื่อได้ฟังกฎเหล็กเช่นนี้ของธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง

ตูม ตูม ตูมเสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอกภายในเมืองโบราณ พุ่งขึ้นท้องฟ้าสั่นคลอนต่อท้องฟ้า

หลังจากที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้ถ่ายทอดกฎเหล็กนี้ออกมาแล้ว ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางในเมืองโบราณได้พวยพุ่งประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดออกมาทันที ในขณะเดียวกัน ภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวปรากฎเสียงร้องคำรามของสัตว์ขนาดยักษ์ที่ดังขึ้นเป็นระลอก ภายในระยะเวลาอันสั้น ตำหนักทั้งหลังเสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นเมืองแห่งสัตว์ยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์อย่างนั้น

ในเวลานี้ ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังได้มีเสียงดังตึง ตึง ตึง มองเห็นตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวไม่เพียงปรากฎแนวป้องกันที่โผล่ขึ้นมาแต่ละชั้น และในเวลานี้ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังเสมือนดั่งหลอมสร้างขึ้นมาโดยโลหะศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังพลันกลายเป็นกำแพงทองแดงผนังเหล็ก มีความแข็งแกร่งไม่สามารถตีแตกได้อย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวได้กลับกลายเป็นกำแพงทองแดงผนังเหล็กแล้ว ภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวปรากฎเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์ดังขึ้นเป็นระยะๆ ท่ามกลางเสียงคำรามจางๆ ของสัตว์ยักษ์นั้น ปรากฏกลิ่นอายของสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่ดุดันโหดร้ายพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ทุกคนที่เดินทางผ่านตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวรู้สึกสั่นเทาในใจ ทุกคนถึงกับต้องเดินอ้อมกันไป

“มาคราวนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้เตรียมการมาอย่างดี นางไม่ได้มาเพียงลำพังผู้เดียว ยังได้นำพากองทัพที่มีกำลังนับพันนับหมื่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางมาด้วย” ผู้คนจำนวนมากต่างตื่นตระหนก เมื่อมองเห็นตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวพลันกลายเป็นป้อมปราการในสงครามที่มีความหลากหลายยิ่งนัก

“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องสังหารปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงให้จงได้” มีผู้ยิ่งใหญ่ที่มองเห็นเงื่อนงำ และกล่าวว่า “ต่อให้ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจง แข็งแกร่งยิ่งกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง แต่ว่า เมื่อใดที่เขากล้าเหยียบย่ำเข้าไปในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวหลังนี้ เกรงว่าจะต้องถูกยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางสับแยกร่างเป็นชิ้นๆ มาคราวนี้ ทางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางจะต้องมีบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมมาด้วยตนเอง เพื่อคอยให้การคุ้มครองธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง”

“คราวนี้ ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงจะต้องตายอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้” มียอดฝีมือกล่าวสรุปผลเอาไว้ เมื่อเห็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางเตรียมทำสงครามใหญ่โต

ภายในโรงเตี๊ยม เฉินเหวยเจิ้งเองก็ได้ยินคำพูดของธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง ทำเอาเขาถึงกับตื่นตระหนกยิ่งนัก รีบเข้าไปขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่

“ท่านปรมาจารย์ เราควรทำอย่างไรดี?” เฉินเหวยเจิ้งเองทำอะไรไม่ถูก เมื่อต้องเผชิญกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง

“แค่มดปลวกเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เพียงพูดเรียบเฉยขึ้นมาคำหนึ่งเช่นนี้ โดยไม่ได้ให้ความสนใจ

แม้ว่าหลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปให้ความสนใจ แต่ว่า ภายในใจของเฉินเหวยเจิ้งกลับรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก จะอย่างไรเสียเขาไม่ได้เหมือนดั่งหลี่ชิเย่ที่แข็งแกร่งจนยากที่จะจินตนาการ เขามักจะมองออกไปด้านนอกอยู่เสมอๆ ดูจะร้อนรนอยู่บ้าง พึมพำขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กบ้าพวกนี้ทำไมยังไม่กลับมา”

นับตั้งแต่พวกกัวเจียหุ้ยเจ็ดคนออกไปซื้อของแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก เวลานี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้มาถึงเมืองโบราณแล้ว กระทั่งปล่อยคำพูดนักเลงต่อนิกายหู้ซานจงของพวกเขา ในเวลานี้จึงทำให้เฉินเหวยเจิ้งถึงกับห่วงใยในความปลอดภัยของพวกกัวเจียหุ้ยขึ้นมา

เรื่องที่ยิ่งห่วงมาก มักจะยิ่งเกิดขึ้นเสมอๆ

จังหวะที่เฉินเหวยเจิ้งกำลังกังวลว่าพวกของกัวเจียหุ้ยเจ็ดคนจะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ ได้ยินเสียงปังดังขึ้นด้านนอกของประตู คนผู้หนึ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดถูกคนโยนเข้ามาจากด้านนอก

“ใคร…” สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งเปลี่ยนไปมากทีเดียว รีบวิ่งออกไปดู มองเห็นผู้ที่ถูกจับโยนเข้ามาถึงกับเป็นกัวเจียหุ้ย

กัวเจียหุ้ยในขณะนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด มีบาดแผลอยู่ทั่วตัว บนร่างกายมีหลายแห่งที่กระดูกแตกละเอียด มือและเท้าถูกหัก

“เจียหุ้ย…” สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งเปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นสภาพของกัวเจียหุ้ย

“บอก บอกคุณชาย…” กัวเจียหุ้ยอ้าปากจะพูดอะไร แต่ว่า ร่างกายสั่นเทาทีหนึ่งล้มลงกับพื้นแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย เสียชีวิตอยู่ตรงนั้น

“เจียหุ้ย…” เฉินเหวยเจิ้งถึงกับผวาเมื่อเห็นกัวเจียหุ้ยนอนตายอยู่ตรงนั้น รีบร้องของความช่วยเหลือด้วยเสียงอันดัง “ท่านปรมาจารย์ …”

เฉินเหวยเจิ้งพูดยังไม่ทันขาดคำ หลี่ชิเย่ก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน เขาส่งเสียงฮึเย็นชา มือขนาดใหญ่ที่กางออกไป กัวเจียหุ้ยพลันตกอยู่ในมือของเขาทันที

ในพริบตาเดียวนั้นเอง ร่างทั้งร่างของหลี่ชิเย่ปรากฏประกายวูบวาบ เสมือนดั่งเขาก้าวเดินออกมาจากยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์ยิ่งอย่างนั้น ขณะที่มือขนาดใหญ่ของเขายื่นออกไปนั้น เสมือนหนึ่งได้ยื่นลงไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของโลกยื่นลึกลงไปถึงนรกอเวจี เหมือนว่าขณะที่มือขนาดใหญ่ยื่นลงไปถึงนรกอเวจีเพื่อต้องการพาเอาวิญญาณของกัวเจียหุ้ยกลับมา

เสียงแว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ได้คว้าชีวิตเอาไว้ได้แล้ว หมุนทวนกาลเวลากลับไป ทำลายวัฏสงสาร ช่วงชิงความเป็นผู้สรรสร้าง ในพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่ได้สำแดงการวิวัฒนาการที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่สุด ทำการวิวัฒนาการความหมายที่ลึกซึ้งของชีวิต

ความหมายที่ลึกซึ้งเช่นนี้แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษก็เอื้อมไปไม่ถึง แต่ว่า ในขณะนี้กลับถูกสำแดงออกมาทีละอย่างๆ ด้วยมือของหลี่ชิเย่

สุดท้าย หลี่ชิเย่ใช้นิ้วมือจุดติดไฟจิตวิญญาณสายหนึ่ง พลันจี้ลงไปที่กลางหน้าผากของกัวเจียหุ้ย ได้ยินเสียงแว้งค์ที่ดังขึ้น ขณะที่ไฟจิตวิญญาณถูกจี้ลงไปที่กลางหน้าผากของนาง ทะเลแห่งความรู้ทั้งหมดของนางพลันสว่างไสวขึ้น ร่างของกัวเจียหุ้ยสั่นเทาทีหนึ่ง เสมือนดั่งกาลเวลาไหลย้อนกลับอย่างนั้น ลมปราณบนตัวของนางถึงกับย้อนกลับ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“คุณชาย ข้า ข้าตายแล้วใช่มั้ย?” ในเวลานี้เอง กัวเจียหุ้ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ท่าทางสับสนงุนงงอยู่บ้าง เนื่องจากนางตายไปแล้วชัดๆ เวลานี้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

“ไปเดินที่ด่านนรกมารอบหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าได้พันธนาการชะตาแท้ของเจ้าเอาไว้แล้ว ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินไม่ว่าใครก็เอาชีวิตเจ้าไปไม่ได้”

หลี่ชิเย่ได้พันธนาการชะตาแท้ของกัวเจียหุ้ยเอาไว้ ดังนั้น ต่อให้ถูกคนทำร้ายจนวิญญาณแตกสลาย หลี่ชิเย่ก็ช่วยนางให้ฟื้นคืนชีพได้เช่นกัน ผู้ที่สามารถทำลายผู้ที่ถูกเขาพันธนาการชะตาแท้ะเอาไว้นั้น บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ภาพเช่นนี้ทำเอาเฉินเหวยเจิ้งมองดูจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ภายในใจของเขาได้ก่อเกิดคลื่นยักษ์ที่สูงนับล้านล้านจ้าง เขามองเห็นกัวเจียหุ้ยตายไปด้วยตาของตนเอง ทั้งยังไม่ใช่ประเภทแกล้งตาย คนลงมือกับนางนั้นลงมือหนักมาก เรียกได้ว่าได้ทำลายวิญญาณจิตเทพของนางจนละเอียด นางได้ตายไปแล้วจริงๆ

แต่ว่า เมื่อหลี่ชิเย่ลงมือ ถึงกับวิวัฒนาการความหมายลึกซึ้งของชีวิต ช่วยชีวิตนางให้ฟื้นขึ้นมาได้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่สุดจะจินตนาการได้อะไรอย่างนั้น ตายแล้วฟื้นคืนชีพ นี่แหละคือการตายแล้วฟื้นคืนชีพที่แท้จริง!

แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่กางออก สัจธรรมกลับกลายเป็นเตา แก่นสมุนไพรที่เข้มข้นและยิ่งใหญ่พลันห่อหุ้มตัวของกัวเจียหุ้ยเอาไว้ และทำการกลั่นอยู่ภายในเตากลั่นสมุนไพร ภายในระยะเวลาอันสั้น อาการบาดเจ็บทั่วร่างของกัวเจียหุ้ยจะหายเป็นปรกติทั้งหมด ทั้งยังมีความรู้สึกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายทั้งหมด คุณสมบัติกายของนางได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“แย่แล้ว พวกศิษย์พี่ตกอยู่ในอันตราย” หลังจากที่กัวเจียหุ้ยฟื้นได้สติกลับมาถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “คุณชาย ยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางชิงเอามงกุฎปราชญ์ไป และจับตัวพวกศิษย์พี่ไป”

ที่แท้ขณะที่พวกของกัวเจียหุ้ยกำลังหาซื้อของอยู่ ก็ได้ยินคำพูดนักเลงของธิดาศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง พวกเขาเองก็เกรงว่าจะเกิดเรื่อง จึงรีบเร่งเดินทางกลับ ไม่นึกไม่ฝันว่าพวกเขายังไม่ทันกลับถึงโรงเตี๊ยม ก็พบกับยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง

เมื่อต้องเผชิญกับยอดฝีมือจำนวนมากของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางเช่นนี้ พวกกัวเจียหุ้ยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา มงกุฎปราชญ์ของกัวเจียหุ้ยถูกชิง พวกหลี่เจี้ยนคุนถูกจับเป็น และยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางจับกัวเจียหุ้ยโยนกลับมาก็เพื่อเตือนหลี่ชิเย่ และเป็นการข่มขู่หลี่ชิเย่

“ก็ดี เช่นนั้นแล้วล่ะก็เข่นฆ่าครั้งใหญ่ก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่เรียบเฉยยิ่ง เพียงเพ่งสายตาไปข้างหน้า เผยปณิธานการฆ่าสายหนึ่งขึ้นมา

……………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *