Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2802 เมืองล้างบาป

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2802 เมืองล้างบาป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2802 เมืองล้างบาป

ท่าทางที่เหลาะแหละของหลี่ชิเย่ได้ทำให้เกิดความโกรธเคืองของผู้คนเป็นจำนวนมาก ตรงกันข้ามกับราชันแท้จริงเซิ่นซวงเจ้าตัวเองกลับไม่ถือสา นางเพียงพยักหน้านิดหนึ่งและกล่าวว่า “วันหน้าหากมีเวลา ข้าย่อมจะไปที่สถาบันศึกษาล้างบาปสักหน่อย”

ท่าทางเช่นนี้ของราชันแท้จริงเซิ่นซวงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ แต่ก็ต้องเลิกราด้วยความแค้นใจ แม้แต่ตัวของราชันแท้จริงเซิ่นซวงยังไม่ถือสา พวกเขายังจะพูดอะไรได้อีก

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้กล่าวต่อชายวัยกลางคนกับเติ้งเหรินเซินว่า “ใต้เท้าอธิการบดี ผู้อาวุโสเติ้งพวกท่านยังคงกลับไปเถอะ ป่ารกร้างไปไม่ได้แล้ว การทดสอบร่วมกันของสถาบันศึกษาแต่ละแห่งได้ยกเลิกแล้ว เหล่าใต้เท้าอธิการบดีของสถาบันศึกษาต่างๆ ได้ให้นักศึกษาของแต่ละสถาบันศึกษากลับไปก่อนแล้ว”

“คนข้างหลังล้วนแล้วแต่กลับไปหมดแล้ว?” ชายวัยกลางคนถึงกับตะลึง เขาเองก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง เนื่องจากสถาบันศึกษาล้างบาปของพวกเขาคือสถาบันศึกษาที่ห่างจากที่นี่ใกล้ที่สุด ไม่นึกเลยว่า นักศึกษาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ ยังมาไม่ถึงก็ถอนตัวเสียก่อนแล้ว

“ถูกต้อง” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงพยักหน้า และกล่าวว่า “พระอาจารย์จินกวงได้ส่งข่าวกลับมาแล้วว่า ภายในป่ารกร้างได้กลับกลายเป็นดินแดนมารไปทั่วบริเวณ มีความอันตรายยิ่ง ท่านทั้งหลายไม่เหมาะที่จะเข้าไปอีก เกรงว่าจะถูกทำให้กลายเป็นมาร ดังนั้น หลังจากพระอาจารย์จินกวงส่งข่าวกลับมาแล้ว บรรดาท่านอธิการบดีจึงตัดสินใจยุติการทดสอบชั่วคราว”

“พระอาจารย์จินกวง…” ทุกคนต่างฮือฮาเมื่อได้ยินชื่อนี้ ท่าทางของทุกคนต่างเผยให้เห็นถึงความเคารพยำเกรงอย่างยิ่งเมื่อได้ยินชื่อคนผู้นี้ หากจะกล่าวว่า กับราชันแท้จริงเซิ่นซวงพวกเขาคือเงยหน้ามอง เช่นนั้นแล้ว กับพระอาจารย์จินกวงก็คือเคารพยำเกรง กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นการเคารพยำเกรงชนิดที่ว่าให้ความเคารพสักกระสูงสุด

“พระอาจารย์จินกวงก็มาด้วยแล้ว” เติ้งเหรินเซินก็ให้รู้สึกตกใจและหวาดหวั่นพรั่นพรึง ท่าทางดูเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง

“พระอาจารย์จินกวงได้เข้าไปในป่ารกร้างแล้ว” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงพยักหน้า และกล่าวว่า “เขาคือหนึ่งในผู้ที่เข้าไปในป่ารกร้างได้เร็วที่สุด เกรงว่าเวลานี้คงตะลุยลึกเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดแล้ว”

“พระอาจารย์จินกวงลงมือต้องกวาดล้างความมืดจนราบคาบได้อย่างแน่นอน” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันยกย่องเมื่อได้ยินว่าพระอาจารย์จินกวงได้เข้าไปในป่ารกร้างแล้ว ในสายตาของทุกคนมองว่า พระอาจารย์จินกวงคือผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกร

ชื่อของพระอาจารย์จินกวงคืออำนาจสูงสุดอย่างหนึ่งทั่วทั้งแดนลัทธิเซียน คือชื่อที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ไม่ว่าใครก็ตามหากเอ่ยถึงชื่อพระอาจารย์จินกวงก็จะรู้สึกเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง กระทั่งไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ให้ความเคารพสักการะสูงสุด

ชื่อของพระอาจารย์จินกวงในแดนลัทธิเซียนบ่งบอกถึงสิ่งใด? บ่งบอกถึงความไร้เทียมทาน บ่งบอกถึงความปราดเปรื่องน่าทึ่ง กระทั่งมีผู้กล่าวว่า พระอาจารย์จินกวงสามารถเทียบเคียงกับสิบเจิดจรัสตลอดกาลได้

“นั่นสิ แม้แต่พระอาจารย์จินกวงก็เข้าไปแล้ว ความมืดทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายวับไปกับตาในพริบตาเดียว” ทุกคนต่างเข้าใจว่าต้องเป็นเช่นนี้ ทยอยกันอุทานด้วยความตื่นตะลึง

“เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่สามรถพบเห็นตัวจริงของพระอาจารย์จินกวง หากสามารถพบเห็นสักครั้งชีวิตนี้ก็ไม่เสียใจอีกแล้ว” มีศิษย์สาวกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ดูจะบ้าผู้ชายอยู่บ้าง

แน่นอนที่สุด ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ในแดนลัทธิเซียนไม่รู้ว่ามีผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระอาจารย์จินกวงจนให้ความเคารพสักการะสูงสุด และผู้คนจำนวนเท่าไรที่ให้ความเคารพเลื่อมใสในพระอาจารย์จินกวงมากทีเดียว

“ในเมื่อพระอาจารย์จินกวงพูดเช่นนี้แล้ว ทางที่ดีก็คือไม่ไป” ชายวัยกลางคนรีบเร่งพยักหน้า และกล่าวว่า “พวกเราหันหลังกลับไปเดี๋ยวนี้ เพื่อป้องกันเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น”

มาคราวนี้ สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งต่างคัดเลือกนักศึกษาออกมาทดสอบ และสถาบันศึกษาล้างบาปอยู่ห่างจากป่ารกร้างใกล้ที่สุด เรียกได้ว่าพวกเขาคือพวกแรกที่มาถึงป่ารกร้างได้เร็วที่สุด ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับทุกคนแล้ว ในเมื่อพระอาจารย์จินกวงก็บอกแล้วว่าป่ารกร้างได้กลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุด ทุกคนต่างรู้ว่าไม่สามารถไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว

“เชิญท่านอธิการบดีกลับไปก่อน” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงพยักหน้า และเอยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าจะเข้าไปสังเกตการณ์ป่ารกร้าง เพื่อดูว่าบรรดาพี่ๆ ทั้งหลายมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลืออีกแรง” ขณะที่นางพูดยังไม่ขาดคำ นางก็ได้หายไปในเส้นขอบฟ้าแล้ว

ทุกคนต่างมองด้วยสายตาส่งราชันแท้จริงเซิ่นซวงจนไปไกลลิบ หลังจากผ่านไปนานมากจึงได้ละสายตากลับมา

“เมื่อไรจึงสามารถเหมือนเช่นราชันแท้จริงเซิ่นซวงอย่างนั้น กวาดล้างความมืด” ผู้คนจำนวนมากกล่าวด้วยความอิจฉา ไม่ง่ายนักกว่าจะละสายตากลับมาได้

พวกเขาต่างรู้ว่าการที่สามารถสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับราชันแท้จริงเซิ่นซวง สามารถเรียกพี่เรียกน้องกับราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้ จะต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะแข็งแกร่งที่สุดของยุคนี้ และคืออัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค

เรื่องเช่นนี้สำหรับพวกเขาแล้วมันคือเรื่องที่ห่างไกลมาก ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาใฝ่ฝันถึง

“พวกเราไปกันเถอะ พี่น้องผู้นี้ก็ติดตามข้ากลับไปยังสถาบันศึกษาล้างบาป” สุดท้าย ชายวัยกลางคนได้เรียกหาหลี่ชิเย่และนำพาทุกคนกลับไป

หลี่ชิเย่เพียงแค่ยิ้มนิดหนึ่งและเดินไปตามอารมณ์ แม้จะกล่าวว่าพวกเขาเดินไปด้วยกัน เพียงแต่ในจำนวนนั้นมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ชอบหลี่ชิเย่ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหลี่ชิเย่มีชาติกำเนิดเป็นชนเผ่าบาป พวกเขาก็มองหลี่ชิเย่ในฐานะศัตรู

การที่พวกเขาไม่ได้ลงมือต่อหลี่ชิเย่ในระหว่างทาง ก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว และมีสติมากแล้ว

หลี่ชิเย่เองก็ชื่นชอบในความสงบ เดินตามหลังพวกเขาอย่างช้าๆ โดยไม่มีท่าทีรีบร้อนแม้แต่น้อย กลับเป็นว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ในฐานะอธิการบดีเป็นผู้ที่มีจิตใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น เขาเกรงว่าหลี่ชิเย่จะตามไม่ทัน จึงสั่งการให้ศิษย์ผู้หนึ่งคอยดูแลหลี่ชิเย่บ้างเป็นพิเศษ

ศิษย์ผู้นี้ก็เป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปเช่นกัน เป็นคนที่ไม่เลวนัก กำลังความสามารถก็มีความโดดเด่นยิ่งในบรรดานักศึกษาด้วยกัน รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ท่วงท่านั้นเผยให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา พลันที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่จริงใจมากคนหนึ่ง และการทำงานของเขาก็ทำให้ผู้คนวางใจ

“ศิษย์น้อง เจ้าเดินไม่ไหวให้ข้าแบกเจ้าไปก็แล้วกัน” นักศึกษาที่ชื่อจ้าวชิวสือเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่มีท่าทางอ่อนแอ เกรงว่าหลี่ชิเย่จะตามไม่ทันขบวนจึงรีบเอ่ยขึ้น

เจ้าคนที่ชื่อจ้าวชิวสือผู้นี้ก็นับเป็นผู้ที่มีความจริงใจโดยแท้ และเป็นคนซื่อคนหนึ่ง การทำงานของเขาเป็นที่ไว้วางใจของผู้อื่น

แม้ว่าทุกคนต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นมีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป แต่ว่า เป็นราชันแท้จริงเซิ่นซวงรั้งเขาเอาไว้ ตู้เหวินรุ่ยในฐานะที่เป็นอธิการบดีของสถาบันศึกษาล้างบาป ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลี่ชิเย่ จะอย่างไรเสียสิ่งนี้ไม่ส่งผลดีกับสถาบันศึกษาล้างบาปของพวกเขา

“ไม่ต้องหรอก” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ เดินตามทุกคนไป

แน่นอน หลี่ชิเย่ย่อมไม่ใช่อ่อนแอ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เขายังคงเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะเข่นฆ่าทำลายฟ้าดินได้โดย็อาศัยแค่นิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น

เขาไม่รีบเร่งที่จะก้าวเดิน เนื่องจากเขาต้องการเวลาและพลังกว่าไปทำการบดขยี้ทำลายสุดยอดความน่ากลัวสูงสุดที่อยู่ภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรมากกว่า สิ่งนี้ส่งผลให้จ้าวชิวสือเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นอ่อนแอมาก ท่าทางเหมือนจะปลิวไปตามลมได้

ชายวัยกลางคนพาทุกคนก้าวเดินไปข้างหน้าตลอดทาง จนกลับมาถึงเมืองล้างบาป

หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่มีความพิเศษมาก ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ แม้ว่าพื้นที่ทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยพลังสัจธรรม แต่ว่า สิ่งนี้กล่าวสำหรับอาณาประชาราษฎร์ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิแล้ว พลังสัจธรรมมีผลกระทบกับพวกเขาน้อยมาก

แต่ว่า หอจรัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่าง ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์นั้นสถานที่ทุกแห่ง กระทั่งผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยพลังที่ศักดิ์สิทธิ์

ลองนึกภาพดู ผู้ที่อาศัยอยู่ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเช่นนี้จะเป็นเช่นใด? ดังนั้น ราษฎรจำนวนมากของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่เป็นสาวกที่มีความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญตน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่ทว่า พวกเขาต่างก็มีจิตมุ่งสู่แสงสว่าง พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วนของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงาม ภายใต้แสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้น กระทั่งมีสิงสาราสัตว์บางส่วนได้กลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด

สิ่งนี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่า เพราะอะไรราชันเซียนเซิ่นซวงจึงได้พูดว่า ถ้าหากหลี่ชิเย่เดินเข้าไปยังหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกพลังแสงสว่างสยบ เนื่องจากผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์คือความสว่าง ซึ่งไม่อาจยอมให้ความมืดดำรงอยู่ ถ้าหากมีกลิ่นอายความมืดตลบอบอวลละก็ ไม่แน่นักจะต้องถูกพลังแสงสว่างของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์สยบ และถูกทำให้บริสุทธิ์

แต่ว่า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เหนือความคาดคิด แม้จะกล่าวว่าทุกๆ ตารางนิ้วของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่แสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค แต่ มีสถานที่แห่งหนึ่งกลับไม่มีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค เหมือนว่าท่ามกลางโลกที่มีแต่แสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค หนึ่งเดียวที่ไม่มีแสงสว่างสาดส่องเข้าไป และสถานที่แห่งนี้เสมือนหนึ่งถูกแสงสว่างทอดทิ้งอย่างนั้น สถานที่แห่งนี้ก็คือเมืองล้างบาป

เมืองล้างบาปคือสถานที่เพียงหนึ่งเดียวของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ที่แสงสว่างไม่สามารถส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะอะไรพื้นที่กว้างขวางนับล้านลี้ของเมืองล้างบาปไม่สามารถให้แสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคส่องเข้ามาได้นั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่สามารถให้คำตอบที่ได้มาตรฐานได้

แม้จะกล่าวว่าภายใต้พื้นดินของเมืองล้างบาปยังคงมีพลังแสงสว่างที่ไหลรินอยู่ แต่ว่า กลับไม่สามารถเหมือนเช่นสถานที่อื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ตลบอบอวลอยู่ในผืนแผ่นดินทุกๆ ตารางนิ้วอย่างนั้น กระทั่งกล่าวได้ว่าอากาศที่ไหลรินก็คือกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์

เมืองล้างบาปกลับเป็นสถานที่ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ณ ที่ตรงนี้จะไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีกลิ่นอายแสงสว่างกำลังไหลริน และไม่สามารถมองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ตลบอบอวลอยู่ท่ามกลางผืนแผ่นดิน

แสงสว่างได้สาดส่องไปยังทุกๆ มุมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ทอดทิ้งเมืองล้างบาปเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเพราะอะไรเมืองล้างบาปจึงไม่สามารถถูกแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้น ในยุคหลังมีการพูดกันหลากหลายสาเหตุ บ้างกล่าวว่าเมืองล้างบาปในครั้งนั้นคือสถานที่ที่รวมตัวกันของคนโฉด บรรดาผู้ที่กระทั่งปฐมบรรพบุรุษ ปราชญ์ไกลกันดารยังไม่ยินดีหรือไม่สามารถที่จะโปรดได้ ต่างรวมตัวกันอยู่ที่ตรงนี้ ท้ายที่สุดชนรุ่นหลังของพวกเขาได้ขยายเผ่าพันธุ์อยู่ที่ตรงนี้

และมีคนที่พูดว่า ความจริงแล้วเมืองล้างบาปในยุคสมัยของปราชญ์ไกลกันดารนั้น คือสถานที่ที่สำหรับกักขังมารร้าย ภายหลังบรรดามารร้ายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กลับตัวกลับใจ และอาศัยอยู่ที่นี่ สืบทอดขยายชนรุ่นหลังต่อไป

และมีการพูดอีกกรณีหนึ่งว่า การที่เมืองล้างบาปไม่มีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้นเป็นเพราะการจงใจกระทำของปราชญ์ไกลกันดาร เขาต้องการให้คงสถานที่ลักษณะเช่นนี้ เพื่อเอาไว้ทดสอบจิตใจของผู้คน

เมื่อก้าวเดินมาถึงนอกเมือง ขณะยืนอยู่นอกกำแพงเมือง มองเห็น ‘เมืองล้างบาป’ อักษรสามตัวนี้แล้ว ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

ในขบวนของพวกเขามีนักศึกษาที่มาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ อยู่ด้วย หาใช่เป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปทั้งหมด นักศึกษาจากสถาบันศึกษาภายนอกจึงไม่เข้าใจ และกล่าวว่า “เพราะอะไรที่นี่จึงใช้ชื่อว่าเมืองล้างบาปเล่า?”

สำหรับปัญหาลักษณะเช่นนี้ คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ ไม่สามารถตอบได้ แม้แต่ตู้เหวินรุ่ยในฐานะอธิการบดีสถาบันศึกษาล้างบาปก็ตอบไม่ได้

“เนื่องจากล้างความชั่วร้ายของแสงสว่างออกไป ดังนั้นจึงชื่อว่าเมืองล้างบาป” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง

“ผายลม มีแต่ล้างความชั่วร้ายของความมืดออกไป ความสว่างคือด้านที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดบนโลก ความชั่วร้ายมาจากไหนกัน” มีนักศึกษาที่มาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ จึงแสดงความไม่พอใจขึ้นมาทันที

เนื่องจากสถานที่อื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ สถาบันศึกษาอื่นๆ ล้วนแล้วแต่แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคทั้งสิ้น ในทัศนะของพวกเขามองว่า สถานที่ที่ไม่สามารถได้รับแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคได้อย่างเมืองล้างบาป คือสถานที่ที่มีความผิด

เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่าความสว่างของพวกเขามีความชั่วร้าย สิ่งนี้จะไม่ให้พวกเขาต้องจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธได้อย่างใดเล่า

“ถ้าหากบนโลกล้วนแล้วแต่แสงสว่าง แล้วความมืดมาจากไหน?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “หากไม่มีความมืดเป็นบรรทัดฐาน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความสว่างคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในหล้า?”

…………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *