Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2858 ทำลายในครั้งเดียว

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2858 ทำลายในครั้งเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2858 ทำลายในครั้งเดียว

แต่ว่า สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเปลวไฟธรรมดาเมื่อถูกพ่นใส่บนตัวของอีกาเทพอัคคี ทำให้อีกาเทพอัคคีทั้งหมดร้องเสียงน่าเวทนาขึ้นมา อ๊ากกกขณะที่ร้องเสียงน่าเวทนาขึ้นมา ปรากฏอีกาเทพอัคคีทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี

“แย่แล้ว…” เทพธนูม้าบินถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นอีกาเทพอัคคีนับพันนับหมื่นตัวที่ตนสู้อุตส่าห์เลี้ยงมาด้วยความลำบากถูกเผาไหม้เป็นเถ้า

แต่ว่า นาทีนี้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สายเกินไปเสียแล้ว สะเก็ดไฟเม็ดหนึ่งได้กระเด็นลงบนตัวของเทพธนูม้าบิน ได้ยินเสียงพรึบดังขึ้นเสียงหนึ่ง ในพริบตาเดียวนั่นเองเกิดเป็นไฟเผาไหม้ตัวของเขาทั้งตัวขึ้น

“ดับ…” แรกทีเดียวเทพธนูม้าบินไม่รู้สึกตระหนกอะไรมากนักเมื่อเห็นไฟลุกไหม้บนตัว ทำมือเป็นคาถาวิเศษ หวังเสกให้นำแข็งปกคลุมสรรพสิ่งเพื่อดับเปลวไฟบนตัว แต่ว่าไร้ประโยชน์ ได้ยินเสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดขึ้น มองเห็นน้ำแข็งหิมะล้วนแล้วแต่ถูกหลอมละลายไปโดยพลัน

“อ๊ากกก…” ในเวลานี้ เทพธนูม้าบินถึงกับร้องเสียงน่าเวทนาขึ้นมา เนื่องจากเปลวไฟพลันเผาไหม้เข้าไปภายในร่างกายของเขา แม้ว่าเขาจะมีพลังลมปราณที่ยิ่งใหญ่มหาศาล และมีพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมทำการสยบลงมา ยังคงสยบเปลวไฟที่เผาไหม้นี้ไม่ได้

เทพธนูม้าบินถึงกับกลิ้งอยู่บนพื้นดิน และกำลังไฟยังคงไม่ลดลง ถึงกับร้องน่าเวทนาขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดยิ่งนัก

“วิ่งไป วิ่งได้เร็วเท่าไรยิ่งมีโอกาสที่จะสลัดมันให้หลุด” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวกับเทพธนูม้าบินที่กลิ้งไปทั่ว

พลันที่เทพธนูม้าบินได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่จึงลุกขึ้นและออกวิ่งไปทันที เป็นไปตามนั้น ได้ยินเสียงตูมเสียงหนึ่ง เปลวไฟบนตัวของเขาอ่อนลงไปไม่น้อยทีเดียว

นาทีนี้ เทพธนูม้าบินจึงสำแดงพลังทั้งหมดที่มีวิ่งไปอย่างเต็มกำลัง วิ่งหนีไปบนเส้นขอบฟ้า มองจากระยะไกลๆ เห็นเทพธนูม้าบินลากเปลวไฟที่เป็นหางยาวมากวิ่งผ่านท้องฟ้าไป และเปลวไฟดังกล่าวไหม้อยู่ที่ก้นของเขา ดูไปแล้วก็เหมือนก้นของเขาพ่นเป็นไฟ และเป็นแรงส่งเขาไปถึงเส้นขอบฟ้าโดยพลันอย่างนั้น

ครั้นเทพธนูม้าบินหยางเฉิงลี่หายไปบนเส้นขอบฟ้าแล้วนั้น ไม่เพียงแต่พวกจ้าวชิวสือเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ที่เป็นเผ่ามนุษย์อาชาก็มองดูจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก หัวหน้าของพวกเขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะสิบล้านชาติ กำลังความสามารถดุจคลื่นยักษ์ เวลานี้ถึงกับต้องหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง ถ้าหากไม่ได้ภาพนี้กับตาตนเอง ก็ไม่กล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ไม่ง่ายนัก ศิษย์ของเผ่ามนุษย์อาชาเมื่อได้สติกลับมาต่างมีสีหน้าที่ขาวซีด ต่างทยอยกันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว และกำคันธนูในมือของตนแน่น อยู่ในท่วงท่าป้องกันและพร้อมรบ

หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าพวกเขาทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “ไสหัวไป วันนี้จะไว้ชีวิตพวกเจ้าครั้งหนึ่ง หากคราวหน้ากล้ามาอีกฆ่าไม่มีละเว้น”

ศิษย์เผ่ามนุษย์อาชาเมื่อได้ยินคำพูดนี้เหมือนได้รับการอภัยโทษครั้งใหญ่ จึงหันหลังไปทันทีไม่กล้ารั้งอยู่นาน

“กลับมา” ขณะที่ศิษยของเผ่ามนุษย์อาชาเพิ่งจะไป เสียงที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง พลันทำให้พวกเขาถึงกับยืนแข็งทื่อ ไม่กล้าบุ่มบ่าม

“ช่วยส่งข่าวให้กับราชันหญิงพวกเจ้า ข้ากำลังขาดสาวใช้คนหนึ่งพอดี ให้นางมาปรนนิบัติข้าก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะ โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ไสหัวไป”

ในเวลานี้ ศิษย์ของเผ่ามนุษย์อาชาโกรธแค้นอย่างยิ่ง นี่เป็นการทำให้ราชันหญิงพวกเขาต้องด่างพร้อย แต่ว่า ถึงพวกเขาจะโกรธแค้นก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งมาก

สุดท้าย ศิษย์เผ่ามนุษย์อาชาได้แต่พกพาความโกรธแค้นเต็มอกวิ่งหลบหนีไป

สำหรับพวกจ้าวชิวสือได้แต่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น พูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน ต่อให้พวกเขาได้สติกลับมาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ถึงกับฝากให้ศิษย์เผ่ามนุษย์อาชานำคำพูดไปให้ราชันหญิงจื่อหลง ให้ราชันหญิงจื่อหลงมาเป็นสาวใช้ให้กับเขา เรื่องเช่นนี้แม้แต่จินตนาการก็ยังไม่กล้า นับว่าสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน

ตู้เหวินรุ่ยเพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง โดยเขามองว่าล้วนอยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว

“ออกมาเถอะ ดูพอแล้วยัง” หลังจากที่ศิษย์ของเผ่ามนุษย์อาชาหนีไปไกลแล้ว หลี่ชิเย่ได้กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา

หลังจากหลี่ชิเย่พูดขาดคำ มองเห็นที่ที่ไม่ไกลนักมีคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา ในมือของเขากำอาวุธแน่น คือเทพแท้จริงเป่าหยวนที่เคยมาเตือนหลี่ชิเย่นั่นเอง

การโผล่ขึ้นมากะทันหันของเทพแท้จริงเป่าหยวนทำเอาศิษย์สถาบันศึกษาล้างบาปตกใจยิ่งนัก พวกเขาถึงกับไม่รู้เลยสักนิดว่าข้างกายพวกเขามีคนแอบอยู่คนหนึ่ง

“ทำไม ยังคิดจะแก้แค้นข้าอีกรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง ไม่เห็นเทพแท้จริงเป่าหยวนอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง

กล่าวสำหรับเทพแท้จริงเป่าหยวนแล้วเรียกได้ว่าโกรธเคืองอย่างยิ่ง เมื่อถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาถูกดูแคลนถึงเพียงนี้ มองเขาเป็นดั่งมดปลวก แต่ว่า มันช่างจนด้วยเกล้าอย่างนั้น และไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น เขาทำได้แค่โกรธเคืองเท่านั้นเอง เวลานี้เขารู้แล้วว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเขามากทีเดียว

แม้แต่เทพธนูม้าบินที่แข็งแกร่งกว่าเขาไม่น้อยยังต้องเสียเปรียบต่อหลี่ชิเย่จนวิ่งหลบหนีไป

ในขณะนี้เทพแท้จริงเป่าหยวนกำอาวุธไว้แน่น เตรียมพร้อมสำหรับการสู้ตาย และจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ไม่ลดละ

“ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่เลิกรา” เมื่อเทพแท้จริงเป่าหยวนเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่มีท่าทีที่จะลงมือจึงค่อยยังอุ่นใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งกัดฟันด้วยท่าทีที่เด็ดเดี่ยวหนักแน่น กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “บุญคุณแม้เพียงน้ำหยดเดียว ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธารา! ข้าจะต้องแก้แค้นให้กับผู้อาวุโสเติ้งอย่างแน่นอน”

“น่าชื่นชมในความกล้าหาญ” หลี่ชิเย่มองดูเทพแท้จริงเป่าหยวนทีหนึ่ง ยิ้มนิดหนึ่ง ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไสหัวไป วันนี้ข้าละเว้นเจ้าไม่ตาย แต่ คราวหน้าเจ้าจะต้องตายแน่นอน ทางที่ดีเจ้าไปให้ไกลได้เท่าใดยิ่งดี หาไม่แล้ว เป็นการรนหาที่ตายเอง”

เทพแท้จริงเป่าหยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เก็บอาวุธขึ้นและก้าวเดินออกมาช้าๆ แต่ว่า ก่อนจากเขายังคงจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่และกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “ข้าจะล้างแค้นให้กับผู้อาวุโสเติ้งแน่! แน่นอน”

“มีใจที่จะทดแทนคุณเป็นเรื่องดี เสียดาย” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถแก้แค้นได้ตลอดไป เจ้ามีแต่หนทางแห่งความตายสถานเดียว!”

เทพแท้จริงเป่าหยวนนิ่งเงียบพักหนึ่ง สุดท้ายล่องลอยจากไป

“เขาจะไม่ละทิ้งแน่นอน” ตู้เหวินรุ่ยกล่าวเรียบเฉย มองดูเงาหลังของเทพแท้จริงเป่าหยวนที่ไกลออกไป

ตู้เหวินรุ่ยอ่านใจคนมานับไม่ถ้วน เขามองออกว่า แม้เทพแท้จริงเป่าหยวนจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ แต่ทว่า เขายังคงยึดมั่นแก้แค้นให้กับเติ้งเหรินเซิน

“ดูท่าเขาคงได้รับบุญคุณมาไม่น้อย” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่ง อย่างไรก็ได้ เขาไม่รังเกียจที่จะฆ่าคนเพิ่มอีกสักคน

“เขานับว่าให้ความสำคัญเรื่องบุญคุณ น่าเสียดาย” ตู้เหวินรุ่ยส่ายหน้าเบาๆ

เทพแท้จริงเป่าหยวนรู้ว่าต้องตายแน่นอน ยังคงจะแก้แค้นให้กับเติ้งเหรินเซิน ดูท่าเขาคงได้รับบุญคุณที่ยิ่งใหญ่มากจากเติ้งเหรินเซิง

ดูท่า การที่เขามีความสำเร็จในวันนี้ เกรงว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเติ้งเหรินเซิง” ตู้เหวินรุ่ยกล่าวว่า “ในฐานะที่เติ้งเหรินเซิงเป็นอาจารย์ของเป่ยเยี่ยน เขาก็แค่พื้นๆ เท่านั้นเอง แต่ว่า หลังจากตายแล้วยังมีคนจดจำบุญคุณได้ สิ่งนี้นับว่าคู่ควรต่อการให้ความรู้ และถ่ายทอดวิชาอธิบายข้อฉงนสงสัยของเขาแล้ว”

ภาพเช่นนี้ทำให้ตู้เหวินรุ่ยสะเทือนใจอย่างยิ่ง ในฐานะที่เติ้งเหรินเซิงเป็นอาจารย์ของเป่ยเยี่ยนซึ่งไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก และจิตใจก็ค่อนข้างจะคับแคบ

แต่ว่า หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว ยังมีนักศึกษาที่ดึงดันจะแก้แค้นให้เขา กระทั่งไม่เสียดายชีวิต สิ่งนี้นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งกระมัง

หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง อย่างไรก็ได้

ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ผืนแผ่นดินสะเทือนหวั่นไหวทีหนึ่ง เหมือนสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเกิดสั่นไหวโคลงแคลงขึ้นมา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” พวกจ้าวชิวสือล้วนแล้วแต่ถูกทำให้งุนงงไปหมด ไม่ง่ายนักกว่าจะยืนได้มั่นคง และมีสีหน้าขาวซีด

ปัง ปัง ปังในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าปรากฏเป็นจุดที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษวงแล้ววงเล่า เหมือนว่า ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งของสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีแสงสว่างแต่ละสายยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างนั้น เมื่อแสงสว่างเจิดจ้าเจิดจ้าโปรยลงมานั้น ก็เหมือนหนึ่งพลุที่ถูกยิงในยามค่ำคืนอย่างนั้น

“แย่แล้ว…” ตู้เหวินรุ่ยรู้สึกตระหนกเมื่อมองเห็นภาพนี้ กล่าวด้วยความตกใจว่า “มีคนเปิดสวนโบราณออกมา!”

“สวนโบราณ สวนโบราณคืออะไร?” นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก พวกเขาไม่เคยได้ยินคำว่าสวนโบราณมาก่อน ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสวนผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ สวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีสวนโบราณ

“สวนโบราณคือส่วนหนึ่งของสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ตู้เหวินรุ่ยมองหน้าหลี่ชิเย่ที่หนึ่งและกล่าวว่า “แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันถูกผนึกเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วน้อยคนนักที่จะเปิดออกมาได้ และคนที่รู้เรื่องของมันมีอยู่ไม่มาก มาวันนี้ถึงกับมีคนเปิดสวนโบราณออกมา นี่ นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

“แสดงว่ามีคนเตรียมการมาก่อน” หลี่ชิเย่หัวเราะ

“เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี” ตู้เหวินรุ่ยถึงกับครุ่นคิดและกล่าวว่า “ในสวนโบราณมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์จำนวนมากหลับไหลอยู่ ทำไมถึงมีคนต้องไปเปิดมันออกมา? เมื่อไรที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์ทั้งหมดตื่นขึ้นมา ต่อให้คนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ถูกบดขยี้กลายเป็นเนื้อบด”

“ไปดูสักหน่อยก็รู้แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง

ตู้เหวินรุ่ยร้อนรนมากกว่าใคร รีบรุดไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของสวนโบราณ นักศึกษาทั้งหมดทยอยตามไป

“ท่านอธิการบดี อะไรคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์? คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงหรือ?” มีนักศึกษาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แท้จริงอะไรหรอก” ตู้เหวินรุ่ยกล่าวว่า “หลังจากที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่แข็งแกร่งมากแล้วก็จะเข้าไปยังสวนโบราณ และนอนหลับใหลอยู่ในนั้นโดยไม่ตื่นขึ้นมาเป็นเวลานานมาก บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลับใหลเหล่านี้ก็จะถูกเรียกว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์ ความแข็งแกร่งของพวกมันแม้แต่ราชันแท้จริง ยังต้องหวั่นเกรงมันสามส่วน”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เมื่อนักศึกษาได้ฟังคำเช่นนี้แล้วจึงเข้าใจ

ในขณะที่ตู้เหวินรุ่ยรุดไปยังสวนโบราณอยู่นั้น ในเวลานี้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็เดือดพล่านขึ้นมา ข่าวคราวต่างๆ ได้แพร่กระจายไปทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์

“ราชันแท้จริงจินผู่ได้พบซากวัตถุโบราณแห่งหนึ่งภายในสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ รีบเข้าไปดูเร็ว” มีนักศึกษาร้องกล่าวเสียงดัง

“คือซากวัตถุโบราณรึ? ซากวัตถุโบราณแบบไหน” นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างทยอยกรูกันเข้ามาด้วยความตื่นเต้น

“ไม่รู้ ได้ยินมาว่าคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่นอนหลับใหล ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งมาก แหะถือโอกาสสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ยังนอนหลับไหลอยู่ พวกเราลองดูว่าสามารถได้ของวิเศษมาหรือไม่ เช่น พวกไข่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้น” มีนักศึกษามุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของสวนโบราณ

นักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ในสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งสวนผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ ในเวลานี้นักศึกษาทั้งหมดต่างทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่ มุ่งหน้ากรูไปยังซากวัตถุโบราณที่ราชันแท้จริงจินผู่ได้ค้นพบ

“ดูท่าเจ้าหนูจินผู่มีการเตรียมการมาอย่างดี” ณ สถานที่แห่งหนึ่งในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีผู้เฒ่าหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือใต้เท้าเซ่นตู๋

“หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากได้มาก” ผู้เฒ่าอีกคนกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่รู้ว่านี่เป็นการมาโดยลำพังของจินผู่เอง หรือว่าเป็นเจตนารมณ์ของปราชญ์อัจฉริยะหลันซูให้ทำ” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แววตาดูน่าเกรงขาม

“คอยดูเหตุการณ์” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

“แต่เกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง…” ยังมีผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งอดที่จะกังวลใจไม่ได้

“วางใจเถอะ ตาเฒ่าตู้ไปด้วยน่าจะสงบลงได้” ใต้เท้าเซิ่นตู๋กล่าว

ผู้เฒ่าอื่นๆ มองตากันและกัน สุดท้ายต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา

…………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *