Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2922 ท่าทีอ่อนลงเมื่อได้รับผลประโยชน์

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2922 ท่าทีอ่อนลงเมื่อได้รับผลประโยชน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2922 ท่าทีอ่อนลงเมื่อได้รับผลประโยชน์

หลี่ชิเย่ละสายตากลับมาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “มีผู้ที่อดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว กี่ปีผ่านไป อย่างไรเสียก็หิวแล้วล่ะ”

“เป็นเพราะสาเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้? ” ภายในใจของชายหนุ่มก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้น

ตัวเขาที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้ รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นลางๆ แล้ว เพียงแต่เขายังไม่สามารถเข้าใจในรายละเอียดเท่านั้นเอง

เขาได้มาและรั้งอยู่ที่ตรงนี้นานขนาดนี้ ก็สามารถแน่ใจได้ว่าต้องมีภัยพิบัติมาเยือนอย่างแน่นอน และเขามั่นใจมากว่าภัยนั้นต้องเกิดจากทะเลปุ๊ตู้ไห่

เวลานี้ จากคำพูดของหลี่ชิเย่ ทำให้เขายิ่งมีความมั่นใจในแนวความคิดนี้แล้ว

หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “รายละเอียดนั้นไม่ชัดเจน แต่ว่า ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นทะเลปุ๊ตู้ไห่ก็ดี แดนสามเซียนก็ช่าง ได้ผ่านกาลเวลามานานเท่าใดแล้ว? สามารถรักษาความสมดุลเช่นนี้เอาไว้ได้ เป็นการบ่งบอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสามารถควบคุมได้ เวลานี้กลับหลุดจากการควบคุมในทันที เพราะอะไร? เป็นเพราะพลังจากภายนอกทำให้เป็นเช่นนี้! ”

“มีมารเข้ารุกราน” ชายหนุ่มถึงกับเอ่ยขึ้น ครั้งนั้นสวรรค์ลงทัณฑ์ พลันทำให้ทั่วทั้งแดนลัทธิเซียนกลายเป็นมาร ภาพเหตุการณ์นั้นมีความน่ากลัวเพียงใด

“จะพูดแบบนี้ก็ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “แต่ว่า บางสิ่งบางอย่างจะเป็นมารหรือไม่นั้นคงพูดยาก ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะให้คำจำกัดความมันเช่นใด”

ชายหนุ่มถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เข้าใจความหมายของหลี่ชิเย่ว่าหมายถึงสิ่งใด

“เคราะห์กรรมนี้ หลีกหนีได้พ้นหรือไม่” ชายหนุ่มอดที่จะขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่ไม่ได้ ด้วยท่าทีที่เคารพอย่างยิ่ง

“ยาก” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ตามความเห็นของข้า นี่เป็นเพียงโยนหินถามทาง เป็นเพียงการเริ่มต้น ทำไมจะต้องโยนหินถามทาง พูดให้ชัดเจนก็คือมีกำลังไม่พอ ถ้าหากเจ้าเผชิญหน้ากับมดปลวกฝูงหนึ่งเจ้าจำเป็นต้องโยนหินถามทางหรือไม่? ถ้าหากเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องกังวล จำเป็นต้องโยนหินถามทางหรือไม่? จัดการทำลายรังทั้งรังก็สิ้นเรื่อง”

“คำพูดนี้มีเหตุผล” ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย

หลี่ชิเย่ยิ้มๆ มองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ต้องมีคนเป็นกองหน้าแน่นอน ส่วนรายละเอียดหลังจากนี้เป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่ามีใครที่สามารถสยบได้หรือไม่ บางทีก็ต้องดูว่าในทะเลปุ๊ตู้ไห่มีความแข็งแกร่งมากเพียงใด”

“เทียนเชี่ยนคือด่านแรกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มอดที่จะหันกลับไปมองดูเทียนเชี่ยนทีหนึ่ง มองดูด่านเทียนสงกวานทีหนึ่ง

ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “กลยุทธการรบที่ดีที่สุดก็คือ ต้านไฟสงครามให้อยู่ด้านนอกของเทียนเชี่ยน เมื่อไรที่เข้าในแดนลัทธิเซียนแล้วก็จะทำงานยาก เมื่อใดที่เชื้อไฟถูกโปรยลงมาก็อันตรายแล้ว เป็นการนำมาซึ่งภัยที่แฝงเร้นให้กับแดนลัทธิเซียน กระทั่งแดนสามเซียน

“ขอท่านอาจารย์วางกลยุทธ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม

หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เจ้าแกร่งมากถึงขั้นนี้แล้ว ใยต้องกังวลใจ แค่หันหลังจากไป ไฟสงครามก็ลามไม่ถึงเจ้าอยู่แล้ว หากเจ้าไปให้ไกลเพียงลำพังก็สามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

“จะอย่างไรเสียแดนลัทธิเซียนก็เป็นที่ที่หล่อเลี้ยงข้า” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ว่า “ในฐานะที่เกิดที่นี่ ตายที่นี่ ข้าเองย่อมไม่ปรารถนาให้ชีวิตอาณาประชาราษฎร์ของแดนสามเซียนต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก ยิ่งไม่ต้องการให้แดนสามเซียนกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง”

หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ง่ายมาก รวบรวมกำลังของแดนสามเซียน ต้านศัตรูเอาไว้ด้านนอกเทียนเชี่ยน นี่คือวิธีการที่ง่ายและได้ผลมากที่สุด แน่นอน หากเจ้ามีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ลุยเข้าไปในทะเลปุ๊ตู้ไห่ ถล่มโดยตรงถึงรังเลย! ”

“ท่านอาจารย์ให้เกียรติเข้าเกินไป” ชายหนุ่มส่ายหัว และกล่าวว่า “ทักษะข้าอ่อนด้อย ไม่มีกำลังพอที่จะทำได้ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าข้าจำนวนเท่าไรที่เข้าไปในทะเลปุ๊ตู้ไห่ ความโชคดีที่ข้าได้รับมาเพียงแค่นี้ หากเข้าไปในทะเลปุ๊ตู้ไห่แล้วสามารถรักษาตัวให้รอดได้ก็นับว่าไม่เลวแล้วล่ะ”

คำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ใช่เป็นการถ่อมตน แต่เป็นความจริง พันล้านปีที่ผ่านมา มีระดับปฐมบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่เข้าไปในทะเลปุ๊ตู้ไห่ และบรรดาปฐมบรรพบุรุษระดับแดนลัทธิเซียน ช่างมีความแข็งแกร่งอะไรอย่างนั้น มีความน่าสยองขวัญอะไรอย่างนั้น

“เช่นนั้นก็เฝ้ารักษาเทียนเชี่ยนเอาไว้ก็แล้วกัน ด่านเทียนสงกวานไม่แตกเทียนเชี่ยนก็ยังคงอยู่ ทุกอย่างย่อมทำได้ง่ายขึ้น” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้น

ชายหนุ่มอดที่จะมองไปที่เทียนเชี่ยน และกล่าวว่า “เพียงแต่ไม่ทราบว่าเทียนเชี่ยนสามารถรักษาเอาไว้ได้นานเท่าใด ทักษะข้าก็ไม่เพียงพอนะเนี่ย”

แม้ว่าตัวเขาที่ยอดเยี่ยมยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้าก็รู้สึกว่าใจสู้แต่กำลังไม่เป็นใจอยู่บ้าง เนื่องจากเขารู้ว่าเมื่อใดที่ภัยพิบัติมาถึง มันเป็นเรื่องที่น่าสยองขวัญอะไรอย่างนั้น

“ก็ต้องดูแขกที่มาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่แล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่งและกล่าวว่า “พวกเจ้าทำได้เพียงอธิฐานแขกที่มาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่ไม่ได้แข็งแกร่งมากไปกว่าพวกเจ้า มิฉะนั้นล่ะก็คงพูดยาก เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าสามารถเฝ้ารักษาได้ชั่วคราว แต่ก็รักษาเอาไว้ตลอดกาลไม่ได้”

“แล้วท่านอาจารย์เล่า? ” ชายหนุ่มมองไปที่หลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่มองไปที่ชายหนุ่มแวบหนึ่ง ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “หากข้ายื่นมือเข้าไป หวาดหวั่นพรั่นพรึงไปหมื่นชาติ! ”

ขอท่านอาจารย์โปรดลงมือ…ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืน และแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่

“ทำไมข้าจะต้องลงมือ? ” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “กล่าวสำหรับข้าแล้ว ข้าเป็นเพียงแขกที่เดินทางผ่านมาของแดนสามเซียนเท่านั้น ข้าหาใช่เป็นผู้ปกป้องของแดนสามเซียนของพวกเจ้า และ ไม่ใช่เป็นพระเจ้าช่วยโลกของแดนสามเซียน ข้าเพียงเดินทางผ่านมาเท่านั้นเอง”

“เพื่ออาณาประชาราษฎร์ ท่านเห็นเป็นอย่างไร? ” ชายหนุ่มถึงกับเอ่ยขึ้น

หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่มีจิตเมตตาอย่างนั้นรึ? เหมือนดั่งที่ข้าพูดเอาไว้เมื่อครู่ ถ้าหากข้าหันหลังกลับ เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ข้าจะกลายเป็นเซียน! เวลานี้ข้าไม่หันหลังกลับไปอีกแล้ว แค่นี้ยังไม่มีความเมตตาเพียงพออีกรึ? ”

ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบ และไม่อาจไม่พยักหน้ายอมรับ และกล่าวว่า “ไม่ใช้กำลัง นับว่ามีความเมตตาสูงสุดโดยแท้! ”

“ดังนั้น ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะไปเฝ้าปกป้องอะไร ข้าเป็นเพียงแขกที่เดินทางผ่านมายังโลกใบนี้เท่านั้นเอง เดินผ่านโลกนี้ไปแผ่วเบาก็เรียกว่าเมตตา และมีคุณธรรมยิ่งใหญ่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวไปตามอารมณ์ กระดกสุราเลิศรสทีเดียวหมดจอก

ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบ เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่มีเหตุผลอย่างแท้จริง และเป็นการพูดความจริงออกมาโดยแท้จริง

ศึกเพียงครั้งเดียวของอาจารย์ก็จะสาดส่องสว่างไสวไปเป็นนิรันดร์” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แสดงคารวะแบบจีน และกล่าวว่า “ศึกเดียวก็สามารถก้าวข้ามกาลเวลาในอดีต พระอาทิตย์ไม่มีวันอัสดง ศึกในเครั้งนี้จะเป็นการทดสอบเรียกน้ำย่อย ของท่านอาจารย์ วันหน้าท่านอาจารย์ต้องสู้รบจนถึงที่สุดได้อย่างแน่นอน! ให้ศึกครั้งนี้เป็นการลั่นกลองรบให้ดังขึ้นสำหรับท่านอาจารย์ จะเป็นเช่นใด? ”

“คำพูดนี้ของเจ้าพูดได้ดีมาก” หลี่ชิเย่มองดูชายหนุ่มแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา แล้วดื่มอีกจอกอย่างสำราญใจ ตบขาทีหนึ่งและกล่าวว่า “ตกลง อาศัยคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็จะเรียกน้ำย่อยด้วยการชักธงรบ! ก็ดี ก็ดีเหมือนกัน! ”

“ขอบคุณท่านอาจารย์! ชายหนุ่มแสดงคารวะอีกครั้ง และรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง จากนั้นได้รินสุราเติมให้หลี่ชิเย่จนเต็มแก้ว

หลี่ชิเย่ยกขึ้นกระดกจนหมดจอก ส่ายหน้า และหัวเราะกล่าวว่า “คำพูดที่ประจบของเจ้าคำนี้ประจบได้ดีเหลือเกิน รู้อยู่แล้วว่าเป็นการขุดหลุมพรางของเจ้า ข้ายังคงกระโดดลงไป”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรยากจะหาผู้ใดเทียม การศึกครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอ่ยถึง ท่านอาจารย์ก็ต้องลงมือ ท่านอาจารย์จะต้องทดลองเรียกน้ำย่อยอย่างแน่นอน ชักธงรบสักครั้ง” ชายหนุ่มยิ้มกล่าว และรินสุราเติมเต็มแก้วให้กับหลี่ชิเย่

“เจ้านับเป็นอัจฉริยะบุคคลโดยแท้ คำพูดประจบสอพรอใช้ได้อย่างสุภาพเรียบร้อย” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เฮ่อตกลง ทานของคนอื่นแล้วนี่ย่อมมีท่าทีที่อ่อนลง และทำตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว อาหารและสุราเลิศรสมื้อนี้ของเจ้า เรียกได้ว่าทานจนมึนตึบไปแล้ว

“หากเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งคุ้มค่า” ชายหนุ่มก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาสบายอารมณ์ และกล่าวว่า “เพียงแต่ศิษย์มาด้วยความเร่งรีบ ไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ได้เตรียมเมนูอาหารเซียนชั้นเลิศมาให้อาจารย์เป็นพิเศษ นับว่าน่าเสียใจยิ่ง น่าเสียใจยิ่งนัก”

“เป็นความจริงที่เมนูอาหารเซียนในแดนสามเซียนมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “น่าเสียดาย การมาแดนสามเซียนในครั้งนี้ ข้าไม่ได้มาด้วยเรื่องของเมนูอาหารเซียนเลิศรส มิฉะนั้นล่ะก็ คงได้ลิ้มลองให้หมด”

“เท่าที่ข้าทราบ ในเทียนซวีมีเมนูเลิศรสอย่างหนึ่ง ได้รับการยกย่องว่าหนึ่งในสุดยอดตลอดกาล ยากจะได้พานพบ” ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา

“คำพูดนี้ของเจ้า คิดจะอาศัยอาหารเลิศรสมาซื้อตัวข้าอย่างนั้นรึ? ” หลี่ชิเย่หัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้าและกล่าวว่า “หากทานอาหารเจ้าอีกสักมื้อ จะขุดหลุมพรางให้ข้าอีกสักหลุมใช่หรือไม่”

“ไหนเลยจะกล้าทำเช่นนี้” ชายหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ยินดีลงมือ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า ไหนเลยกล้าตะกละอีก แต่ว่า เมนูอาหารเซียนเช่นนี้หากอาจารย์ไม่ได้ลิ้มลอง ก็เป็นความบกพร่องในการรับรองของข้า และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับข้า ท่านอาจารย์โปรดให้เวลาข้าเล็กน้อย ข้าจะไปจับมาเพื่อให้ท่านอาจารย์แกล้มสุรา ดีไหม? ”

“ตกลง ข้าก็อยากจะชิมสักหน่อยว่าเป็นจริงดังว่าหรือไม่” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา

อาหารเซียนมื้อหนึ่งที่แม้แต่ราชันแท้จริงก็ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง แต่ว่า มันได้ผ่านไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางการพูดคุยที่หัวเราะสนุกสนาน และภายใต้การชิมของหลี่ชิเย่นั้น เสมือนหนึ่งเป็นมื้อธรรมดาๆ มื้อหนึ่งเท่านั้น

หลังจากที่หลี่ชิเย่อิ่มหนำสำราญแล้ว ได้ลุกขึ้นยืนเพื่อไปจาก หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าจะไปที่ด่านเทียนสงกวานสักครั้ง จัดการเรื่องจิปาถะสักหน่อยให้จบ”

“ตกลง” ชายหนุ่มก็กล่าวอำลาต่อหลี่ชิเย่ “ศิษย์จะไปที่เทียนซวีจับมาสักตัว เพื่อให้ท่านอาจารย์ได้ลิ้มลองรสชาติที่ยากจะหาใดเทียม”

“เช่นนั้นข้าจะรอ” หลี่ชิเย่หัวเราะ ก้าวเท้าเข้าไปในด่านเทียนสงกวาน

ชายหนุ่มแสดงคารวะแบบจีน หันหลังกลับไปมองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่แวบหนึ่ง ทอดถอนใจทีหนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองตกไปอยู่ที่เทียนซวี มองเห็นร่างกายของเขาแวบหนึ่ง พลันก้าวข้ามหมื่นอาณาจักร ทะลุผ่านช่องว่างนับล้านล้านช่องว่าง เข้าสู่เทียนซวี

หลี่ชิเย่เท้าแตะด่านเทียนสงกวาน ปรากฏกลิ่นอายแห่งความเจริญรุ่งเรืองโชยมาปะทะใบหน้า มองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่แออัดยัดเยียดฝุ่นตลบ ซึ่งแตกต่างกับชายทะเลปุ๊ตู้ไห่ที่เงียบเหงาอย่างสิ้นเชิง

เมื่อยืนอยู่บนด่านเทียนสงกวานที่ใหญ่โตมโหฬารนั้น สามารถรับรู้ได้ถึงโลกของมนุษย์ปุถุชนได้ทันที นี่แหละคือโลกมนุษย์ปุถุชนที่แท้จริง

ด่านเทียนสงกวาน คือด่านอันดับหนึ่งของแดนลัทธิเซียน และเป็นด่านเพียงด่านเดียวของเทียนเชี่ยน ถ้าหากมีการมีการเปิดเทียนเชี่ยน ทางเข้าเพียงทางเดียวก็คือด่านเทียนสงกวาน ถ้าหากด่านเทียนสงกวานไม่เปิด ก็จะไม่สามารถเดินทางเข้าสู่แดนลัทธิเซียนได้ และจะถูกกันเอาไว้ที่ด้านนอกของเทียนเชี่ยน

ดังนั้น กล่าวสำหรับตำแหน่งด้านภูมิศาสตร์แล้ว ด่านเทียนสงกวานมีความสำคัญยิ่งต่อแดนลัทธิเซียน เพียงแต่ไม่เคยมีศัตรูจากภายนอกเข้ามารุกรานในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา ด่านเทียนสงกวานจึงไม่ได้สำแดงถึงฐานะความสำคัญในด้านยุทธศาสตร์ของมัน

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ด่านเทียนสงกวานยังคงเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดในหล้า จากการสั่งสมมานานนับพันล้านปี ที่นี่ได้กลายเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแดนลัทธิเซียนแล้ว

กล่าวได้ว่า ความเจริญรุ่งเรืองของด่านเทียนสงกวานสามารถเทียบได้กับเมืองโบราณเมืองใดในแดนลัทธิเซียนก็ได้

ด่านเทียนสงกวานโดยรวมมีพื้นที่กว้างขวางยิ่งนัก กระทั่งเมืองโบราณที่ใหญ่ที่สุด เมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากในแดนลัทธิเซียน ก็ห่างชั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับด่านเทียนสงกวาน

ด่านเทียนสงกวานไม่ได้ขึ้นตรงอยู่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ และมันก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ

หนึ่งเดียวที่สามารถปกครองด่านเทียนสงกวานได้ก็คือกองทัพเทียนเชี่ยน

สำหรับกองทัพเทียนเชี่ยนนั้น มันนับเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดของแดนลัทธิเซียน บางทีอาจเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เกรงว่าทั่วทั้งแดนลัทธิเซียนยากจะหากองทัพที่แข็งแกร่งมากยิ่งกว่ากองทัพเทียนเชี่ยนได้อีกแล้ว

สมาชิกของกองทัพเทียนเชี่ยน นอกเหนือจากการคัดเลือกจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในด่านเทียนสงกวานแล้ว ก็ได้มีการเกณฑ์มาจากพื้นที่ที่ห่างไกลและกันดาร

นอกจากนี้ ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ในแดนลัทธิเซียนหากปรารถนาจะเข้าร่วมในกองทัพเทียนเชี่ยน ขอเพียงตรงตามเงื่อนไขกำหนด ก็มีโอกาสได้เข้าไปเป็นสมาชิกในกองทัพเทียนเชี่ยนได้

เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ส่งผลให้ความเป็นกองทัพเทียนเชี่ยนมีสภาพค่อนข้างสลับซับซ้อน

……………………………………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *