Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2931 แถม แถม แถมให้หมดเลย

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2931 แถม แถม แถมให้หมดเลย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2931 แถม แถม แถมให้หมดเลย

“คุณหนู กระบี่วิเศษของท่าน” พลันที่ไป่จินหนิงพูดขาดคำ พนักงานประจำร้านได้จัดการนำกระบี่ดังกล่าวบรรจุหีบห่ออย่างดี และส่งมอบถึงหน้าไป่จินหนิงทันทีด้วยความเคารพนอบน้อม

ความเร็วของพนักงานประจำร้านเสมือนดั่งสายฟ้าแลบ เหมือนเกรงว่าไป่จินหนิงจะปฏิเสธไม่เอาอย่างนั้น

“แม่นาง เลือกอีก เลือกอีกสิ ยังมีสิ่งใดที่ชอบอีกหรือไม่? ” ยิ่งเถ้าแก่ร้านแล้วดูอบอุ่นยิ่งกว่า รีบเร่งกล่าวยุยงต่อไป่จินหนิง

การที่ไป่จินหนิงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้นางตั้งตัวไม่ทัน เพราะมาได้รวดเร็วเหลือเกิน ของดีๆ จำนวนมากที่อยู่ภายในร้านนี้ เป็นสิ่งที่ปรกติแล้วนางไม่กล้าแม้แต่จะคิด

“เช่น เช่นนี้ เช่นนี้จะดีรึ? ” เมื่อไป่จินหนิงได้สติกลับมาแล้ว นางอดที่จะส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่ นางกลัวจริงๆ ว่าเถ้าแก่ร้านจะทวงเงินจากนาง และหรือทวงเงินจากหลี่ชิเย่

“ชอบก็หยิบไปสิ” ท่าทางของหลี่ชิเย่นั้นอย่างไรก็ได้อย่างสิ้นเชิง แค่มองดูแวบหนึ่งเท่านั้นเอง กล่าวสำหรับไป่จินหนิงแล้ว ของวิเศษที่อยู่ภายในร้านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของดีที่หาได้ยาก มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถซื้อได้

แต่ว่า กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ของเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาของเขา

“นั่นสิ นั่นิ” เถ้าแก่ร้านรีบกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ขอเพียงแม่นางชื่นชอบหยิบได้ตามใจ เลือกได้ตามอารมณ์ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มอบให้ท่านโดยไม่คิดเงิน”

ไป่จินหนิงย่อมเข้าใจ การที่เถ้าแก่ร้านยินดีนำของดีในร้านมอบให้กับนางฟรีๆ เป็นเพราะความสัมพันธ์ของหลี่ชิเย่ เถ้าแก่ร้านแทบอยากจะคุกเข่าครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับหลี่ชิเย่เทพเจ้าแห่งโชคลาภผู้นี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

“เช่น เช่น เช่นนั้นแล้ว ข้าขอเตาวิเศษอีกสักชิ้นก็แล้วกัน” ไป่จินหนิงทำท่าลังเลนิดหนึ่ง และได้เลือกเอาเตาวิเศษมาได้อีกชิ้นหนึ่ง ในขณะนี้ ไป่จินหนิงเองก็รู้สึกเขินอายแล้ว และรู้สึกว่าตนเองนั้นโลภมากเกินไป จะอย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้นางได้ของวิเศษถึงสองชิ้นมาแล้ว

“เตาวิเศษที่คุณหนูต้องการ” ไป่จินหนิงเพิ่งจะพูดขาดคำ พนักงานประจำร้านก็ได้จัดแจงนำเตาวิเศษบรรจุหีบห่อให้กับนางเรียบร้อยแล้ว

“แม่นางดูนี่สิ ระฆังทองใบนี้ไม่เลวนัก หลอมสร้างขึ้นมาจากโลหะวิเศษซีหวัง เสียงไพเราะกังวาน สลักอักขระศักดิ์สิทธิ์ มีรสนิยมของความโบราณ…” เวลานี้เถ้าแก่ร้านพยายามเสนอของดีอีกชิ้นหนึ่งให้กับไป่จินหนิง กล่าวสำหรับเขาแล้ว การที่ไป่จินหนิงเลือกของวิเศษอีกสักหลายๆ ชิ้น ภายในใจของเขาจึงจะรุ้สึกดีขึ้นอีกสักหน่อย

เขาได้กำไรจากหลี่ชิเย่มากเหลือเกิน เป็นการกำไรที่โหดร้ายมาก เป็นการกำไรที่มีอัตรากำไรมากกว่าขายสินค้าสกปรกเสียอีก ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกไม่ดีในด้านมโนธรรม หากไป่จินหนิงจะเลือกของวิเศษสักหลายๆ ชิ้น ก็จะทำให้ความรู้สึกในด้านมโนธรรมของเขาดีขึ้น และมโนธรรมของตนจะไม่ถูกตำหนิ………..   

“นี่ นี่ยังได้อีกรึ? ” ไป่จินหนิงอดลังเลขึ้นมาไม่ได้ จะอย่างไรเสีย นางได้เลือกของวิเศษมาแล้วถึงสามชิ้น

“ได้ ได้ ได้ ทำไมจะไม่ได้” จังหวะที่ไป่จินหนิงกำลังลังเลอยู่นั้น เถ้าแก่ร้านได้ให้พนักงานในร้านจัดการห่อให้เรียบร้อยแล้ว

“เช่น เช่นนั้น ตกลง” ไป่จินหนิงได้แต่รับเอาไว้

“ดูสิ เหล็กท่อนศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง? มันคือสุดยอดของวิเศษสูงสุดของสำนักเปียนเต้า ลักษณะนิ่มเหมือนมังกรแท้จริง แกร่งดั่งเสาค้ำสวรรค์ ถูกปลุกเสกลงยันต์ด้วยยันต์วิเศษแปดสิบเก้าแผ่น นับเป็นสินค้าชั้นเลิศ…” ขณะที่ไป่จินหนิงยังไม่ทันได้สติกลับมา เถ้าแก่ร้านก็ได้ทำการแนะจำของวิเศษอีกชิ้นหนึ่งให้กับไป่จินหนิงอีกแล้ว

ในขณะนี้ เถ้าแก่ร้านแทบอยากจะนำเอาของวิเศษทั้งหมดเหล่านี้ยัดไปอยู่ในมือไป่จินหนิงให้รู้แล้วรู้รอดไป

……

ภายใต้การยุยงและให้การแนะนำอย่างเต็มที่ ไป่จินหนิงได้เลือกของดีจากทางร้านได้มาอีกสิบกว่าชิ้น เรียกได้ว่าของที่ดีที่สุดภายในร้านล้วนแล้วแต่ถูกเถ้าแก่ร้านยัดใส่มือของนางแทบทั้งสิ้น

ไป่จินหนิงเองก็รู้สึกเขินที่รับเอามาเรื่อยๆ ในเวลานี้ ไป่จินหนิงจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า อะไรที่เรียกว่าท่าทีอ่อนลงเมื่อได้รับผลประโยชน์

ไป่จินหนิงรับเอาของวิเศษกว่าสิบชิ้นรวดเดียวจากเถ้าแก่ร้านโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้นางหน้าไม่ด้านพอที่จะรับต่อไปอีกแล้ว สุดท้าย ไป่จินหนิงรู้สึกพึงพอใจอย่างเต็มที่แล้ว และรู้สึกว่าตนเองนั้นโลภมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือความละโมบโลภมากอย่างที่สุดแล้ว

“พอแล้ว พอแล้ว พอแล้ว” ท้ายที่สุด ไป่จินหนิงไม่กล้ารับเอาไว้อีกแล้ว ภายใต้การปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของนาง เถ้าแก่ร้านจึงได้หยุดมือ ในขณะนี้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจดูจะดีขึ้นนิดหนึ่ง

ความจริงแล้ว การที่ไป่จินหนิงมองเห็นตนเองหยิบเอาของวิเศษมารวดเดียวมากมายถึงเพียงนี้ สมองของนางก็รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง และสิ่งของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของฟรีทั้งสิ้น

ลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายดั่งอยู่ๆ ก็มีขนมตกลงมาจากฟ้า และไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ ขนมฟรีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตกใส่ศีรษะของนางแต่เพียงผู้เดียว เรียกได้ว่ากระแทกใส่ศีรษะนางจนรู้สึกงุนงงอยู่บ้างเหมือนกัน นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ตนเองจะพานพบเรื่องดีๆ เช่นนี้ได้

เวลานี้เถ้าแก่ร้านจึงได้สูดลมหายใจยาวๆ ออกมาทีหนึ่ง เหมือนยกของหนักลงจากบ่าอย่างนั้น เมื่อเห็นไป่จินหนิงได้เลือกเอาของวิเศษเหล่านี้ไป

สุดท้าย ไป่จินหนิงได้เก็บรวบรวมของวิเศษเหล่านี้ให้เรียบร้อย นางไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไรมาอธิบายสภาพจิตใจของนางในเวลานี้ ตระหนกตกใจระคนกับดีใจ ดีใจจนแทบคลั่ง เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ขนมหล่นลงมาจากฟ้า…คำทุกๆ คำล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเปรียบเปรยความรู้สึกในขณะนี้ของนางได้

“ท่านเซียน ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้ง ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้ง…ขณะที่หลี่ชิเย่จะจากไปนั้น เถ้าแก่ร้านพาพนักงานประจำร้านมาส่งด้วยการโค้งคำนับแล้วคำนับอีก แม้ว่าหลี่ชิเย่จะไปไกลมากแล้ว เถ้าแก่ร้านและพนักงานประจำร้านยังคงโค้งคำนับแล้วโค้งคำนับอีก กระทั่งหลี่ชิเย่หายไปในมุมถนน

ไป่จินหนิงติดตามหลี่ชิเย่ออกจากร้านด้วยท่าทีมึนงง กล่าวสำหรับนางแล้ว ประสบการณ์เช่นนี้คล้ายเป็นการละเมออย่างนั้น เหมือนว่านี่คือความฝัน แต่ ไม่ใช่ความฝัน แม้นางจะตื่นจากฝันแล้ว ของวิเศษยังคงอยู่ในกระเป๋า

“ขอบคุณมาก” เมื่อไป่จินหนิงได้สติกลับมาแล้ว นางจึงรีบกล่าวขอบคุณหลี่ชิเย่ แม้ว่านางจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามาก แต่ว่ามีความจริงใจอย่างยิ่ง เป็นการออกมาจากภายในจิตใจจริงๆ

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นสำหรับการกล่าวขอบคุณของไป่จินหนิง โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

“อมิตาพุทธ สาธุ สาธุ” จังหวะที่หลี่ชิเย่ และไป่จินหนิงเพิ่งจะเดินเลี้ยวไปตามมุมถนน ปรากฏเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น

ในขณะนี้ปรากฏคนสองคนตรงหน้า และขวางทางพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้

ในเวลานี้ มองเห็นกุมารซ้ายหมิงหวังประนมมือและกล่าว ท่าทางเหมือนเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอย่างนั้น

หลี่ชิเย่เพียงเลิกหนังตาทีหนึ่ง และขี้คร้านจะไปมองหน้าพวกเขาอีกสักครั้ง

กุมารขวาหมิงหวังประนมมือ เปล่งคำว่า “อมิตาพุทธ” ขึ้นและกล่าวว่า “ประสก พวกเรามีวาสนาต่อกัน ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง”

หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าไม่เคยมีวาสนาต่อกันกับพระปลอม”

ในเวลานี้กุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังมองตากันและกัน สุดท้ายกุมารซ้ายหมิงหวังประนมมือและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สาธุ สาธุ พุทธองค์มีวาสนากับประสก พวกอาตมาต้องการสานสัมพันธ์บุญวาสนากับประสก ไม่ทราบเห็นเป็นเช่นใด? พุทธองค์คุ้มครองประสกให้ปลอดภัย และมีความสงบสุขเป็นนิรันดร์”

“บุญวาสนา? ” หลี่ชิเย่เผยอมุมปาก เผยรอยยิ้มตามอารมณ์ขึ้นมา อย่างไรก็ได้ และกล่าวว่า “หมาดีไม่ขวางทาง ข้าไม่สานวาสนากับพวกอนาถา โดยเฉพาะพระอนาถา ล้วนแล้วแต่ไม่มีดีสักตัว หากไม่ใช่โจรก็คือพวกขโมย”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้สีน้าของกุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังเปลี่ยนไปมากทีเดียว คำพูดลักษณะเช่นนี้เป็นการตีวัวกระทบคราดเสียแล้ว และเป็นการชี้หน้าด่าพวกเขาโดยตรง

ไป่จินหนิงถูกคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาตกใจยิ่งนัก เนื่องจากคำพูดของหลี่ชิเย่ไม่เพียงแต่ล่วงเกินต่อกุมารซ้ายขวาสองคนเท่านั้น ยังล่วงเกินวัดลังกาทั้งหมด กระทั่งกล่าวได้ว่าได้ล่วงเกินต่อพระสงฆ์ใต้หล้าทั้งหมดแล้ว

“พูดคำพูดที่น่าฟังหน่อยสิ” ไป่จินหนิงกระตุกแขนเสื้อของหลี่ชิเย่ และกล่าวเตือนหลี่ชิเย่เสียงแผ่วเบา จะอย่างไรเสียการเป็นศัตรูกับวัดลังกาใช่เป็นเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้น การล่วงเกินต่อพระสงฆ์ทั่วหล้ายิ่งไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน

“อมิตาพุทธ สาธุ สาธุ” ทั้งกุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังล้วนมีสีหน้าที่ดูไม่จืด พวกเขาต่างกล่าวคำขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“เหอะ เหอะ เหอะไต้ซือทั้งสอง” ในเวลานี้เอง ไป่จินหนิงได้รับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด รู้ว่ากุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังจะโกรธแล้ว จึงรีบผ่อนปรนบรรยากาศลง

นางรีบทำการไกล่เกลี่ยว่า “พวกเรามีธุระด่วน ลาจากกันแค่นี้ก่อน วันหน้าค่อยขออภัยต่อไต้ซือทั้งสองเป็นไร? ”

“สาธุ สาธุ ประสกหญิง พวกเราแค่ต้องการสานสัมพันธ์บุญวาสนาเท่านั้นเอง” กุมารขวาหมิงหวังประนมมือและกล่าวว่า “นอกเหนือจากนี้แล้ว พวกอาตมาไม่ได้มีประสงค์ร้ายอื่นใด”

“ไสหัวไป” หลี่ชิเย่ไม่ได้อารมณ์ดีเช่นั้น กล่าวเรียบเฉยน่าเกรงขามว่า “ถือโอกาสที่ข้ายังไม่ลงมือเข่นฆ่าครั้งใหญ่ รีบไสหัวหายตัวไปจากสายตาของข้า หาไม่แล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะตัดหัวโล้นพวกเจ้าทั้งสองมาทำโถปัสสาวะ”

คำพูดหลี่ชิเย่ที่ยกตนข่มท่าน พลันทำให้กุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังทั้งสองต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว สีหน้าดูไม่จืดถึงขีดสุด

พวกเขาคือสามเณรใต้หมิงหวังฝอ เคยติดตามหมิงหวังฝอเข้าออกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ เป็นที่เคารพนับถือของผู้คตน เคยถูกคนอื่นมองดูเหมือนไม่มีตัวตนอย่างนั้นต้งแต่เม่อไหร่ ถูกผุ้อื่นตวาดเสียงดังเช่นนี้ตั้งแต่เมี่อใด

ไป่จินหนิงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ รู้ว่าวันนี้ยากจะรอดแล้ว แม้ว่านางคิดจะไกล่เกลี่ย แต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้วในเวลานี้

ในเวลานี้ ไป่จินหนิงถึงกับหวาดกลัวยิ่งกุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังพวกเขาทั้งสองไม่เพียงเป็นสามเณรที่อยู่ภายใต้หมิงหวังฝอเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะบรรพชาเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว มีอภินิหารและกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งมาก

การเป็นศัตรูกับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ใช่ว่าจะอาศัยเงินทองมาสลายได้อยู่แล้ว

“เจ้าเดรัจฉาน! ” เวลานี้กุมารขวาหมิงหวังโกรธจัด ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา ท่าทางเหมือนเป็นอรหันต์สยบมาร กล่าวเสียงน่าเกรงขามว่า “อย่าทำเหล้าคารวะไม่ดื่ม ดื่มเหล้าปรับ! ” กล่าวพลาง ดวงตาคู่นั้นดูเยือกเย็น เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่า

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้น เผยให้เห็นรอยยิ้มตรงมุมหาก ขณะเผชิญกับกุมารขวาหมิงหวังที่โกรธจัด

เวลานี้ไป่จินหนิงมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือลากตัวหลี่ชิเย่หันหลังหนีไป ไม่ต้องการต่อสู้กับพวกกุมารขวาหมิงหวังซึ่งหน้า เนื่องจากพวกเขาทั้งสองมีกำลังความสามารถที่แกร่งเหลือเกิน

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตึงเครียดถึงขีดสุด ปรากฏเสียงที่ใสกังวานดังขึ้นที่ด้านข้าง ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิง “กุมารที่อยู่ใต้หมิงหวังฝอเริ่มทำการดักปล้นกลางทางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

เสียงใสกังวานดังกล่าวนี้ ไพเราะเสนาะหูยิ่ง แต่ว่า เสียงเช่นนี้ก็เปี่ยมด้วยอำนาจเช่นกัน เหมือนว่าเจ้าของเสียงนี้มีอำนาจที่สูงสุดอย่างนั้น พลันที่ได้ยินเสียงนี้แม้ว่าจะไม่ทันได้เห็นตัว แต่ก็ได้บังเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นในใจของผู้คนแล้ว

ฮึ…กุมารซ้ายหมิงหวัง และกุมารขวาหมิงหวังพลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นทันที เมื่อได้ยินมีผู้กล่าวหาว่าตนเองดักปล้นกลางทาง ส่งเสียงฮึเย็นชา และหันหลังกลับไปมองดู

………………………………………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *