Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2973 เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2973 เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2973 เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวน

จังหวะที่ภายในใจของไท่เสวียนฟงกำลังรู้สึกฉงนสนเท่ห์อยู่นั้น ในเวลานี้เอง มีองครักษ์ผู้หนึ่งรีบเร่งวิ่งเข้ามา กระซิบกระซาบข้างหูของไท่เสวียนฟง

ไท่เสวียนฟงมีท่าทีสะดุ้งทีหนึ่งหลังจากได้ฟังคำกระซิบขององครักษ์แล้ว จากนั้น รีบเร่งแสดงคารวะแบบจีนต่อพวกของหลี่ชิเย่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า และกล่าวว่า “ที่แท้เป็นคุณชายหลี่ที่ให้เกียรติมาเยือน ขออภัยไม่ทันต้อนรับ ขออภัยที่ไม่ทันต้อนรับ”

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่งเท่านั้นเอง ก็เดินทางเข้าไปในหอดาราตระหนก

กลับจะเป็นกระบือดำขนาดใหญ่ได้เหลือบมองเขาทีหนึ่ง ขณะเดินผ่านไท่เสวียนฟงโดยกล่าวว่า “ว้าวมีคุณสมบัติแฝงของพ่อเจ้าในครั้งนั้นอยู่หลายส่วน และยังมีพลังแฝงอีกด้วย”

ไท่เสวียนฟงไม่ชัดเจนในประวัติความเป็นมาของกระบือดำขนาดใหญ่ ได้แต่ให้การต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ชั่วดีอย่างไรก็ตาม ตัวเขาก็นับเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของยุคปัจจุบัน มียอดฝีมือรุ่นอาวุโสจำนวนเท่าไรล้วนแสดงทีท่าที่ดูต่ำชั้นกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา มาวันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอะเจอกับกระบือดำขนาดใหญ่ที่พูดจาลักษณะเช่นนี้กับเขา

ครั้นพวกของหลี่ชิเย่ได้เดินเข้าไปในหอดาราตระหนกแล้ว ไท่เสวียนฟงได้สั่งการกับองครักษ์ว่า “รีบเชิญนายผู้เฒ่า รายงานเรื่องนี้ให้นายผู้เฒ่าได้ทราบ”

จะไปโทษว่าไท่เสวียนฟงหนักแน่นจริงจังและตื่นเต้นขนาดนี้ก็ไม่ถูก จะอย่างไรเสียผู้ที่สามารถทำให้เขาหวู่สิงซานออกหน้าแทนได้ ย่อมต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน หาไม่แล้วต่อให้เป็นราชันแท้จริง หรือคงความอมตะตลอดกาลธรรมดาทั่วไปแล้ว ในทัศนะของเขาหวู่สิงซานมองว่าล้วนแล้วแต่เป็นเพียงยอดฝีมือทั่วไปเท่านั้นเอง

องค์รักษ์รับคำ แล้วรีบเดินไปด้วยความเร่งรีบ

หลังจากพวกของหลี่ชิเย่เดินเข้าประตูไปแล้ว สภาพตรงหน้าวาบขึ้นมาทีหนึ่ง พลันถูกส่งตัวขึ้นไปยังชั้นที่สูงที่สุดของหอดาราตระหนก

เมื่อสภาพที่อยู่ตรงหน้านิ่งลง พวกของหลี่ชิเย่ก็ได้มายืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวแล้ว

ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เห็นหอลอยฟ้าแต่ละหลังที่เชื่อมติดกัน มองดูแล้วคล้ายเป็นดอกบัวดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอย่างนั้น

ย่อมไม่ต้องสงสัย ที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ที่ด่านเทียนสงกวานอีกแล้ว แต่อยู่ในบริเวณที่ไกลออกไปในจักรวาล ขณะที่หอดาราตระหนกก็ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้ มองดูดวงดาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเหนือศีรษะขึ้นไป ในเวลานี้ก็จะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรหอแห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อว่าหอดาราตระหนก

ขณะยืนอยู่ภายในหอลอยฟ้าแห่งนี้ เหมือนว่าเพียงส่งเสียงพูดคุยเสียงดังสักนิด ก็จะสร้างความแตกตื่นให้กับดวงดาวแต่ละดวงที่อยู่เหนือศีรษะนั่น

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หอลอยฟ้าแต่ละหลังจะเชื่อมถึงกัน โดยที่หอแต่ละหลังจะมีขนาดสูงต่ำไม่เท่ากัน ทุกๆ หลังล้วนแล้วแต่สร้างไปตามสถานการณ์ แลดูลี้ลับและมหัศจรรย์ยิ่ง

ในเวลานี้เอง ภายในหอลอยฟ้าทุกๆ หลังล้วนแล้วแต่ได้มีการจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ มีแขกที่เข้าประจำที่ภายในงานเลี้ยงแล้ว โดยแขกที่เข้าร่วมมีหลากหลาย มีทั้งเผ่าปีศาจ เผ่าอัคคี เผ่าปีกสวรรค์ เผ่าจินเปี้ยน…เป็นต้น

แขกที่สามารถมานั่งโต๊ะงานเลี้ยงได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยกำลังวังชา มีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา พลังศักดิ์สิทธิ์ตลบอบอวล ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ผู้ที่สามารถมานั่งอยู่ที่ตรงนี้ได้นั้นหากไม่ใช่เป็นผู้มีอิทธิพลแห่งใดแห่งหนึ่ง ก็คือเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิ ที่มากกว่าก็คือเทพแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกรรุ่นอาวุโส

จะอย่างไรเสีย ผู้ที่ไท่อิ๋นสี่เชิญมาในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้า ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น

หลังจากหลี่ชิเย่ได้เข้าไปยังหอลอยฟ้าแล้ว และกวาดสายตามองออกไป จากนั้นสายตาไปตกอยู่ที่หอลอยฟ้าที่สูงที่สุดหลังนั้น เห็นหอลอยฟ้าหลังนั้นมีผู้คนนั่งอยู่เพียงสามถึงห้าคน ผู้ที่สามารถนั่งอยู่ที่ตรงนั้นได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่สุดยอดในหล้าทั้งสิ้น

ราชันแท้จริงหวงจุน ราชันแท้จริงเซิ่นซวง กระบี่เหินเทียนเจียว…บรรดาราชันแท้จริง เทพแท้จริงชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค ล้วนแล้วแต่นั่งกันอยู่ที่ตรงนี้ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ผู้ที่สามารถนั่งอยู่ในหอลอยฟ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นราชันแท้จริง เทพแท้จริงชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค ผู้ที่สามารถนั่งอยู่ที่ตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของแดนลัทธิเซียน

สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ที่มีกำลังความสามารถ หรือฐานะยังก้าวไม่ถึงระดับนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าทำบุ่มบ่ามมานั่งอยู่ที่ตรงนี้ พวกเขาต่างไปนั่งอยู่ที่หอลอยฟ้าหลังอื่นๆ

แม้แต่นายและบ่าวลึกลับคู่นั้นที่ได้พบกันก่อนเข้ามาเมื่อครู่ ก็นั่งอยู่ในหอลอยฟ้าหลังนั้น

ขณะที่นายและบ่าวลึกลับได้มานั่งอยู่ในหอลอยฟ้าแห่งนี้ บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันแสดงคารวะต่อนายและบ่าวคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นราชันแท้จริงหวงจุนที่มาจากหอเกาหยางโหลว หรือจะเป็นราชันแท้จริงเซิ่นซวงจากหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งกระบี่เหินเทียนเจียวที่มีท่าทีหยิ่งผยองก็ทยอยกันแสดงคารวะและกล่าวทักทายต่อผู้หญิงลึกลับผู้นี้

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ผู้หญิงลึกลับผู้นี้มาจากเขาหวู่สิงซานอย่างแท้จริง มีเพียงผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากเขาหวู่สิงซานเท่านั้น จึงทำให้พวกของราชันแท้จริงหวงจุนต้องหวั่นเกรงถึงเพียงนี้

“หลี่พันล้านมาแล้ว” เมื่อพวกของหลี่ชิเย่เดินเข้ามาในหอลอยฟ้าแล้ว มีผู้ที่พบเห็นและจดจำพวกเขาได้ในทันที

มาถึงเวลานี้ ทุกคนต่างจดจำฉายาของหลี่ชิเย่ได้แล้ว ซึ่งก็คือหลี่พันล้าน เรียกได้ว่าในงานประมูลของห้างเจียวเหิงนั้น หลี่ชิเย่ลงมือได้สะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งนัก ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนมาก

“เขามาทำอะไรที่นี่? ” มียอดฝีมือบางส่วนถึงกับขมวดคิ้วทีหนึ่ง ดูจะไม่สบายใจยิ่งนัก เมื่อเห็นพวกของหลี่ชิเย่ได้เดินเข้ามา

แม้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทรัพย์สินภายในบ้านของหลี่ชิเย่นั้นมากมายยิ่ง พลันที่ลงมือก็สร้างความสะเทือนเลื่อนลั่น เอะอะก็คือหนึ่งพันล้าน กล่าวได้ว่าไม่ว่าเป็นใครก็ตามก็เทียบไม่ได้กับหลี่พันล้านได้ในด้านของความมั่งคั่ง แม้แต่ทายาทเศรษฐีอย่างถังเปิงก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้

เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่เหม็นสาบเงินดันมาโผล่ที่ตรงนี้เสียอย่างนั้น สมควรทราบว่า พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเกียรติอย่างหนึ่งที่ได้รับเชิญจากไท่อิ๋นสี่ให้มาร่วมงานเลี้ยงยิ่งใหญ่นี้ เวลานี้หลี่ชิเย่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบเงินดันมางานเลี้ยงเช่นนี้ร่วมกับพวกเขา ย่อมทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกแปลกๆ

“เขาไปได้เทียบเชิญมาจากไหนกัน? ” มีเจ้าสำนักที่ขมวดคิ้วทีหนึ่งเมื่อเห็นหลี่ชิเย่มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ภายในใจอดที่จะสงสัยในคุณสมบัติของหลี่ชิเย่

จะอย่างไรเสีย คนที่สามารถมานั่งอยู่ที่ตรงนี้ได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีประวัติความเป็นมาที่สะเทือนเลื่อนลั่นทั้งสิ้น มีตำแหน่งและฐานะน่าตกใจ ขณะที่หลี่ชิเย่ที่เป็นผู้ที่รวยชั่วช้ามคืนโดยหลักการแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะได้รับเชิญจากไท่อิ๋นสี่จึงจะถูก

ว่ากันตามหลักการแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ไท่อิ๋นสี่จะไปเชื้อเชิญผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อไร้เสียงมาร่วมงานเลี้ยงยิ่งใหญ่เช่นนี้

“บางทีอาจซื้อมาด้วยเงิน” มีหัวหน้าเผ่าหัวเราะเยาะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “จะอย่างไรเสีย มีเงินจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอเพียงให้ราคาสูงลิบลิ่ว ยังคงสามารถหาเทียบเชิญเช่นนี้มาได้อยู่แล้ว”

คำพูดของหัวหน้าเผ่าผู้นี้ได้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองตากันและกัน คำพูดนี้ใช่จะไม่มีเหตุผล ทุกคนต่างก็รู้ว่าคนอย่างหลี่พันล้านลงมือนับว่าบ้าบิ่นเหลือเกิน เอะอะก็คือพันล้าน ถ้าหากหลี่พันล้านทุ่มเงินออกไปเป็นพันล้าน กระทั่งหลายพันล้าน นับว่าอาจมีผู้ที่ยอมเอาเทียบเชิญของตนขายให้กับเขาจริงๆ

เวลานี้ หลี่ชิเย่เพียงมองแวบหนึ่งไปที่ผู้หญิงลึกลับผู้นั้น และผู้หญิงลึกลับได้พยักหน้าแสดงความปรารถนาดีต่อหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ ทีหนึ่ง ก้าวเดินไปยังหอลอยฟ้าที่สูงที่สุดอันเป็นที่ที่ผู้หญิงลึกลับนั่งอยู่ ขณะที่เวลานี้พวกขอบงราชันแท้จริงหวงจุนต่างทยอยกันมองไปที่หลี่ชิเย่

“ฮึที่ตรงนี้หาใช่ที่ที่เจ้าสมควรจะมา” จังหวะที่พวกของหลี่ชิเย่กำลังก้าวเดินไปยังหอลอยฟ้าที่สูงที่สุดนั้น มีผู้ยืนขวางทางอยู่และจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยสายตาเย็นชา ท่าทางดูจะเหยียดหยามอยู่หลายส่วน

ผู้ที่ขวางทางก็คือกว่านหวินเผิงนั่นเอง ผู้สืบทอดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ้งเฉ่า ศิษย์ผู้น้องของปราชญ์อัจฉริยะหลันซู

“ว้าวววนี่มันม้าหัวคนไม่ใช่รึ? ยังจะมีหน้ามาที่นี่อีก” ขณะที่กว่านหวินเผิงขวางทางเอาไว้ กระบือดำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลังหัวเราะทีหนึ่ง

สีหน้าของกว่านหวินเผิงเปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นกระบือดำขนาดใหญ่ พลันมีสีหน้าแดงก่ำ เนื่องจากเคยถูกกระบือดำขนาดใหญ่ขี่ไปตามถนนคล้ายม้าตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของเขาไปชั่วชีวิต

ฮึ…หลังจากที่กว่านหวินเผิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วก็กลับมาเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว ยืดอกขึ้นทีหนึ่ง กล่าวน่าเกรงขามว่า “เจ้าปีศาจชั่วร้าย สถานที่แห่งนี้หาใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำกำเริบเสิบสานได้”

พลันที่กว่านหวินเผิงพูดขาดคำ ปรากฏมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา ผู้เฒ่าผู้นี้เสมือนดั่งวิญญาณที่ปรากฎขึ้นด้านหลังของกว่านหวินเผิง

แม้ว่าผู้เฒ่าผู้นี้จะได้เก็บงำกลิ่นอายที่ปราศจากผู้ต่อกรบนตัวแล้ว แต่ว่า วงแหวนศักดิ์สิทธิ์บนตัวของเขายังคงวับๆ แวมๆ ออกมาให้ได้เห็น

‘เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวน’ มียอดฝีมือในเหตุการณ์จดจำเขาได้ทันที เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังกว่านหวินเผิง อดที่จะพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

“เป็นศิษย์เอกของเทพม้วนเมฆา” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างหวั่นไหวในใจ เมื่อมองเห็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แวบวับบนตัวของผู้เฒ่าผู้นี้

เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวนก็คือศิษย์เอกของเทพม้วนเมฆานั่นเอง และเป็นศิษย์พี่ของกว่านหวินเผิง เป็นผู้ที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นศักราช มีกำลังความสามารถที่ทระนงองอาจมาก

ที่แท้ การที่กว่านหวินเผิงกล้ามาหาเรื่องพวกหลี่ชิเย่ในคราวนี้ เขาได้หาผู้ช่วยมาด้วยแล้ว

คราวก่อนถูกกระบือดำขนาดใหญ่จับมาขี่กลางถนนเสมือนหนึ่งเป็นม้าตัวหนึ่ง ถือเป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ในชีวิต เขาได้สาบานเอาไว้ในใจว่า จะต้องล้างแค้นให้จงได้ ดังนั้น มาคราวนี้เขาจึงได้เชิญศิษย์พี่เทพเย็นชาเจ็ดวงแหวนมาล้างแค้นให้กับเขา

ถ้ารู้จักกาลเทศะก็อย่าขวางทางข้า ไสหัวไป…หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้น โดยไม่ได้เลิกหนังตาด้วยซ้ำ

วาจาสามหาวมาก…สีหน้าของกว่านหวินเผิงพลันบึ้งตึงและกล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “เจ้าคิดว่ามีเงินมากกว่าสักหน่อยก็แน่มากหรือไง ผู้คนใต้หล้าที่แกร่งกว่าเจ้ามีมากดั่งดอกเห็ด มีเงินมากกว่าเจ้ายิ่งมีมากกว่าดอกเห็ดเสียอีก”

“ผู้คนใต้หล้าก็ดั่งดอกเห็ด” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย ไสหัวไป…

อมิตาพุทธ…จังหวะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ เสียงเอ่ยนามพุทธองค์ดังขึ้น เห็นสามเณรสองรูปยืนอยู่ด้านหลังของกว่านหวินเผิง ทั้งสองก็คือกุมารหมิงหวังซ้าย กับกุมารหมิงหวังขวานั่นเอง

“ประสก คำพูดนี้ผิดแล้ว ประสกกล่าวเช่นนี้ นับว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ผู้คนใต้หล้า” เวลานี้กุมารหมิงหวังซ้ายได้เอ่ยเสียงเอ่ยนามพุทธองค์ขึ้น และกล่าวว่า “วันนี้คือวันที่ท่านใต้เท้าอิ๋นเชิญผู้กล้าทั่วหล้า อย่าได้ทำกำเริบเสิบสานที่นี่…”

หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าพวกเขาทีหนึ่งด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพูดเรียบเฉยว่า “ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถได้รับการยกย่องเป็นผู้กล้าได้ เฉกเช่นพวกเจ้าเป็นได้เพียงหมีหมาเท่านั้นเอง”

เจ้า…สีหน้าของกุมารหมิงหวังซ้าย กับกุมารหมิงหวังขวาดูไม่จืดถึงขีดสุด เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ในขณะนี้ พวกเขาถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ จนแทบจะทะลักเป็นเพลิงแห่งความโกรธออกมาจากตาทั้งสองข้าง

ในเวลานี้ แขกจำนวนมากที่อยู่ในงานต่างมองไปที่หลี่ชิเย่ ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยถึงกับลิ้นจุกปากพูดอะไรไม่ออกในขณะนี้ การพูดออกมาต่อหน้าสาธารณะชนว่ากุมารหมิงหวังซ้าย กับกุมารหมิงหวังขวาคือหมีหมา ไม่ว่าเป็นใครก็ย่อมอดกลั้นความอัปยศเช่นนี้ได้

ชั่วดีอย่างไรจะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ ต่อให้กุมารหมิงหวังซ้าย กับกุมารหมิงหวังขวาทั้งสองจะไม่ถือเป็นผู้ที่อยู่ในระดับขั้นสุดยอด แต่ว่า เจ้านายของพวกเขาคือหมิงหวังฝอ เป็นหลวงจีนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเจ้าอาวาสของวัดลังกาอีกด้วย

ไม่ต้องสงสัยว่า คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับเป็นการฉีกหน้าของหมิงหวังฝอ

“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย กล้าพูดจาไร้ยางอาย! ” ในขณะที่กุมารหมิงหวังซ้าย กับกุมารหมิงหวังขวาทั้งสองมีสีหน้าที่ดูไม่จืดถึงขีดสุดนั้น กว่านหวินเผิงได้ทวงความยุติธรรมให้พวกเขา ตวาดเสียงดังขึ้นมาว่า “กล้ากล่าววาจาไร้ยางอายในงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ของใต้เท้าอิ๋น ออกปากลบหลู่ผู้กล้าทั่วหล้า สมควรประหาร”

…………………………………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *