Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 3004 พลังแสงสว่าง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 3004 พลังแสงสว่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3004 พลังแสงสว่าง

เมื่อยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้พบเจอแปลงสมุนไพรที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ พลันเสมือนหนึ่งบ้าคลั่งไปแล้วทันที พยายามเก็บเกี่ยวสมุนไพรเหล่านั้นทั้งหมดด้วยการเปิดผนึกของแปลงสมุนไพรออก

จังหวะที่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ต่างดีใจไปกับการเก็บเกี่ยวสมุนไพรกันอย่างบ้าคลั่งนั้น ปรากฏใต้พื้นดินได้มีศพคนตายแต่ละศพ และหรือโครงกระดูกแต่ละโครงที่มุดขึ้นมาจากใต้ดินโดยไม่รู้ตัว

เวลานี้เอง ได้ยินเสียงช่าาา ช่าาา ช่าาา…ซึ่งเป็นเสียงของดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ใต้พื้นดินปรากฎคนตายคลานขึ้นมา โดยที่คนตายแต่ละคนหลังจากคลานออกมาล้วนแล้วแต่ปกคลุมด้วยชุดดำ และมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา เหมือนว่าพวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมองเห็นโฉมหน้าแท้จริงของพวกเขาอย่างนั้น

“มีสิ่งปราศจากชีวิต…” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มนี้ที่กำลังเก็บเกี่ยวสมุนไพรกันอยู่ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา หลังจากมองเห็นคนตายเหล่านี้ได้คลานออกมาจากใต้พื้นดินแล้ว

เสียงตูม…ดังสนั่น ขณะที่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง บรรดาคนตายที่คลายออกมาจากใต้พื้นดินได้เปิดฉากเข้าโจมตีต่อบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้

คนตายคนหนึ่งพลันเสกเอาเตาวิเศษออกมา ท่ามกลางเสียงตูมที่ดังสนั่น เตาวิเศษได้เทราดไฟจากเตาลงมา โดยไฟจากเตาเป็นลูกๆ ได้เข้าปกคลุมยอดฝีมือผู้หนึ่ง ไฟจากเตาที่เทราดออกมาจากเตาวิเศษถึงกับมีควันสีดำ ทำให้ไฟจากเตาที่เทลงมาเหมือนดั่งเป็นหมอกดำที่เต็มไปด้วยพลังความมืดอย่างนั้น

อ๊ากกก…ยอดฝีมือผู้นั้นพลันส่งเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนาขึ้น เมื่อถูกไฟความมืดจากเตาเข้าท่วมมิดร่าง และถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าธุลีไป

“ฆ่า…” ในเวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เก็บเกี่ยวสมุนไพรต่างได้สติกลับมา ร้องเสียงดังขึ้น และทยอยกันลงมือด้วยการเสกเอาของวิเศษของตนออกมา อาวุธออกจากฝัก เข้าสังหารสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านั้น

ในเวลานี้ เสียงต่อสู้กันดังก้องไปทั่วหุบเขา ปัง ปัง ปังเสียงอาวุธที่ปะทะกันดังขึ้นไม่ขาดสาย

แม้ว่าสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้จะไม่มีชีวิตแล้วแต่ว่าพวกเขายังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กำลังความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าขณะมีชีวิตก่อนหน้าแม้แต่น้อย

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ สิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้ต่อร่างกายถูกแทงจนทะลุแล้ว พวกเขายังคงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยังคงพยายามเข้าโจมตีสังหารศัตรูของตนต่อไปอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะนี้สิ่งปราศจากชีวิตที่คลานออกมาจากใต้พื้นดินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้คิดจะล่าถอยหนีไปนั้นก็สายไปเสียแล้ว พวกเขาได้ถูกคนตายจำนวนมากล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา

เมื่อมีคนตายเพิ่มมากขึ้นๆ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนก็กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำมากขึ้น และไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคนตายคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมาก โดยคนตายคนนี้อยู่ในชุดของแม่ทัพ สวมใส่ชุดเกราะ และปรากฏประกายสีดำที่ประทุออกมาจากชุดเกราะ มีหมวกเหล็กที่ปิดบังโฉมหน้าทั้งหมด ทวนยาวที่อยู่ในมือปรากฏหมอกดำล้อมรอบ เสมือนดั่งแม่ทัพที่มาจากแดนมรณะอย่างนั้น

แม่ทัพปราศจากชีวิตผู้นี้ขี่ม้าศึก และลงมือราวกับสายฟ้าแลบ ม้าทรงที่กระโจนเข้ามาพร้อมๆ กับทวนยาวในมือที่รวดเร็วเหมือนแลบลิ้นที่ทิ่มแทงเข้ามา มักจะทำให้เสียชีวิตในทวนเดียวเสมอๆ

อ๊ากกก อ๊ากกก อ๊ากกกในเวลานี้ เสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนาดังขึ้น ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนแต่ละคนล้วนถูกแม่ทัพปราศจากชีวิตนี้สังหารไป

“จบแห่แล้ว” ขณะที่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนถูกสังหารไปทีละคนๆ ผู้ที่ยังคงรอดชีวิตถึงกับร้องเสียงแหลมขึ้นมา พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเมื่อตีฝ่าวงล้อมหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

“เป็นสิ่งปราศจากชีวิตที่แข็งแกร่งมาก” แน่นอน เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ก็ได้สร้างความแตกตื่นให้กับยอดฝีมือที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้น ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันรุดมา เพียงแต่ไม่มีใครลงมือเข้าช่วยเหลือ ผู้คนจำนวนมากหลังจากที่มาถึงล้วนแล้วแต่ยืนมองอยู่ในระยะห่างไกล

กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เป็นญาติหรือสหายกัน อาศัยอะไรต้องให้พวกเขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพวกเขาเหล่านั้นเล่า

“ฆ่า…” ภายใต้ความสิ้นหวัง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ได้แต่เสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้แล้ว แต่ว่า พวกเขาหาใช่คู่ต่อสู้ของสิ่งปราศจากชีวิตอยู่แล้ว จึงถูกสังหารไปทีละคนๆ

“ถอยไป…” จังหวะที่ผู้โชคดีจำนวนไม่มากที่ยังคงรอดชีวิตกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น เสียงร้องตะคอกของผู้หญิงดังขึ้น ปรากฏคนผู้หนึ่งที่เหินฟ้าลงมา ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้น พลันปรากฎรัศมีแสงที่ส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาค

เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ขณะที่รัศมีแสงส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้น บนตัวของบรรดาคนตายเหล่านี้ปรากฏควันดำที่ลอยขึ้นมาทั่วตัว กระทั่งมีคนตายที่ส่งเสียงน่าเวทนาดังกรี๊ด กรี๊ด กรี๊ดขึ้น ถูกพลังแสงสว่างทำให้บริสุทธิ์และล้มลงกับพื้น และกลับกลายเป็นศพแห้งไปท่ามกลางเสียงที่ดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดนั่น

ย่อมไม่ต้องสงสัย เมื่อสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้ถูกพลังแสงสว่างทำให้พลังความมืดในตัวบริสุทธิ์ พวกมันจึงกลายเป็นซากศพอย่างแท้จริง

“ราชันแท้จริงเซิ่นซวง…” ผู้โชคดีที่รอดตายถึงกับดีใจสุดขีดเมื่อเห็นผู้ที่เหินฟ้าลงมา ร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความตระหนกระคนกับความดีใจยิ่งนัก

“ราชันแท้จริงเซิ่นซวงลงมือแล้ว” ยอดฝีมือที่ยืนดูอยู่ในระยะห่างไกลก็รู้สึกเหนือความคาดคิด เมื่อมองเห็นผู้หญิงที่เหินฟ้าลงมา

ผู้ที่เหินฟ้าลงมาก็คือราชันแท้จริงเซิ่นซวงนั่นเอง นางไม่ได้สำแดงแม้แต่กระบวนท่าเดียว เพียงแผ่แสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งออกมา รัศมีแสงที่ส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ราชันแท้จริงเซิ่นซวงในขณะนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อะไรอย่างนั้น ช่างมีสถานะที่สูงส่งอะไรเช่นนั้น ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกต้องการแสดงความเคารพสูงสุด

สิ่งปราศจากชีวิตมีความยำเกรงต่อแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากราชันแท้จริงเซิ่นซวงอย่างยิ่ง ต่างทยอยกันล่าถอยออกไป แม้แต่แม่ทัพที่แข็งแกร่งผู้นั้นก็ไม่กล้าต่อต้านกับพลังแสงสว่างของราชันแท้จริงเซิ่นซวง บังคับม้าศึกถอยหลังไปอยู่ด้านข้าง

“พลังแสงสว่างที่แข็งแกร่งมาก” ยอดฝีมือที่มองดูอยู่ในระยะห่างไกลต่างชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง เมื่อเห็นราชันแท้จริงเซิ่นซวงไม่ต้องอาศัยกระบวนท่าใดๆ ก็สามารถบังคับให้สิ่งปราศจากชีวิตที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเหล่านี้ต้องล่าถอยไปอย่างง่ายดาย

“เป็นความจริงที่มีความแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร หากว่ากันด้วยเรื่องของความสว่างแล้ว ยุคนี้คงไม่มีผู้ใดในหล้าสามารถก้าวล้ำราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้อีกแล้ว” แม้แต่ราชันแท้จริงที่ได้เห็นภาพนี้แล้วก็ได้แต่ชมเปาะด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า “พลังแสงสว่างที่บริสุทธิ์ พิสุทธิ์เช่นนี้คือต้นกำเนิดที่แท้จริง”

“การที่ราชันแท้จริงเซิ่นซวงมีพรสวรรค์ที่ผู้อื่นไม่สามารถเทียบเคียงได้ นางได้สืบทอดวิชาของปราชญ์ไกลกันดารได้โดยสิ้นเชิงแล้ว” ระดับคงความอมตะตลอดกาลรุ่นอาวุโสก็รู้สึกเลื่อมใส เมื่อได้เห็นพลังแสงสว่างที่บริสุทธิ์ซึ่งแผ่ออกมาจากตัวของราชันแท้จริงเซิ่นซวง

ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ว่า ต่างก็เป็นนักศึกษาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน มีเพียงราชันแท้จริงเซิ่นซวงเท่านั้นที่เป็นสายตรงอย่างแท้จริง เฉกเช่นนักศึกษาหอจรัสศักดิ์สิทธิ์อย่างราชันหญิงจื่อหลง หมิงหวังฝอ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ออกบวชกลางคันเท่านั้น ต่อให้พวกเขาสามารถบรรลุความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมรรคด้านแสงสว่างได้บางส่วน แต่ว่า นั่นมันก็เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้นเอง

สิ่งที่หมิงหวังฝอ เทพสงครามจินเปี้ยนพวกเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้ก็คือ ด้านของพลังแสงสว่าง

จะอย่างไรเสีย ราชันแท้จริงเซิ่นซวงถือกำเนิดที่หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ นับแต่นางถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้รับการอาบเอิบด้วยพลังแสงสว่างแล้ว และฝึกฝนวิถีแห่งแสงสว่างมาตั้งแต่วัยเยาว์ กล่าวได้ว่า พลังแสงสว่างของราชันแท้จริงเซิ่นซวงมีความบริสุทธิ์ยิ่งนัก ใกล้เคียงมากกับพลังที่เป็นต้นกำเนิดแล้ว

ดังนั้น ราชันแท้จริงเซิ่นซวงในเวลานี้ไม่ได้ลงมือเลย อาศัยเพียงแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวของนางเพียงลำพัง ก็เพียงพอที่จะสยบสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้ได้อยู่แล้ว

“ถอย รีบไปจากที่ตรงนี้” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงไม่ได้ลงมือต่อบรรดาสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านั้น เพียงแต่อาศัยรัศมีแสงที่ส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาคเท่านั้น ส่งผลให้บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตล้วนแล้วแต่ออกห่างจากราชันแท้จริงเซิ่นซวงไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้

บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเหล่านั้นต่างทยอยกันกลบหนีเมื่อเห็นภาพนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็วิ่งหนีหายไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เพื่อไม่ให้ถูกสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้จับจ้องเอาไว้

“นังหนูคนนี้แข็งแกร่งกว่าปราชญ์ไกลกันดารมากทีเดียว” กระบือดำขนาดใหญ่ทอดถอนใจขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว “อย่างน้อยที่สุด นังหนูคนนี้ยังมีความบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนเช่นตาแก่ไกลกันดารที่มีท่าทางเปลือกนอกดูเข้มยิ่งใหญ่ถูกต้องตามครรลอง แต่กลับมีจิตใจที่โหดร้ายมาก ใครเล่าจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

“ปราชญ์ไกลกันดารมีดีไม่พอก็จริง แต่ก็อย่าพูดจนเขาไม่มีอะไรดีเลย” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และส่ายหน้าเบาๆ

“แหะแต่ว่าข้ารู้ว่าเขามีจิตใจที่โหดร้ายมาก หาใช่คนดีอะไร ในใจของข้าไม่เคยยอมรับว่าเขาคือรัศมีแสงที่ส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาคอะไรอยู่แล้ว” กระบือดำขนาดใหญ่หัวเราะแหะแหะ

หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง ความอคติที่กระบือดำขนาดใหญ่มีต่อปราชญ์ไกลกันดารนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว

แม้ว่าบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจะหลบหนีไปแล้ว แต่ทว่า บรรดาคนตายเหล่านั้น โดยเฉพาะคนตายที่เป็นแม่ทัพคนนั้นจ้องเขม็งไปที่ราชันแท้จริงเซิ่นซวง เหมือนว่ามีความคิดต้องการจะลงมือต่อราชันแท้จริงเซิ่นซวง

ไม่ว่าใครก็มองออก บรรดาคนตาย และคนตายที่เป็นแม่ทัพหวั่นเกรงต่อพลังแสงสว่างของราชันแท้จริงเซิ่นซวงอย่างยิ่ง พวกมันไม่สามารถต้านทานกับราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้ จะอย่างไรเสียราชันแท้จริงเซิ่นซวงแข็งแกร่งกว่าพวกมันมากเหลือเกิน

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม บรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านี้ยังคงอยากลองของกับราชันแท้จริงเซิ่นซวง มีพฤติกรรมเหมือนต้องการกระโจนเข้าโจมตีสังหารต่อราชันแท้จริงเซิ่นซวงอย่างนั้น

“ความสว่างและความมืดไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้” มองดูภาพเช่นนี้แล้ว ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสต่างเข้าใจในเหตุผลข้อนี้

แม้ว่าบรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านี้รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันแท้จริงเซิ่นซวง แต่ว่า พลังอำนาจมืดที่อยู่ในตัวของพวกมันยังคงบังคับให้พวกมันมีท่าทีที่อยากทดลองกับราชันแท้จริงเซิ่นซวง

ตูม ตูม ตูมในเวลานี้เอง เสียงตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก บรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านี้ถึงกับตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมาได้ เป็นค่ายกลรบที่ใช้กันในสมรภูมิรบ เมื่อพวกมันรวมตัวเข้าด้วยกัน พลังอำนาจมืดทั้งหมดคล้ายดั่งเป็นหมอกดำที่รวมตัวเข้าด้วยกัน

ท่ามกลางเสียงดังตูมตามที่ดังตูม ตูม ตูมขึ้นมานั้น พลังความมืดได้เพิ่มสูงขึ้น มองเห็นเลือนรางได้ว่าเหมือนต้องการกลายเป็นมังกรแท้จริงสีดำตัวหนึ่ง ด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

“มันเป็นพลังความมืดแบบไหนกันแน่ จึงสามารถทำให้พวกมันไม่ต่างอะไรกับตอนมีชีวิตอยู่?” มองเห็นคนตายเหล่านี้ถึงกับรวมตัวกันเป็นค่ายกลใหญ่ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างตกใจยิ่ง และรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในใจ

จะอย่างไรเสีย มีสิ่งที่ปราศจากชีวิตหลังจากถูกพลังความมืดครอบงำแล้ว อย่างดีที่สุดก็เป็นได้แค่เหมือนผีดิบอย่างนั้น

แต่ว่า บรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านี้หาได้เป็นเช่นนี้ไม่ พวกมันเหมือนว่ามีสติปัญญาที่เป็นของตนเองอย่างนั้น ถึงกับรู้จักจัดตั้งเป็นขบวนค่ายกลขึ้นมาได้ เรียกได้ว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนเป็นๆ แล้ว

ราชันแท้จริงเซิ่นซวงสงบนิ่ง และไร้กังวลใดๆ และไม่มีแนวคิดที่จะลงมือ พลังแสงสว่างของนางนั้นมั่นคงดั่งหินผา เหมือนว่าพลังใดๆ ก็ไม่สามารถสั่นคลอนมันได้แม้แต่น้อย

ตึง ตึง ตึง…ขณะที่เหตุการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด ทันใดนั่นเอง ณ สถานที่ที่ห่างไกลปรากฎเสียงลั่นกลองดังแว่วเข้ามา เสียงตึง ตึง ตึงนี้หาใช่เป็นเสียงกลองธรรมดา แต่เป็นเสียงกลองที่ใช้ในสมรภูมิรบ

เสียงกลองศึกตึง ตึง ตึงที่ดังเข้ามามีจังหวะที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เหมือนว่าเสียงกลองแต่ละเสียงล้วนแล้วแต่ตีลงบนหัวใจของทุกๆ คนอย่างหนักหน่วงอย่างนั้น

ผู้คนที่ได้ยินเสียงกลองนี้แล้วคล้ายมีความรู้สึกที่ต้องการก้มหน้าขออาสาออกรบ เหมือนว่าต้องการให้ผู้คนก้มกราบลงกับพื้นสุดแล้วแต่จะบัญชาสั่งการอย่างนั้น!

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด