Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 3016 กวักวิญญาณ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 3016 กวักวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3016 กวักวิญญาณ

เมืองขนาดยักษ์ที่แตกละเอียดไปแล้วเมืองหนึ่ง ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า จากการที่กลิ่นอายของเมืองขนาดยักษ์ที่ตลบอบอวล เสมือนดั่งมีไฟศักดิ์สิทธิ์กำลังเต้นวูบวาบ เหมือนว่ามีไฟศักดิ์สิทธิ์สูงสุดครอบคลุมเมืองขนาดยักษ์นี้เอาไว้ตลอดในพันล้านปีที่ผ่านมา

หลี่ชิเย่นำพาพวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงเดินเข้าไปยังเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ภายในเมืองโบราณเงียบเหงาอย่างยิ่ง ไม่เห็นแม้แต่เงาสักคน ถนนหนทางที่กว้างขวางมีแต่ความเงียบเหงา มีสภาพที่เสื่อมโทรม

ภายในเมืองโบราณมีตำหนักขนาดใหญ่ และตึกรามบ้านช่องนับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น บรรดาตำหนักใหญ่และตึกรามบ้านช่องมีทั้งที่ก่อด้วยหินที่ผ่านการหลอมกลั่นขัดเกลา และมีบ้างที่สร้างขึ้นโดยอาศัยไม้เฟิ่งชีมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาศัยโลหะศักดิ์สิทธิ์หล่อขึ้นมา…อาศัยบรรดาตำหนักใหญ่และตึกรามบ้านช่องลักษณะเช่นนี้แต่ละหลังก็สามารถมองออกได้ว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในครั้งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเทพแท้จริงสูงสุด และราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกรทั้งสิ้น

ด้วยสาเหตุนี้เอง บรรดาบรรดาตำหนักใหญ่และตึกรามบ้านช่องเหล่านี้ยังคงมีกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณและทรงพลังที่ตลบอบอวลอยู่ในนั้น แม้ผ่านไปเป็นพันล้านปี มันคือกลิ่นอายของเจ้าของเหล่านั้นที่ได้พักอาศัยอยู่ที่นี่ในครั้งนั้นได้ทิ้งเอาไว้

“กลิ่นอายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง การต่อสู้ในครั้งนั้นช่างสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นใด” หลังจากที่พวกของราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้ก้าวเท้าเข้าไปยังเมืองโบราณที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้แล้ว สามารถรับรู้ได้ทันทีกับกลิ่นอายที่ทรงพลังหลายสายที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า

กลิ่นอายที่ทรงพลังหลายสายเรียกได้ว่าต่างพันเกี่ยวซึ่งกันและกัน และต่างฝ่ายต่างขับไล่ซึ่งกันและกัน ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า สิ่งนี้คือกลิ่นอายที่คงเหลือทิ้งเอาไว้จากการต่อสู้ในครั้งนั้น

กี่ปีผ่านไปแล้ว กลิ่นอายที่ทรงพลังหลายสายยังคงอยู่ ยังคงก่อกวนซึ่งกันและกันไม่เลิก ยังคงสยบเมืองขนาดยักษ์ที่แตกหักเสียหายแห่งนี้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า การศึกในครั้งนั้นน่าสยองขวัญเพียงใด ถ้าหากเมืองโบราณแห่งนี้ปราศจากพลังสูงสุดที่คอยปกป้องคุ้มครองล่ะก็ จากการศึกในครั้งนั้น เกรงว่าเมืองโบราณแห่งนี้คงถูกโจมตีจนหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวแล้ว

พวกหลี่ชิเย่ได้เดินทะลุผ่านถนนโบราณที่กว้างขวางใหญ่โตแต่ละสาย จนมาถึงด้านหน้าของสนามประลองแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งของเมืองขนาดยักษ์แห่งนี้

“ดูยาย บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตอยู่ที่นั่น” เมื่อดวงตากระบือขนาดใหญ่เท่ากระดิ่งทองแดงของกระบือดำขนาดใหญ่จ้องมองออกไป มองเห็นสนามประลองขนาดยักษ์แต่ไกล ได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

สนามประลองที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โตปราศจากผู้เทียบเทียม สามารถจุผู้คนได้นับล้านคน เมื่อยืนอยู่บนสนามประลองขนาดยักษ์เช่นนี้แล้ว ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กเท่ามดตัวหนึ่งอย่างนั้น

ขณะยืนอยู่ด้านนอกของสนามประลองแห่งนี้ในระยะห่างไกล ก็สามารถรับรู้ถึงปณิธานการต่อสู้สายหนึ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้า เหมือนว่าที่ตรงนี้เคยเป็นสนามประลองที่ระดมพล เป็นที่รวบรวมกองกำลังทหารนับหมื่นนับพันเมื่อพันล้านปีก่อนหน้า ชายชาตินักรบจำนวนเท่าไรล้วนแล้วแต่ออกเดินทางจากสถานที่แห่งนี้ เดินทางไกลเพื่อปราบปรามยังฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาล

ด้วยเหตุนี้เอง พันล้านปีผ่านไปแล้ว ปณิธานการสู้รบของบรรดาเหล่าชายชาตินักรบที่ทิ้งเอาไว้ในครั้งนั้น ยังคงไม่ได้จางหายไปแม้ผ่านไปเนิ่นนาน

ในเวลานี้ มองเห็นเพียงกองกำลังทหารนับหมื่นนับพันที่ตั้งแถวกันอยู่ภายในสนามประลองแล้ว โดยบรรดากองกำลังทหารนับหมื่นนับพันได้ตั้งแถวกันเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกคนต่างเงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ บรรยากาศเป็นไปด้วยความอึดอัดเป็นพิเศษ

กองกำลังทหารนับหมื่นนับพันที่เห็นอยู่ภายในสนามประลองเหล่านี้ ก็คือบรรดาสิ่งปราศจากชีวิต และทหารอเวจีก่อนหน้าที่พากันรุดมาที่นี่หลังจากได้ยินเสียงกลองศึก เป็นต้นว่ากองทัพที่อยู่ในทะเล สิ่งปราศจากชีวิตมังกรดำ เจ้าอิทธิพลอาชาศึก…ต่างๆ เป็นต้นที่ได้ยินเสียงกลองแล้วปรากฏตัวขึ้นมา และมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด

ภายในสนามประลองแห่งนี้มีกลองศึกที่มีขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่บนเวทีสูง กลองศึกนี้สร้างขึ้นโดยหุ้มด้วยหนังมักร สามารถมองเห็นเอนมังกรบนหน้ากลอง บนขาตั้งกลองมีไม้กลองวางอยู่ ไม้กลองแต่ละอันล้วนแล้วแต่แผ่กลิ่นอายที่ผยองและถืออำนาจบาตรใหญ่ โดยส่วนที่เป็นด้ามทำมาจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์

ในขณะนี้ ผู้ที่ได้ยินเสียงกลองแล้วรุดมาที่นี่ประกอบด้วยเจ้าอิทธิพลอาชาศึก ฮ่องเต้รถศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทองแดงเรือทอง…เป็นต้น บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตผู้ได้รับการเคารพสูงสุดปราศจากผู้ต่อกรต่างยืนล้อมกลองศึกเอาไว้

สำหรับสิ่งปราศจากชีวิตที่เป็นกองกำลังทหารนับหมื่นนับพันนั้น ก็จะยืนอยู่ในสนามประลองในลักษณะของค่ายกลขนาดยักษ์ปราศจากผู้เทียบเทียม

ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกของเจ้าอิทธิพลอาชาศึก และหรือสิ่งปราศจากชีวิตที่เป็นกองกำลังทหารนับหมื่นนับพัน พวกเขาต่างยืนสงบนิ่งอยู่ภายในสนามประลอง โดยไม่มีสิ่งปราศจากชีวิตใดส่งเสียงขึ้นมา สนามประลองขนาดใหญ่เงียบสงัดจนดูน่ากลัว แม้แต่เข็มเงินตกพื้นยังได้ยินอย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอดที่จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้

โดยเฉพาะการที่มีสิ่งปราศจากชีวิตจำนวนมากเช่นนี้มายืนอยู่ที่ตรงนี้เงียบๆ คนที่ไม่รู้ความเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้าเช่นนี้ยังเข้าใจว่าผีอาละวาด

พวกของหลี่ชิเย่ไม่ได้เข้าไปในสนามประลอง เพียงยืนดูภาพตรงหน้าอยู่ห่างๆ

“สิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่?” กระบือดำขนาดใหญ่ถึงกับกระซิบขึ้นมา “บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดล้วนแล้วแต่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”

“มีบางสิ่งผิดปรากฏ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา เวลานี้สายตาของเขาได้ตกไปอยู่ที่บริเวณกึ่งกลางของสนามประลอง บริเวณตำแหน่งที่เป็นกึ่งกลางสนามประลองมีถ้ำขนาดใหญ่ที่ลึกมากๆ อยู่ถ้ำหนึ่ง

ถ้ำลึกนี้จะมีลักษณะที่ทิ้งตัวลงตรงๆ ลึกมากจนยากจะหยั่งถึง เหมือนว่าเป็นถ้ำลึกที่เชื่อมต่อไปยังเหวลึกมรณะอย่างนั้น ด้วยถ้ำลึกเช่นนี้แหละที่เสมือนดั่งปีศาจที่อ้าปากกว้าง รอเหยื่อที่จะเดินเข้าไปติดกับเองอย่างเงียบๆ

“ข้างในเป็นตัวเวรอะไรกัน” กระบือดำขนาดใหญ่พึมพำขึ้นมาว่า “หรือเป็นปีศาจอะไรที่ต้องการออกมาจากข้างในรึ?”

“จะเป็นปีศาจหรือไม่คงพูดยาก” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องบนโลกมนุษย์มักจะอยู่เหนือความคาดคิดอยู่เสมอๆ บางทีไม่ว่าจะเป็นตัวเวรอะไร เป็นปีศาจอะไร มันก็แค่แปลงมาจากมนุษย์เท่านั้นเอง บนโลกไม่ได้มีตัวเวรพวกนี้ดำรงอยู่ๆ แล้ว”

“ที่พูดมาก็ถูก ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือประเภทคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง” กระบือดำขนาดใหญ่ก็พึมพำขึ้นมา เห็นด้วยกับคำพูดของหลี่ชิเย่

ภายในใจของราชันแท้จริงเซิ่นซวงกลับรู้สึกหวั่นไหว ลางร้ายภายในใจของนางดูจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นๆ เรื่อยๆ แล้ว นางพอจะคาดเดาเรื่องราวมากมายรางๆ แล้ว

“ตูมิซีปามีชือ…” ในเวลานี้เอง สิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดที่นิ่งเงียบอยูพลันท่องบ่นเป็นคาถาขึ้นมา คาถาที่พวกมันร่ายออกมานั้นเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง และไม่คุ้นเคยยากที่จะเข้าใจได้ ทำให้ผู้ฟังงงเป็นไก่ตาแตก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะที่สิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดร่ายคาถาขึ้นมานั้น ร่างกายแขนขาของพวกเขาพลันมีการเคลื่อนไหวส่ายไปส่ายมาเหมือนเป็นการเต้นรำอย่างนั้น นี่คือพิธีกรรมที่ลึกลับและแปลกประหลาดยิ่งอย่างหนึ่ง

แม้แต่ราชันแท้จริงเซิ่นซวงก็ถูกทำให้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พูดไม่ได้ พวกมันคล้ายเป็นคนตายที่เสมือนหนึ่งผีดิบเท่านั้นเอง ดุจดั่งเป็นหุ่นเชิดอย่างนั้น

เวลานี้ ไม่นึกไม่ฝันว่าบรรดาสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านี้ถึงกับร่ายคาถาได้ด้วย ทั้งยังร่ายรำท่าเต้นที่เป็นพิธีกรรมลึกลับอย่างหนึ่งขึ้นมา

“อาจารย์ พวก พวกมันกำลังทำอะไรกัน?” เมื่อหลิ่วเยี่ยนไป๋มองเห็นสิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดต่างเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการบิดกายไปมา ปากร่ายคาถาไปพลาง เต้นรำด้วยท่าเต้นที่แปลกประหลาดยิ่งไปพลาง ทำเอาตกใจจนไม่รู้ว่าควรจะซ่อนตัวที่ไหนดี

“เต้นมหาเทพ…” กระบือดำขนาดใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นชาขณะมองดูร่างกายสิ่งปราศจากชีวิตที่โยกบิดตัวไปมา ปากร่ายคาถานั่น

แม้ว่าปากของกระบือดำขนาดใหญ่จะพูดเช่นนี้ แต่ว่า เขากลับตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้พลาดคำใดคำหนึ่งของคาถาไป เขาต้องการฟังหาความลึกลับบางอย่างออกมาให้ได้

“นี่คือไสยศาสตร์โหดเหี้ยมดึกดำบรรพ์!” หลังจากที่กระบือดำขนาดใหญ่ฟังไปครู่หนึ่งแล้วถึงกับตระหนกในใจ และกล่าวว่า “นี่คือวิชาชั่วร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง วิชานี้ได้สาบสูญไปหลายยุคสมัยแล้ว ทำไมถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้”

“ถูกต้อง นี่เป็นการเรียกวิญญาณผู้ตาย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แต่ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่”

“ฮึในเมื่อได้ตายไปแล้ว ก็ตายให้มันสุดๆ ไปเลย” กระบือดำขนาดใหญ่หัวเราะเยาะ เชิดใส่ และกล่าวน่าเกรงขามว่า “ถ้าหากยังตายไม่สนิท ข้าจะส่งเจ้าไปสุขาวดีในเท้าเดียว!”

“คอยดูต่อไป ของดีกำลังจะเปิดตัวออกมาแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะเรียบเฉย ประกายตาที่ลึกล้ำเต้นวูบวาบทีหนึ่ง จับจ้องถ้ำขนาดยักษ์ที่ลึกล้ำใจกลางสนามประลองนั่น

“ตูมิซีปามีชือ…” สิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดปากพร่ำบ่นคาถาไปพลาง บิดและโยกตัวไปพลาง บนตัวของพวกมันเริ่มเปล่งไอความมืดออกมาในขณะเดียวกัน

ไอความมืดแต่ละสายได้แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขาและลอยม้วนตัวขึ้นไป ดูไปแล้วก็คล้ายเป็นหมอกพิษอย่างนั้น ค่อยๆ กระจายออกจากภายในร่างกายของพวกเขา

จากการที่ไอความมืดที่แผ่กระจายออกมาจากบนตัวของสิ่งปราศจากชีวิตทั้งหมดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไอความมืดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไปรวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา เสมือนดั่งกลายเป็นหมอกดำ และต้องการปกคลุมสนามประลองทั้งหมดเอาไว้อย่างนั้น

เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด…ในเวลานี้เอง ถ้ำขนาดยักษ์ที่อยู่ใจกลางสนามประลองปรากำเสียงที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นระลอก เหมือนมีบางสิ่งที่หนักมากกำลังเคลื่อนที่อยู่ภายใน มีสิ่งของขนาดใหญ่โตมากกำลังโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ

จากเสียงที่หนักอึ้งยิ่งดังเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดขึ้นเป็นระลอกลอยมาเข้าหู หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดภายในถ้ำขนาดยักษ์ก็ได้ปรากฏสิ่งหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว โดยเจ้าสิ่งนี้ได้ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ จากถ้ำขนาดยักษ์นั่น

“นี่มันคือเตาอะไร…” หลิ่วเยี่ยนไป๋เต็มไปด้วยความแปลกใจ ขณะมองดูเจ้าสิ่งนี้ที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆจากถ้ำขนาดยักษ์นั่น

สิ่งที่ลอยขึ้นมาจากภายในถ้ำยักษ์ช้าๆ คือเตาไฟใบนี้นี่เอง เตาไฟใบนี้มีขนาดใหญ่มาก เหมือนสามารถต้มซุปแพะพร้อมกันทีเดียวแปดถึงสิบตัวอย่างนั้น

เตาไฟนี้มีสีแดงเข้มทั้งใบ หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เดิมทีมันมีสีทองเข้ม หลังจากพันล้านปีผ่านไป และหรือถูกพลังความมืดครอบงำ มันจึงกลายจากสีทองเข้มมาเป็นสีแดงเข้มๆ

เตาไฟใบนี้แข็งแรงมาก ต่อให้ผู้ที่ไม่มีความรู้พลันที่มองเห็น ก็รู้ว่าเตาไฟนี้ไม่ใช่ของธรรมดา

เตาไฟใบนี้ได้สลักหงส์เอาไว้ตัวหนึ่ง เป็นหงส์ที่กางปีกเหมือนกางปีกโบยบินขึ้นสูง ขณะที่ปีกสองข้างที่ยกขึ้นก็คือส่วนที่เป็นมือจับของเตาไฟ เมื่อเป็นเช่นนี้ เตาไฟทั้งใบดูเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ดุจดั่งเตาไฟนี้วิวัฒนาการและแปลงมาจากหงส์ตัวนี้

ภายในเตาไฟมีสิ่งของดำทะมึนกองสุมอยู่ ลักษณะเหมือนเป็นถ่านไม้ที่ดับมอดไปแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าใช่หรือไม่ใช่นั้นไม่มีใครกล้ายืนยัน

ด้วยเหตุที่มีของดำทะมึนกองสุมอยู่นี่เอง ดูไปแล้วก็เหมือนภายในเตาไฟกองเต็มไปด้วยถ่านไม้ พร้อมที่จะจุดให้ลุกไหม้ขึ้นได้อย่างนั้น

“เตาไฟใบนี้…” ดวงตาทั้งสองของกระบือดำขนาดใหญ่พลันเพ่งตรงไปข้างหน้า เมื่อมองเห็นเตาไฟที่ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมา พลันจับตาจ้องมองดูเตาไฟใบนี้อย่างไม่คลาดสายตา ปรากฏประกายเยือกเย็นที่โผล่ออกมาจากดวงตาทั้งสอง

“ผู้อาวุโสจดจำเตาไฟใบนี้ได้?” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงไม่สามารถรับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของเตาไฟใบนี้ได้ในขณะนี้

“หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เตาไฟใบนี้ก็คือเตาหงส์” กระบือดำขนาดใหญ่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ท่าทางดูจะหนักแน่นจริงจังอยู่บ้างขึ้นมาแล้ว

“เตาหงส์…” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงหวั่นไหวนิดหนึ่ง นางเหมือนว่าเคยได้ยินชื่อเช่นนี้ แต่ว่า รายละเอียดที่มาที่ไปของมัน นางนึกไม่ออกในเวลานี้

“นังหนู อย่าไปคิดมาก ยิ่งรู้มากเท่าไรไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้า” ขณะที่ราชันแท้จริงเซิ่นซวงกำลังนึกถึงชื่อของเตาหงส์อย่างละเอียดอยู่นั้น กระบือดำขนาดใหญ่ได้กล่าวเรียบๆ ขึ้นมาทำลายความคิดของนางลง

………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด