Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 3052 สงครามกำลังจะเกิด
ตอนที่ 3052 สงครามกำลังจะเกิด
นัดหมายสิบวันไม่ยาวและไม่สั้น และสิบวันก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นัดหมายสิบวันมาถึงแล้ว หลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะตัวเอกของศึกสงครามในครั้งนี้ยังมาไม่ถึง แต่ก็มีผู้ที่มาถึงแต่วันแล้ว
กระทั่งหลายวันก่อนหน้าก็มีผู้ที่มายึดตำแหน่งที่ดีเอาไว้ รอคอยนัดหมายสิบวันที่จะมาถึง บางคนได้รั้งอยู่บนท้องฟ้าในระยะห่างไกล และมีคนที่ยึดยอดเขาที่สูงที่สุดเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระดับคงความอมตะตลอดกาลได้ก่อตั้งคันฉ่องสวรรค์ขึ้นในระยะห่างไกล เพื่อให้ผู้เยาว์ได้รับชม…
นัดหมายสิบวันยังไม่ทันมาถึง ลูกอุกกาบาตยักษ์ก็เรียกได้ว่าคึกคักไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน จำนวนเท่าไรถึงกับรุดมาจากสถานที่ที่ห่างไกล กระทั่งมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมได้นำประตูมิติมาเปิดเอาไว้ที่ลูกอุกกาบาตนี้โดยตรง ศิษย์จำนวนมากได้เข้ามาอยู่บนลูกอุกกาบาตยักษ์ลูกนี้
จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าแล้ว นี่จะเป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างราชันแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะพลาดโอกาส
กล่าวได้ว่า การต่อสู้ชี้ขาดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ล้วนแล้วแต่พบเห็นได้ยากในทุกยุคทุกสมัย กล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มีกำลังความสามารถแล้ว พวกเขาไหนเลยจะพลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้กันเล่า
ด้วยเหตุที่งานยิ่งใหญ่เช่นนี้ การต่อสู้ชี้ขาดในลักษณะเช่นนี้ ทำให้ชื่อของคนโหดอันดับหนึ่งขจรไกลไปทั่วทั้งแดนลัทธิเซียน กล่าวได้ว่ามาถึงวันนี้แล้ว ในแดนลัทธิเซียนไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของคนโหดอันดับหนึ่งอีกแล้ว
ทุกคนต่างรู้ว่าคนโหดอันดับหนึ่งผู้นี้เข่นฆ่าราชันสังหารเทพ มุทะลุดุดันยากจะหาใดเทียม มาวันนี้จะต้องสู้กับหมิงหวังฝอ เทพสงครามจินเปี้ยน ห้าสหายภูผาเมฆที่เป็นเจ็ดผู้ปราศจากผู้ต่อกรลักษณะเช่นนี้โดยลำพัง
ดังนั้น ขณะที่ศึกสงครามยิ่งใหญ่ยังไม่ได้เริ่มนั้น ได้ทำให้ยอดฝีมือและอัจฉริยะบุคคลไม่รู้จำนวนเท่าไรของแดนลัทธิเซียนเลื่อมใสศรัทธา เมื่อได้ยินวีรกรรมเช่นนี้ และกล่าวทอดถอนใจขึ้นมาว่า “บนโลกนี้ นอกเหนือจากปฐมบรรพบุรุษแล้ว ยังจะมีใครหาญกล้าต่อสู้กับเจ็ดผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ คนโหดอันดับหนึ่งคือผู้ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมอง เกรงว่าจะเป็นอันดับหนึ่งรองจากพระอาจารย์จินกวง และปราชญ์อัจฉริยะหลันซูแล้ว”
“เป็นความจริงที่มีความมุทะลุดุดัน และโหดร้ายปราศจากผู้เทียบเทียม คนอายุน้อยก็ดีอย่างนี่แหละ ช่างอารมณ์รุนแรงอะไรอย่างนั้น ต่อให้ศัตรูมีความโหดร้ายทารุณอย่างยิ่งก็ไม่หวั่น” แม้แต่ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็อดเลื่อมใสไม่ได้
ผู้คนใต้หล้าต่างก็รู้ว่าหมิงหวังฝอนั้นมีพระธรรมไร้ขอบเขต เทพสงครามจินเปี้ยนชื่นชอบสงครามปราศจากผู้ต่อกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้าสหายภูผาเมฆนั้นมีความมุทะลุดุดัน และโหดร้ายยิ่งกว่า ด้วยผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรทั้งเจ็ดคน ในโลกนี้ยังจะมีผู้ใดหาญกล้าสู้กับพวกเขาโดยลำพัง เว้นแต่พระอาจารย์จินกวง และปราชญ์อัจฉริยะหลันซู นอกเหนือจากนี้ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับพวกเขาโดยลำพังอีกแล้ว
มาวันนี้ คนโหดอันดับหนึ่งกล้าต่อสู้กับพวกเขาที่เป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรทั้งเจ็ด ช่างปราศจากความหวั่นเกรงอะไรขนาดนั้น นี่เป็นความกล้าหาญเพียงใด
“แข็งเกินหักง่าย” มีผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นผู้อาวุโสบางคนไม่ได้มีความมั่นใจในตัวหลี่ชิเย่ ส่ายหัวและกล่าวว่า “อวดดีเกินไปก็ไม่ดี การต่อสู้กับเจ็ดผู้ต่อกรปราศจากผู้ต่อกร ต่อให้คนโหดอันดับหนึ่งแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ เกรงว่าก็จะต้องเสียเปรียบ หากไม่ทันระวังแม้แต่น้อยก็จะต้องตัวตายวิญญาณสลาย ใยต้องทำเช่นนี้เล่า”
“จริงอยู่ คนโหดอันดับหนึ่งผู้นี้นับแต่เข้าสู่ยุทธจักรมา เรียกได้ว่าสู้แล้วไม่เคยแพ้ เรียกได้ว่าอนาคตไร้ขอบเขตและกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษนั้นง่ายนิดเดียว แต่ว่า ความที่ต้องการชนะมากเกินไป จะส่งผลให้ตัวเขาต้องสูญสลาย เหตุใดจึงไม่อดกลั้นอีกสักนิด รอให้ปีกกล้าขาแข็งเสียก่อนค่อยสู้รบก็ยังไม่สาย” มีระดับบรรพบุรุษก็รู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นกระทำการหุนหันพลันแล่นเกินไป จะอย่างไรเสีย การต่อสู้กับผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรทั้งเจ็ดโดยลำพังคนเดียวนับว่ามั่นใจมากเกินไป ทำอะไรหลับหูหลับตามากเกินไป เมื่อใดที่พ่ายแพ้เท่ากับต้องสูญเสียอนาคตชั่วชีวิตของตนไปด้วย
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงกับหาญกล้าสู้กับพวกของเทพสงครามจินเปี้ยนโดยลำพัง เป็นการรนหาที่ตาย แหะเกรงว่าเขายังไม่รู้ว่าเทพสงครามจินเปี้ยนมีความแข็งแกร่งเพียงใด มีความมุทะลุดุดัน และโหดร้ายเพียงใด เทพสงครามจินเปี้ยนนั้นคือผู้ที่ผ่านการศึกมาอย่างโชกโชน ต่อสู้อย่างดุเดือดไปทั่วหล้าไร้เทียมทาน แหะประสบการณ์ด้านการทำสงครามของคนโหดอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเทพสงครามจินเปี้ยนแล้ว มันคือน้ำจิ้มเท่านั้นเอง” ผู้ที่มีความแค้นกับหลี่ชิเย่เมื่อทราบว่าหลี่ชิเย่ต้องการสู้กับเทพสงครามจินเปี้ยนโดยลำพังแล้ว พวกเขาอดที่จะดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน เฝ้ามองสามารถมองเห็นภาพของเทพสงครามจินเปี้ยนเข่นฆ่าสังหารหลี่ชิเย่
ชื่อของเทพสงครามจินเปี้ยนนั้นสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วหล้า และมีผู้ที่เลื่อมใสอยู่เป็นจำนวนมากรู้สึกโกรธ เมื่อได้ยินว่าหลี่ชิเย่ต้องการต่อสู้กับพวกของเทพสงครามจินเปี้ยนลำพังตนเอง จึงกล่าวเหยียดหยามว่า “เป็นคนโหดอันดับหนึ่งอะไร แค่ยกหางตัวเองเท่านั้น ถึงกับหาญกล้าเป็นศัตรูกับเทพสงครามจินเปี้ยน แหะรอความตายได้เลย เสียงร้องน่าเวทนาดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะต้องเสียใจภายหลังที่ไปเป็นศัตรูกับเทพสงครามจินเปี้ยน”
ศึกใหญ่ยังไม่ทันเริ่ม คำวิจารณ์ต่างๆ นานาทยอยกันแพร่ออกมา มีผู้รู้สึกว่าคนโหดอันดับหนึ่ง มีความแหลมคมยากจะต้าน เป็นผู้ชนะแน่นอน ขณะที่ผู้คนจำนวนมากกว่าคิดว่าพวกของเทพสงครามจินเปี้ยนมีธาตุแท้ภายในปราศจากผู้เทียบเทียม การที่หลี่ชิเย่เป็นศัตรูกับพวกเขานับว่าเป็นกระทำที่ไม่ชาญฉลาดเอาเสียเลย
ส่วนหลี่ชิเย่ที่เป็นหนึ่งในตัวเอกของสงครามในครั้งนี้กลับไม่เผยโฉมตลอดมา เหมือนหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่เทพสงครามจินเปี้ยนซึ่งรั้งอยู่บนภูเขาไฟลูกนั้นที่เคยมีกระบี่ปราชญ์ปักอยู่ อีกทั้งกระบี่ปราชญ์ก็วางอยู่ข้างตัวของเขาเอง
ขณะเทพสงครามจินเปี้ยนนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้นก็คือเทพสงครามดีๆ นั่นเอง มีปณิธานการต่อสู้ที่สูงเด่น สามารถรับรู้ได้ถึงปณิธานการต่อสู้ที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมสายนั้นแต่ไกล ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อใดที่เหยียบย่างเข้าไปในอาณาจักรแห่งนี้ ก็จะต้องถูกโจมตีโดยปณิธานการต่อสู้ในพริบตา เหมือนเป็นค้อนยักษ์ที่ทุบลงบนศีรษะของเจ้าอย่างนั้น
ผู้ที่มีทักษะอ่อนจะต้องถูกค้อนทุบจนสมองกระจาย ต่อให้เป็นผู้ที่มีทักษะแข็งแกร่ง ก็ต้องถูกปณิธานการต่อสู้เช่นนี้ทุบจนตาลาย
ดังนั้น เมื่อปณิธานการต่อสู้ของเทพสงครามจินเปี้ยนที่อาละวาดไปทั่วฟ้าดิน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ ทำได้เพียงยืนมองอยู่ในระยะห่างไกล ผู้คนจำนวนมากล้วนไม่สามารถยอมรับปณิธานที่บ้าคลั่งรุนแรงในระยะยาวได้
“ดุดันมากเหลือเกิน” ไม่ว่าเป็นใครก็ตามต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อรับรู้ได้ถึงปณิธานการต่อสู้ของเทพสงครามจินเปี้ยนจากระยะไกล เวลานี้เทพสงครามจินเปี้ยนก็เสมือนหนึ่งเป็นสัตว์ร้ายที่ออกจากกรง พร้อมที่จะกัดคน
“สมคำเล่าลือจริงๆ” เมื่อผู้คนจำนวนไม่น้อยรับรู้ถึงปณิธานการสู้รบเช่นนี้แล้ว ต่างให้ความเคารพยำเกรงกับสิ่งนี้
เรื่องของเทพสงครามจินเปี้ยนที่มีชื่อเสียงขจรไกลเรื่องชื่นชอบสงครามและทารุณโหดร้ายนั้น สามารถตระหนักถึงความน่ากลัวและมุทะลุดุดันได้อย่างแท้จริง เมื่อได้สัมผัสกับเทพสงครามจินเปี้ยนอย่างแท้จริงแล้ว
หมิงหวังฝอเมื่อเทียบกับเทพสงครามจินเปี้ยนที่เปี่ยมด้วยปณิธานการต่อสู้ที่รุนแรงจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หมิงหวังฝอก็นั่งตัวตรงอยู่บนยอดเขาลูกนั้นเช่นกัน
หมิงหวังฝอในเวลานี้ไม่ได้มีร่างทองที่สูงหมื่นจ้าง ในขณะนี้เขามีความสูงเท่าๆ กับบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น บนตัวสวมจีวร และมีดอกบัวทองคำที่รองรับตัวของเขาเอาไว้
บนตัวของเขาแผ่กระจายเป็นประกายสีทองและปณิธานพุทธะทั่วทั้งตัว เพียงแต่ ประกายสีทองและปณิธานพุทธะของเขาไม่ได้ปกคลุมไปทั่วหล้า เพียงแค่ครอบคลุมอยู่บริเวณสามฟุตรอบๆ ตัวเขาเท่านั้นเอง
หมิงหวังฝอที่นั่งตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้นเหมือนเขินอาย ประนมมือทั้งสอง เหมือนกำลังปล่อยจิตให้ล่องลอยไป และกำลังสวดมนต์อยู่
แม้ว่าประกายสีทองปณิธานพุทธะของหมิงหวังฝอเพียงครอบคลุมรอบตัวของเขาในระยะสามฟุตเท่านั้น แต่กลับยังคงให้ความรู้สึกกับผู้คนถึงห้ามล่วงล้ำอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้คนที่มองเห็นตัวเขาแต่ไกล บังเกิดอารมณ์ความเลื่อมใสขึ้นมาเอง
หมิงหวังฝอในเวลานี้ ให้ความรู้สึกผู้คนถึงการโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน มีความเมตตาเป็นที่ตั้ง เวทนาใต้หล้า ช่างมีความยิ่งใหญ่อะไรอย่างนั้น ช่างคู่ควรให้ผู้คนไปเคารพนับถืออะไรอย่างนั้น
ความจริงแล้ว อายุอานามของหมิงหวังฝอไม่ได้มากอะไรนักหนา แม้ว่าเขามีชื่อเสียงลือลั่นทั่วหน้ามานาน บนโลกล้วนแซ่ส้องสรรเสริญในเรื่องราวเกี่ยวกับการโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกันต่างๆ นานา แต่ว่า เขาหาใช่หลวงจีนแก่ๆ ที่มีเมตตากรุณา
ตรงกันข้าม หมิงหวังฝอนั้นมีอายุน้อยมาก กระทั่งมีหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง เป็นหลวงจีนที่สุดหล่อยิ่งนัก แต่ทว่า ขณะที่เขานั่งตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้น เขาคือผู้ที่มีพระธรรมลึงซึ้งสูงส่ง ซึ่งทำให้ผู้คนลืมไปแล้วว่าเขาคือหลวงจีนที่มีอายุน้อยและหล่อเหลายิ่ง ในสายตาของทุกๆ คน เขาก็คือหลวงจีนที่บรรลุธรรมขั้นสูง มีทักษะที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
จะไปโทษว่าทุกคนมีความคิดเช่นนี้ก็ไม่ถูก แม้หมิงหวังฝอมีอายุน้อย แต่ว่าเขาคือเจ้าอาวาสของวัดลังกา ยิ่งกว่านั้นคือผู้นำของศาสนาพุทธ ตัวเขานั้นมีพระธรรมสูงส่ง มีพุทธลักษณะเคร่งขรึม ทำให้ผู้คนบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา
“ไม่เสียทีที่หมิงหวังฝอคือเจ้าอาวาสวัดลังกาที่มีพรสวรรค์สูงสุดในแต่ละยุคที่ผ่านมา” เมื่อทุกคนมองเห็นหมิงหวังฝอนั้นมีพุทธลักษณะที่เคร่งขรึม การที่หมิงหวังฝอนั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์โดยไม่ขยับตัวก็สามารถสยบเหล่าชั้นฟ้า ต่างบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาหลังจากที่ผู้คนจำนวนมากมองเห็นสิ่งนี้แล้ว
เมื่อหมิงหวังฝอ และเทพสงครามจินเปี้ยนอยู่ตรงนั้นแล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ รอคอยสงครามที่สะเทือนเลื่อนลั่น
แน่นอน ก็มีบางคนที่ตามหาห้าสหายภูผาเมฆ แต่ว่ากลับไม่เห็นเงาของพวกเขา จึงมีผู้ที่อดจะพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “ห้าสหายภูผาเมฆเล่า?”
“เกรงว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกระมัง” มีผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สมควรทราบว่าเทพเมฆาม้วนคืออาจารย์ลุงของปราชญ์อัจฉริยะหลันซู เคยชี้แนะปราชญ์อัจฉริยะหลันซู”
“เป็นการรนหาที่ตายเองของคนแซ่หลี่ เมื่อหาญกล้าเป็นศัตรูกับเทพเมฆาม้วน นี่ไม่เท่ากับเป็นศัตรูกับปราชญ์อัจฉริยะหลันซูใช่หรือไม่เล่า? ต่อให้เขาสังหารเทพเมฆาม้วนได้จริงๆ เกรงว่าปราชญ์อัจฉริยะหลันซูจะไม่ปล่อยเขาแน่” มีผู้ที่อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
ผู้คนจำนวนมากต่างคิดถึงจุดนี้มานานแล้วสำหรับจุดนี้ เทพเมฆาม้วนคืออาจารย์ลุงของปราชญ์อัจฉริยะหลันซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคยชี้แนะปราชญ์อัจฉริยะหลันซูมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้ดี เวลานี้คนโหดอันดับหนึ่งเป็นศัตรูกับเทพเมฆาม้วน ปราชญ์อัจฉริยะหลันซูสามารถไม่เป็นศัตรูเพื่อผู้อาวุโสของตนรึ?
“แหะไม่แน่นักหากปราชญ์อัจฉริยะหลันซูจะมาด้วยตนเอง ก็จะยิ่งสนุกแล้ว” จึงมีผู้ที่มีความคิดที่กล้าหาญเช่นนี้
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวเมื่อได้ยินแนวความคิดเช่นนี้ อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
จะอย่างไรเสียไม่มีใครเคยเห็นปราชญ์อัจฉริยะหลันซูลงมือมานานแล้ว และเป็นความจริงว่ามันเป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ถ้าหากวันนี้สามารถมองเห็นปราชญ์อัจฉริยะหลันซูลงมือ
ตูม ตูม ตูม…เสียงดังตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย การต่อสู้ชี้ขาดยังมาไม่ถึง คนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่ยังไม่ได้ปรากฎตัว มองเห็นเรือรบแต่ละลำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล่นเข้ามายังลูกอุกกาบาตยักษ์จากท้องฟ้าด้านทิศเหนือ
เรือรบแต่ละลำที่แล่นเข้าสู่ลูกอุกกาบาตได้กลายเป็นกองเรือรบที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง มีท่าทีที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ขณะที่กองเรือรบเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นนั้น ทั่วฟ้าดินล้วนอดที่จะสั่นไหวโคลงแคลงทีหนึ่ง
เสียงตูม ตูม ตูมที่ดังตูมตามขึ้นมาไม่ขาดสาย ทั่วโลกเสมือนดั่งถูกกองเรือเช่นนี้บดขยี้และสยบอย่างนั้น ปุยเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าทั้งหมดพลันถูกทำให้แตกกระจัดกระจายไป
‘ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถง’ ในเวลานี้มีผู้จดจำประวัติความเป็นมาของกองเรือที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นนี้ อดที่จะตระหนกและกล่าวว่า “กองเรือร่วมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถงมาแล้ว”
“กองเรือร่วมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถง นี่เป็นการเล่นจริงแล้ว สำนักหมื่นพันของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถงได้รวมตัวกันขึ้นแล้ว” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตกใจเมื่อได้มองเห็นกองเรือที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถงคือระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่มีความแข็งแกร่งยิ่งของแดนลัทธิเซียน มีสำนักนับพันนับหมื่นอยู่ในสังกัด มาวันนี้กองเรือร่วมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถงได้มาแล้ว ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเทียนถงเล่นของจริงแล้ว
……………………………………………….
Comments