Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2565 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2565 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2565 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น
ยามค่ำคืนในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเงียบสงัดและสงบสุข เนื่องจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นได้ตกต่ำลงแล้ว จึงมีผู้บำเพ็ญตนน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นดูจะเงียบสงัดและสงบสุขยิ่งขึ้น

เมืองไป่หลานเฉิงเป็นเมืองโบราณที่มีประชากรอาศัยอยู่หลายหมื่นคน แน่นอน กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากแล้ว ประชากรหลายหมื่นคนเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น กระทั่งหมู่บ้านแห่งหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบางแห่งก็มีประชากรขนาดนี้

แต่ทว่า สำหรับระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นในวันนี้ซึ่งได้เสื่อมลงแล้วนั้น เมืองไป่หลานเฉิงที่มีประชากรหลายหมื่นคนนั้น ถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีอยู่จำนวนไม่มาก ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น เมืองที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มีอยู่เพียงหนึ่งถึงสองแห่งเท่านั้น

ยามค่ำคืนของเมืองไป่หลานเฉิงดูสงบสุขเป็นพิเศษ และดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ เนื่องจากมีผู้บำเพ็ญตนอยู่ไม่มาก ทั่วทั้งเมืองไป่หลานเฉิงจึงดูเรียบง่ายไม่มีการเสริมแต่งและเงียบสงบ เสมือนหนึ่งเป็นกล้วยไม้ที่บานสะพรั่งในยามค่ำคืนอย่างนั้น

ดึกแล้ว ประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในเมืองไป่หลานเฉิงล้วนแล้วแต่เข้านอนกันแล้ว ต่างก็อยู่ท่ามกลางฝันหวานกันอยู่

ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง จังหวะที่ทุกคนกำลังอยู่ในความฝันนั้น ทันใดนั้นเองเสียงดั่งสนั่นได้ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ทำเอาทุกคนที่อยู่ในเมืองไป่หลานเฉิงตกใจตื่น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น…” คนที่ถูกทำให้ตกใจตื่นร้องเสียงดังขึ้นมา แต่ ในเวลานี้ข้างหูปรากฎเสียงตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก

“แย่แล้ว เมืองกำลังตกลงไป…” มีผู้ที่ได้สติกลับมาพบว่า ไม่เพียงแต่ตนเอง และไม่เพียงบ้านของตนเอง แต่เป็นผืนแผ่นดินทั้งผืนที่กำลังตกลงไปยังเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้ตกใจจนส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมา

ในพริบตาเดียวนั่นเอง ผืนแผ่นดินพลันปรากฏเป็นหลุมลึกขึ้นมาหลุมหนึ่ง เมืองไป่หลานเฉิงตกลงไปอย่างรวดเร็ว พลันร่วงหล่นลงสู่ใต้พื้นดินที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม

ผู้ที่ตกใจตื่นขึ้นมาจากความฝันได้สติกลับมา ในเวลานี้ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว อดที่จะต้องส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมา

ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เมืองไป่หลานเฉิงทั้งเมืองร่วงหล่นลงไปนั้น ปรากฏเสียงกระบี่คำรามไม่ขาดสาย ผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งมากที่สุดของเมืองไป่หลานเฉิงพลันหนึ่งกระบี่ที่ค้ำยันฟ้า และพุ่งตัวขึ้นไปหวังจะหลบหนีออกจากเมืองไป่หลานเฉิงที่กำลังร่วงหล่นลงไป

ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น ยอดฝีมือผู้นี้ยังไม่ทันได้ออกไปจากเหวลึก ทันใดนั้น เสมือนหนึ่งมีมือที่ไร้รูปข้างหนึ่งพลันหักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ค้ำยันฟ้าของเขาทิ้ง ได้ยินเสียงดังปัง เสมือนดั่งใต้พื้นดินได้มีหนวดขนาดใหญ่ยื่นออกมา ขณะที่เขายังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกพันเอาไว้อย่างแน่นหนา และถูกลากตัวลงไปในเหวลึกทันที

“ไม่…” ยอดฝีมือผู้นี้ตกใจจนร้องเสียงแหลมขึ้นมา แต่ร่างของเขาก็หายไปพร้อมเสียงหวีดร้องของเขาในหุบเหวลึก

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จึงปรากฏเสียงดังปังขึ้นมาเสียงหนึ่ง เหมือนว่าเมืองไป่หลานเฉิงทั้งเมืองได้ตกลงไปจนถึงก้นเหวลึกแล้วในที่สุด พื้นดินได้สั่นสะเทือนทีหนึ่ง

หลังจากนั้น มีแต่ความเงียบสงัด เมืองไป่หลานเฉิงหายไปกลางอากาศ เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์บนพื้น มองลงไปด้านล่างลึกไม่เห็นก้นหลุม เหมือนหนึ่งเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์กำลังอ้าปากกว้างของมันอย่างนั้น

เมืองไป่หลานเฉิงหายไปเพียงชั่วข้ามคืน เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ประชากรจำนวนหลายหมื่นคนได้หายตัวไปอย่างสิ้นเชิงโดยไร้ร่องรอย

จังหวะที่เมืองไป่หลานเฉิงหายไปพริบตาเดียวนั้น ที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพลันพวยพุ่งกลิ่นอายขึ้นมากะทันหัน โดยที่กลิ่นอายสายนี้น้อยคนนักที่จะสังเกตเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ที่ห่างไกลออกไปแล้ว

แต่ว่า จังหวะที่เมืองไป่หลานเฉิงหายไปพริบตาเดียวนั้น และขณะที่กลิ่นอายสายนั้นพวยพุ่งขึ้นมา หลี่ชิเย่ที่เดิมกำลังฝึกปรืออยู่ภายในวังพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา จ้องมองไปข้างหน้า และในเสี้ยววินาทีนั่นเอง ดวงตาทั้งสองของเขาได้พวยพุ่งประกายที่น่ากลัวอย่างยิ่งออกมา เสมือนดั่งก้าวข้ามท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและหมื่นอาณาจักร ฉับพลันก็ไปสาดส่องอยู่บนระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นอย่างนั้น

หลังจากที่หลี่ชิเย่ถูกทำให้ตื่นชั่วครู่หนึ่ง ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานที่เขาจิ่วเหลียนซานก็ถูกทำให้ตื่นขึ้นมา เขาอดที่จะเบิ่งตามองและพึมพำขึ้นมาว่า “กลิ่นอายนี้ดูจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”

นาทีนี้เอง หลี่ชิเย่ได้ออกมาจากห้องและมองไกลไปบนท้องฟ้า แววตาก้าวข้ามมิติ เสมือนหนึ่งตรงไปจนถึงบริเวณที่ไกลที่สุดบนโลก

“คุณชาย…” ปิ้งจวินที่คอยให้การคุ้มครองอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ออกมาจากการกักตน

หลี่ชิเย่มองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืน จากนั้น ได้กล่าวกับหลิ่วชูฉิงและทุกกคนว่า “ข้าจะไปที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นสักหน่อย ที่นี่มอบให้พวกเจ้า รอให้เสร็จธุระแล้วข้าก็จะกลับมา”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิ่วชูฉิงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความกังวล เมื่อเห็นหลี่ชิเย่จะจากไปโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน

หลี่ชิเย่ลูบไล้เส้นผมของนางแผ่วเบา มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ห่างไกลออกไป เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ขณะนี้ยังไม่รู้ แต่ว่าจะได้คำตอบเร็วๆ นี้แล้ว มันหาใช่เรื่องที่เป็นมงคล เจ้าวางใจรั้งอยู่ที่ตรงนี้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”

หลิ่วชูฉิงนั้นเป็นคนที่เชื่อฟัง และอ่อนโยนอย่างยิ่ง พยักหน้าเบาๆ

“คุณชายเดินทางด้วยความวางใจ ความปลอดภัยของพระนางมีพวกเรารับผิดชอบ” ก่อนที่หลี่ชิเย่จะออกเดินทาง พวกปิ้งจวินได้คำนับและคารวะต่อหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่พยักหน้า เมื่อมีพวกของปิ้งจวินนั่งควบคุมระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผู้ที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงในแดนลัทธิราชันที่จะมารุกรานได้เรียกว่ามีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น

หลี่ชิเย่ก้าวเท้าข้ามท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และหายไปท่ามกลางทะเลดวงดาวที่สุดลูกหูลูกตาในชั่วพริบตาเดียว

ที่เขาจิ่วเหลียนซาน เดิมชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานรู้สึกสนใจในกลิ่นอายที่ปะทุขึ้นมากะทันหันนี้ แต่ทว่า เมื่อเขาพบว่าหลี่ชิเย่ได้ออกเดินทางแล้วเขาจึงยกเลิกความตั้งใจนี้เสีย

“เอาเถอะ ในเมื่อฝ่าบาทเดินทางไปด้วยตนเองแล้ว ก็ต้องมีความชัดเจนแน่นอน” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะ และส่ายหน้า จากนั้นก็สูบกล้องยาสูบของตนต่อไป

หลี่ชิเย่กระโดดข้ามทางช้างเผือก ก้าวข้ามมิติ อาศัยความเร็วที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมทะลุผ่านระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิแล้วระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเล่า สุดท้าย ไปถึงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ก้าวเท้าก้าวเดียวก็เข้าไปอยู่ในอาณาเขตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น

หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว หลี่ชิเย่ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งขณะยืนอยู่ที่ตรงนั้น สูดเอากลิ่นอายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง

ในเวลานี้เอง เมื่อหายใจเอากลิ่นอายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้ว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลได้กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ปล่อยให้หญ้าขึ้นรก เป็นพื้นที่ที่แตกสลาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูงหรือทะเลล้วนแล้วแต่สูญสิ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ เสมือนดั่งเป็นโลกที่กำลังใกล้จะตายอย่างนั้น

เมื่อลองลิ้มรสกลิ่นอายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นก็คล้ายดั่งเป็นโลกรกร้างว่างเปล่าที่แห้งแล้ง เหมือนว่าอีกไม่นานก็จะต้องแตกสลายและกลับกลายเป็นทะเลทราย และหรือระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดจะทยอยแตกละเอียดลง

แต่ว่า เมื่อลิ้มลองรสชาติอย่างละเอียดอีกครั้งก็จะพบว่า ท่ามกลางกลิ่นอายที่แห้งขอดถึงกับได้ห่อหุ้มกลิ่นอายที่เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาอยู่สายหนึ่ง โดยกลิ่นอายสายนี้มีพลังน่าเกรงขาม เสมือนดั่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตอย่างนั้น เหมือนว่าข้างในนั้นได้ห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงเปี่ยมด้วยพลัง…

ไม่ถูก…เมื่อหลี่ชิเย่ได้แยกแยะกลิ่นอายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นอย่างละเอียดอีกครั้ง เขารับรู้ถึงพลังอีกสายหนึ่ง เพ่งสายตาไปข้างหน้า ถึงกับมีท่าทีที่หนักแน่นขึ้น

ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้ลงแตะพื้น เท้าลงไปยืนอยู่กับพื้นทั้งสองข้าง เขายื่นมือออกไป ทาบลงบนพื้นดินช้าๆ มือได้จมฝังอยู่ในดิน

เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้หลับตาลงช้าๆ รับรู้ผืนแผ่นดินผืนนี้เงียบๆ รับรู้ถึงการเต้นของชีพจรระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิแห่งนี้

ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อไปรับรู้ถึงการเต้นของชีพจรระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิแห่งนี้ ก็จะรู้สึกได้ว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นได้ตกต่ำลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ที่รับรู้ได้ล้วนแล้วแต่เป็นความแห้งแล้ว ความเงียบสงัด ความเสื่อมโทรม กลิ่นอายสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดเสมือนดั่งชีพจรที่อ่อนมาก ยากที่จะรับรู้ถึงพลังจากผืนแผ่นดินผืนนี้ได้อีกแล้ว

แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับทะลุผ่านผืนแผ่นดินผืนนี้ ตรงเข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปผืนแผ่นดินผืนนี้ กระทั่งกล่าวได้ว่าตรงเข้าไปยังต้นกำเนิดสัจธรรมของแผ่นดินผืนนี้ ความรู้สึกของหลี่ชิเย่ได้ทะลุผ่านพื้นดิน ขณะยังอยู่ในระยะที่ห่างไกลมาก ก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งสายหนึ่ง เสมือนดั่งมหาสมุทรอย่างนั้น

สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่า ลึกลงไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นยังคงมีสัจธรรมที่น่าเกรงขาม มีพลังที่ยิ่งใหญ่ไพศาลดั่งทะเล แต่ทว่า ในบริเวณลึกลงไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้เอง เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างห่อหุ้มพลังนี้เอาไว้ มีอะไรบางอย่างไปปิดบังพลังนี้เอาไว้ ทำให้พลังของของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิไม่สามารถหล่อเลี้ยงระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้ ไม่สามารถหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ ไม่สามารถหล่อเลี้ยงภูเขาแม่น้ำของโลกใบนี้

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้ยังคงอยู่ เพียงแต่เหมือนดั่งเช่นระดับบรรพบุรุษผู้นั้นที่เคยมาทำการสำรวจและกล่าวเอาไว้อย่างนั้น การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่ตาย และไม่ตกลงสู่แดนลัทธิพรรษ ยังคงยืนตระหง่านอยู่ในแดนลัทธิราชันได้ นั่นเป็นเพราะต้นกำเนิดสัจธรรมของมันยังคงมีพลังและน่าเกรงขามอะไรอย่างนั้น

“น่าสนใจ” สายตาของหลี่ชิเย่อดที่จะเพ่งตรงไปข้างหน้า สายตาของเขาเสมือนดั่งทะลุผ่านพื้นแผ่นดิน ตรงไปสำรวจบริเวณที่ลึกลงไปใต้พื้นดินอย่างนั้น

หลี่ชิเย่ลุกขึ้นยืนและละสายตากลับมา จากนั้นมองไปยังที่ที่ห่างไกลแล้วเหินฟ้าขึ้นไปยังเส้นขอบฟ้า หนึ่งก้าวหนึ่งฟ้าดิน ภายในก้าวเดียว หลี่ชิเย่ก็ได้ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าเมืองไป่หลานเฉิง

แน่นอน เวลานี้ไม่มีเมืองไป่หลานเฉิงอะไรนั่นอีกแล้ว เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นก้นหลุม เป็นหุบเหลลึกหมื่นจ้างแห่งหนึ่ง เมื่อมองลงไปยังบริเวณที่ลึกที่สุด เห็นเพียงมืดตึ๊ดตื๋อเท่านั้น เหมือนไม่สามารถมองเห็นอะไรชัดเจนได้เลย

หลี่ชิเย่ร่อนลงพื้นแล้วก็มายืนอยู่บริเวณข้างๆ ของหุบเหวลึกนี้ นั่งยองๆ แล้วใช้มือลูบคลำพื้นแผ่นดิน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

การหายไปอย่างกะทันหันของเมืองไป่หลานเฉิง หาใช่เป็นเพราะแผ่นดินยุบตัว หรือภัยพิบัติเกี่ยวกับสภาพของพื้นดินอะไร แต่เป็นการถูกอะไรบางอย่างจัดการฉุดลากเอาเมืองไป่หลานเฉิงลงไปยังใต้ดิน คล้ายดั่งเป็นมารร้ายที่จัดการลากเอาเมืองไป่หลานเฉิงทั้งเมืองลงไปในหุบเหวลึกหมื่นจ้างภายในชั่วข้ามคืนอย่างนั้น

“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยแล้วก้าวเท้าลงไป มุ่งหน้าตรงไปยังหุบเหวลึกหมื่นจ้างที่มืดตึ๊ดตื๋อ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อเห็นเมืองไป่หลานเฉิงที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้หายไปทั้งเมืองเพียงชั่วข้ามคืน เกรงว่าคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก้าวลึกลงไปยังหลุมลึกแห่งนี้แล้ว

หลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้แม้แต่น้อย เหินลงไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์และสงบนิ่ง

ครั้นหลี่ชิเย่ลงไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ได้ยืนอยู่บนหน้าผาที่มีบริเวณยื่นออกมา คว้าเอาดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ ดินนั้นชุ่มน้ำ หลี่ชิเย่จัดการบีบมันให้ละเอียด ดินได้ไหลออกไปจากมือระหว่างนิ้ว

หลี่ชิเย่รับรู้ถึงกลิ่นอายของดินทุกตารางนิ้ว หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างเพ่งตรงไปข้างหน้า พริบตาเดียวนั่นเอง เขาสามารถจับกลิ่นอายที่อ่อนแอมากๆ สายหนึ่งที่พบได้ยากยิ่ง

กลิ่นอายที่อ่อนแอมากๆ สายนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง แต่ว่า กลิ่นอายพิเศษนี้นับว่าคุ้นเคยมากเหลือเกินสำหรับหลี่ชิเย่

ในต้นสามเซียน ในดินสีดำล้วนแล้วแต่เคยมีกลิ่นอายเช่นนี้อยู่

“ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย มิน่าเล่าชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานจึงได้บอกว่ากลิ่นอายนี้คุ้นเคยนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาเพ่งสายตาไปข้างหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ตาเฒ่านะตาเฒ่า เอาตัวข้ามาใช้แรงงานหนัก คิดจะให้ข้าย่ำให้ทั่วแดนสามเซียนอย่างนั้นรึ? คนอย่างข้าคิดค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่วเลยนะจะบอกให้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะจ่ายไหวหรือเปล่า”

คำพูดประโยคหลังหาใช่หมายถึงชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซาน แต่พูดถึงคนอีกคนหนึ่ง

……………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *