Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2566 หลี่ยวี่เจิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2566 หลี่ยวี่เจิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2566 หลี่ยวี่เจิน
แว้งค์…เสียงหนี่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าของหุบเหวลึกหมื่นจ้างพลันมีประตูเปิดออกบานหนึ่ง คนผู้หนึ่งก้าวข้ามท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมาถึง เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง นางยืนอยู่บนท้องฟ้า ขมวดคิ้วนิดหนึ่งและก้มหน้ามองดูหุบเหวลึกหมื่นจ้างที่อยู่ด้านล้าง มองดูเมืองไป่หลานเฉิงที่หายไป อดเพ่งสายตาตรงไปข้างหน้าไม่ได้

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อมองเห็นเมืองๆ หนึ่งหายไปอย่างฉับพลันทันทีต้องขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน และรู้ว่าที่ตรงนี้ต้องมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง สมควรหนีไปให้ไกลเสีย

แต่ทว่า ผู้หญิงคนนี้ทักษะยุทธสูงส่งและมีความกล้าหาญ หลังจากที่มองดูหุบเหวหมื่นจ้างด้านล่างแล้วก็เหินฟ้าลงไป ร่อนลงไปที่หุบเหวหมื่นจ้างช้าๆ

ไม่นานนัก ผู้หญิงคนนี้ก็ไปถึงที่ที่หลี่ชิเย่ยืนอยู่ เมื่อผู้หญิงคนนี้พบกับหลี่ชิเย่อดที่จะตะลึงนิดหนึ่ง และรู้สึกแปลกใจ

เดิมทีผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่าตัวเองจะต้องเป็นคนที่มาถึงที่ตรงนี้เป็นคนแรก ไม่นึกไม่ฝันว่าถึงกับมีผู้อื่นที่เร็วว่าตนก้าวหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง อดที่จะพินิจพิจารณาหลี่ชิเย่อย่างละเอียด ต้องการรู้ว่าเป็นใครมาจากไหน

ขณะที่ผู้หญิงคนนี้กำลังพินิจพิจารณาหลี่ชิเย่อยู่นั้น สายตาของหลี่ชิเย่ก็ตกไปอยู่บนตัวของผู้หญิงคนนี้ และพินิจพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตานั้นช่างเป็นไปตามอารมณ์เหลือเกิน ช่างตามอำเภอใจเหลือเกิน ในสายตาของผู้อื่นมองว่านี่เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง

ผู้หญิงคนนี้มีความงดงามน่าประทับใจ เรียกได้ว่าความงดงามของนางทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ เวลาที่ผู้อื่นมองเห็นนางนั้นมักอดที่จะต้องแหงนหน้ามองไม่ได้ และเคารพยำเกรงอยู่ในใจ

รูปโฉมของผู้หญิงคนนี้นับว่างดงามโดยแท้ โครงหน้าที่งดงามละเอียดอ่อนเสมือนดั่งเป็นงานศิลปะที่บรรจงแกะสลักอย่างละเอียด ยากที่จะหาข้อตำหนิได้ นัยน์ตาคู่นั้นของนางเสมือนหนึ่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่งประกายแวบวับดุจดั่งประกายของอัญมณีอย่างนั้น

คิ้วงดงามสีดำเขียวดั่งภูเขาที่อยู่ห่างไกล เปี่ยมด้วยเสน่ห์น่าพิสมัย ทำให้ผู้ที่พาลพบเห็นแล้วก็ยากจะลืมเลือน ทำให้ผู้คนเปี่ยมด้วยจินตนาการ

ความงดงามของผู้หญิงผู้นี้ให้ความรู้สึกที่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แม้ว่าฉินเจี้ยนเหยาเองก็มีลักษณะที่หลุดพ้นจากโลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่ว่า ยังคงให้ความรู้สึกถึงความไม่แท้อย่างหนึ่ง แต่ว่าความรู้สึกที่ผู้หญิงซึ่งอยู่ตรงหน้าดูช่างเป็นความจริงอะไรอย่างนั้น ทำให้สามารถรู้สึกได้อย่างสิ้นเชิง

ผู้หญิงคนนี้ประดุจชิ้นหยกที่งดงามท่ามกลางหุบเขาที่ลึกและเงียบ ดั่งหยกที่ทั้งอบอุ่นเยือกเย็นซึ่งกลมกลืนเข้ากันได้ดี ทั้งยังมีความสูงส่งและบริสุทธิ์ ด้วยหยกชิ้นงามลักษณะเช่นนี้ กล่าวได้ว่าคือของล้ำค่ายากจะได้พบเห็นในหล้า

ผู้หญิงคนนี้สวมชุดที่หลากสีสัน งดงามตระการตาและยาวลากพื้น เสมือนดั่งนกยูงรำแพน แต่ก็ไม่ใช่สวยงามวิจิตตระการตาดั่งนกยูงแบบนั้น แต่เป็นความงดงามที่หลุดพ้นจากจารีตประเพณีทั่วไป

สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนโดยพลันหาใช่ความงดงามของนาง แต่เป็นพลังสายนั้นที่อยู่บนตัวของนาง บนตัวของนางมีพลังของการปกครองใต้หล้าอยู่สายหนึ่ง และมีกลิ่นอายที่เป็นหนึ่งแต่ผู้เดียวทั่วหล้า

ตามหลักแล้ว การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีพลังของการปกครองใต้หล้า และมีกลิ่นอายที่เป็นหนึ่งแต่ผู้เดียวทั่วหล้าบนตัวนั้น จะแลดูสูงส่งโดดเด่นยิ่งนัก แต่ก็เป็นเรื่องแปลก เมื่อกลิ่นอายลักษณะเช่นนี้อยู่บนตัวนางกลับไม่ได้มีความสูงส่งโดดเด่นแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีความพอเหมาะพอดีอีกด้วย

ผู้หญิงลักษณะเช่นนี้ ให้ความรู้สึกถึงสู้ก็สู้เลย การเข่นฆ่าสังหารที่เด็ดขาด มีท่าทีที่สู้รบทั่วหล้าอย่างดุเดือดบ้าคลั่ง

ผู้หญิงลักษณะเช่นนี้ดูจะขัดแย้งในตัวอย่างยิ่ง แต่ก็ดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก การที่บนตัวของนางเปล่งกลิ่นอายลักษณะเช่นนี้ออกมา ทำให้ผู้คนบังเกิดความเคารพยำเกรงอยู่ในใจ

ผู้หญิงคนนี้เรียกว่าได้เก็บงำพลังของตนแล้ว แต่ทว่า ขณะเคลื่อนไหวยังคงมีท่าทีที่อยู่เหนือใต้หล้า นางต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งมากคนหนึ่งแน่นอน

จังหวะที่หลี่ชิเย่พินิจพิเคราะห์ผู้หญิงคนนี้ ขณะเดียวกันผู้หญิงคนนี้ก็ได้พิจารณาหลี่ชิเย่อยู่เช่นกัน สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้มองเห็นตรงหน้าคือผู้ชายที่ธรรมดาๆ ไม่สะดุดตา สวมชุดธรรมดาเหมือนหนึ่งมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่ง เหมือนว่าพร้อมจะกลืนหายไปท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้ตลอดเวลา

แต่ทว่า เมื่อมองดูให้ละเอียดอีกครั้ง พบว่าผู้ชายคนนี้มีจิตใจที่ลึกและกว้างใหญ่ดั่งหุบเขา ลึกล้ำยากจหยั่งถึง ดวงตาคู่นั้นแม้ว่าไม่ได้มีอะไรที่สะดุดตามากเป็นพิเศษ แต่ว่า เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว ก็จะรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ยิ่งใหญ่ไพศาลดั่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มีดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่

“ยวี่เจินละลาบละล้วง ไม่ทราบว่าพี่ท่านมีนามว่ากระใด?” ผู้หญิงคนนี้จ้องมองหลี่ชิเย่ และเปิดปากพูดขึ้นมา เสียงของนางไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก ก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางหุบเขา น่าฟังอย่างยิ่ง

ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่ายวี่เจินก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง นางกักตนมาช่วงหนึ่ง เหตุใดจึงมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงโผล่ขึ้นมาได้อย่างไรกัน ตามหลักแล้ว ผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรทั่วทั้งแดนลัทธิราชันนางรู้หมด กระทั่งเรียกได้ว่ารู้จักด้วยซ้ำ

แต่ทว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นางกลับไม่มีอยู่ในความทรงจำใดๆ เลย แม้ว่านางจะครุ่นคิดอย่างหนักก็ยังคงนึกไม่ออกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครกันแน่ ในความทรงจำไม่มีใครสามารถเทียบแล้วเข้ากันได้สักคน

“หลี่ชิเย่” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ ทีหนึ่ง

“ที่แท้ก็คนบ้านเดียวกัน” ผู้หญิงคนนี้เผยรอยยิ้มเรียบๆ ขึ้นมา ดูงดงามยิ่งนัก ทำให้ผู้คนมีจิตใจหวั่นไหว และกล่าวว่า “น้องเองก็แซ่หลี่เหมือนกัน”

“นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้นำมาใส่ใจมากนัก ท่าทางตามอารมณ์ยิ่งนัก

ท่าทางลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ พลันทำให้หลี่ยวี่เจินยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น ยิ่งทำให้นางอยากรู้อยากเห็น ในแดนลัทธิราชัน ถ้าหากนางแจ้งชื่อของตนออกมา เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่ไม่รู้จักชื่อของนาง กล่าวได้ว่า แดนลัทธิราชันในยุคปัจจุบันต่างก็รู้ว่านางเป็นใคร

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อรู้ว่านางเป็นใครแล้ว ท่าทีตื่นตระหนก เลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนบูชาต่างๆ มีหมดทุกอย่าง แต่กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีความเป็นอิสระ นิ่งไม่สะทกสะท้าน นางเพิ่งจะได้พบเห็นเป็นครั้งแรก

“พี่ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายใดมาอาละวาดอยู่ที่นี่?” เมื่อหลี่ยวี่เจินได้สติกลับมาจึงเอ่ยถามหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้เป็นการชั่วคราว การลงความเห็นสรุปตอนนี้ยังเร็วเกินไป แต่ว่า สิ่งนี้หาใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาวันสองวัน เรื่องราวเช่นนี้มีเชื้อไฟมานานแล้ว”

“ความหมายของพี่ท่าน…” หลี่ยวี่เจินอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “หรือว่าเบื้องหลังนี้ยังมีแผนชั่วอย่างนั้นรึ?”

“ไม่ถึงกับเป็นแผนชั่วอะไร เพียงแต่มีสิ่งๆ หนึ่งมายึดครองอยู่ที่ตรงนี้ตลอดมาเท่านั้นเอง นกเขาแย่งรังนกตัวอื่นก็ประมาณนี่แหละ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา

“เป็นเช่นนี้จริงรึ?” หลี่ยวี่เจินอดที่จะตื่นตระหนก และกล่าวว่า “หรือว่าเป็นจริงอย่างที่ปฐมบรรพบุรุษผู้นั้นได้กล่าวเอาไว้อย่างนั้น ต้นกำเนิดสัจธรรมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นยังคงอยู่ มันยังคงคึกคักมีชีวิตชีวาอยู่”

“หากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจึงไม่ตกลงสูงแดนลัทธิพรรษ ยังคงยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางแดนลัทธิราชัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย

“ตามที่พี่ท่านพูดมา มีสิ่งหนึ่งยึดครองอยู่ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น นกเขาแย่งรังนกตัวอื่น” ท่าทางของนกเขาแย่งรังนกตัวอื่นที่ขอคำชี้แนะด้วยความถ่อมตัวอย่างยิ่ง และกล่าวว่า “เจ้าสิ่งนี้มันอยู่ที่ใดกันแน่เล่า? หากว่ายึดครองต้นกำเนิดสัจธรรมจริงๆ ย่อมต้องมีร่องรอย”

“ตอนนี้ยังพูดยาก” หลี่ชิเย่มองดูหุบเหวลึกที่อยู่เบื้องล่าง และกล่าวว่า “ครั้งนั้น ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นขณะทำการหลอมกลั่นพื้นที่แห่งนี้ ได้อาศัยอภินิหารและสิ้นเปลืองพลังกายใจไม่น้อย ใช้ของวิเศษล้ำค่าจำนวนมากในการก่อสร้างฐานราก ด้านล่างของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งนี้เรียกได้ว่ามีความลึกซึ้งยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เส้นทางคดเคี้ยวที่เชื่อมไปยังสถานที่ที่ลึก เปลี่ยวและเงียบสงบมีนับไม่ถ้วน หากจะให้เจาะจงที่อยู่ของสิ่งนี้ยังเร็วเกินไป”

“ยวี่เจินมาถึงสถานที่แห่งนี้ เคยรับรู้ได้ว่าใต้พื้นดินมีพลังที่น่าเกรงขามมาก แต่เหมือนถูกอะไรบางอย่างตัดขาดไปอย่างนั้น ทำให้ไม่สามารถเห็นตำแหน่งที่แท้จริงได้” หลี่ยวี่เจินอดที่จะเอียงคอ ทำขมวดคิ้วทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมา

“มีความรู้สึกเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยและกล่าวว่า “ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นใม่ได้หมดกำลัง เพียงแต่มีคนไปยึดครองเอามาเป็นของตนเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลี่ยวี่เจินอดที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “เล่าลือกันว่า ในช่วงที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นยังอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรื่องสุดขีด เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็เริ่มเสื่อมลง มีผู้กล่าวว่า ในคืนนั้นมีสิ่งหนึ่งจากนอกโลกบินลงมา ตกลงมาที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นคล้ายดั่งเป็นดาวตกอย่างนั้น มีผู้กล่าวว่านี่คือความอัปมงคล เป็นลางบอกเหตุว่าระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจะเริ่มเสื่อมสลายลง”

“ลางบอกเหตุไม่แน่เสมอไป” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “โลกของผู้บำเพ็ญตนอย่างพวกเราไหนเลยมีลางบอกเหตุมากมายเช่นนี้ หากคำเล่าลือนี้เป็นจริง เบื้องหลังต้องซ่อนความลึกลับเอาไว้”

หลี่ยวี่เจินพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ จากนั้นนางอดที่จะมองลงไปยังหุบเหวลึกที่อยู่ใต้เท้า ข้างล่างยังคงลึกสุดประมาณ และมีแต่ความเงียบสงัด

“พี่ท่านสนใจที่จะลงไปสืบเสาะสักครั้งหรือไม่?” หลี่ยวี่เจินได้พูดเชื้อเชิญต่อหลี่ชิเย่ว่า “ท่านกับข้าลงไปสืบเสาะด้วยกันเป็นไร?”

“ไม่มีปัญหา” หลี่ชิเย่เองก็ไม่ปฏิเสธ เดิมเขาก็มาด้วยเรื่องนี้อยู่แล้ว พยักหน้า และตอบตกลงคำเชิญของหลี่ยวี่เจิน

หลี่ชิเย่ กับหลี่ยวี่เจินยืนเคียงคู่กัน ทั้งสองคนร่อนลงไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังหุบเหวลึกที่ลึกมากกว่านี้

ระหว่างการเดินทางลึกลงไป หลี่ยวี่เจินอดที่จะมองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่ข้างกาย นางรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านับว่าไม่สามารถมองได้ทะลุจริงๆ นับว่าลึกล้ำยากจะหยั่งถึงโดยแท้

ในที่สุดหลี่ยวี่เจินก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าพี่ท่านมาจากที่ใดรึ?”

“ข้าแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้นเอง ผู้เดินทางผ่านมาของแดนลัทธิราชัน มาจากที่ใดนั้นดูจะไม่สำคัญ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย

“พี่ท่านคงมาจากแดนลัทธิพรรษ!” ครั้นหลี่ยวี่เจินได้ยินหลี่ชิเย่พูดเช่นนี้ถึงกับรู้สึกประหลาดใจ ต้องเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งและกล่าวว่า “พี่ท่านสามารถก้าวข้ามแดนลัทธิพรรษ มุ่งไปยังแดนลัทธิเซียน เรียกว่าอยู่เหนือยวี่เจิน”

“เจ้านับว่าฉลาดมาก” หลี่ชิเย่อดที่จะหัวเราะขึ้นมา พยักหน้าและกล่าวว่า “ผู้หญิงฉลาดล้วนแล้วแต่ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน”

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าพลังอำนาจสยบทั่วหล้า มีชื่อเสียงโด่งดังไม่มีใครในแดนลัทธิราชันที่ไม่รู้จักนาง ปรกติแล้วไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ชื่นชมนาง ยกยอนาง แต่ว่าคำพูดที่ยกยอก่อนหน้านั้นล้วนแล้วแต่เทียบไม่ได้กับคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่ที่พูดได้น่าฟัง และรื่นหูยิ่งกว่า

“พี่ท่านควรคู่ให้ยวี่เจินได้เรียนรู้” หลี่ยวี่เจินพูดขึ้นท่าทีจริงจังว่า “ยวี่เจินเองก็ตั้งปณิธานที่แดนลัทธิเซียน เพียงแต่เวลานี้ทักษะยังอ่อน ไม่กล้าออกเดินทาง”

สมควรทราบว่า หลี่ยวี่เจินคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งมากที่สุด เวลานี้นางพูดเองว่าตนเองทักษะยังอ่อนด้อย ถ้าหากมีคนนอกมาได้ยินคำๆ นี้ รับรองว่าจะต้องอ้าปากตาค้างแน่นอน

“ต้องมีโอกาสอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่พยักหน้ามั่นใจในตัวหลี่ยวี่เจิน หัวเราะและกล่าวว่า ” เจ้าย่อมต้องมีวันที่ได้เดินทางไปโลดแล่นอยู่บนแดนลัทธิเซียน”

“หวังว่าเป็นไปตามที่พี่ท่านพูดเอาไว้” หลี่ยวี่เจินใบหน้าเปือนรอยยิ้ม งดงามไม่สามารถเปรียบเปรย ความงดงามของนางนั้น ช่างดูไม่รู้จักเบื่อเลยจริงๆ

“ไม่ทราบว่าพี่ท่านจะออกเดินทางไปแดนลัทธิเซียนเมื่อไร?” หลี่ยวี่เจินกล่าวว่า “วันหน้าหากมีเวลา ยวี่เจินมีสิ่งที่ไม่เข้าใจ ยังอยากจะขอคำชี้แนะจากพี่ท่านบ้างนะ”

ขณะหลี่ยวี่เจินพูดคำๆ นี้ออกมานั้นมีความจริงใจอย่างยิ่ง นางต้องการขอคำชี้แนะด้วยความจริงใจ

หากมีบุคคลภายนอกอยู่ตรงนี้จะต้องรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แดนลัทธิราชันในวันนี้ยังจะมีใครสามารถชี้แนะนางได้ ทอดสายตามองไปทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน ผู้ที่สามารถให้การชี้แนะหลี่ยวี่เจินได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ใช้นิ้วมือสามนิ้วก็นับได้ครบ

……………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *