Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2570 หลินยี่เสวี่ย

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2570 หลินยี่เสวี่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2570 หลินยี่เสวี่ย
ซากปรักหักพังบริเวณนี้ บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างล้วนแล้วแต่พังครืนลงมาแล้วทั้งหมด ถ้าหากสังเกตให้ละเอียดอีกครั้ง ก็จะพบว่ากองซากปรักหักพังที่เป็นของบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เกิดจากการถูกแรงสะเทือนจนแหลกละเอียดมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ อาศัยเศษผนังที่แตกหักสามารถมองออกว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่กลุ่มสิ่งปลูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ เคยมีบ้านเรือนวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ตรงนี้ กระทั่งที่ตรงนี้เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองโบราณแห่งนี้ทั้งหมด

ด้านนอกของกองซากปรักหักพังมีเหล่าขอทานนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางมุมของผนังและกำแพงที่แตกหัก กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา

หลี่ชิเย่อดที่จะยิ้มจางๆ ไม่ได้เมื่อเห็นบรรดาขอทานเหล่านี้ ใช้เท้าเตะที่ตัวขอทานเหล่านี้ไปตามอารมณ์เพื่อปลุกให้ตื่น กล่าวสำหรับผู้ที่กำลังนอนหลับลึกท่ามกลางความฝันแล้ว การที่ถูกเตะให้ตื่นโดยพลันนั้นเป็นเรื่องที่น่าโมโหอย่างยิ่ง แต่ทว่า เมื่อมองเห็นเงินและทองที่แวววาวอยู่ตรงหน้า ตาทั้งสองข้างของบรรดาขอทานเหล่านี้พลันถูกดึงดูดเอาไว้

“วันสุดท้ายของเมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังจะมาถึงแล้ว ไปกินอย่างดีสักมื้อเถอะ อย่างน้อยก็ได้เป็นผีที่อิ่มหนำสำราญขณะเดินทาง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และโยนเงินทองของมีค่าเหล่านี้ไปให้กับขอทานเหล่านี้ไปตามอารมณ์

“ให้ ให้ ให้พวกเราหรือ?” ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านี้ หลี่ชิเย่มองเหมือนของไร้ค่า ขณะที่ขอทานที่อยู่ตรงหน้ามองว่ามันเป็นความร่ำรวยและโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เสมือนหนึ่งภูเขาเงินภูเขาทองที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างนั้น

“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยทีหนึ่ง

“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน” ขอทานเหล่านี้ดีใจเป็นที่สุด ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว โขกศีรษะพลาง ยื้อแย่งทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้า

กล่าวสำหรับบรรดาขอทานเหล่านี้แล้ว มันเสมือนดั่งความฝันอย่างนั้น เหมือนว่ามีภูเขาทองภูเขาเงินตกลงมาท่ามกลางความฝันอย่างนั้น พวกเขาต่างเข้าใจว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ต่างอดที่จะหยิกขาของตนอย่างแรงทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีความเจ็บปวดจึงรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝัน มันคือความจริง ทำให้น้ำตาอุ่นๆ ของพวกเขาไหลอาบแก้ม

หลี่ชิเย่มองดูบรรดาขอทานเหล่านี้แย่งเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหล่านี้ไปจนหมดแล้ว ได้สั่งการเรียบเฉยไปว่า “ไปแจ้งต่อชาวโลกว่า เมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังจะพังพินาศย่อยยับแล้ว รีบหนีกันไปเถอะ หนีไปให้ได้ไกลเท่าไรยิ่งดี ถือโอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่ บางทีอาจสามารถรอดชีวิตไปได้”

บรรดาขอเทานเหล่านี้เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง แต่ว่า เมื่อรับเงินคนอื่นแล้วไหนเลยที่พวกเขาจะไม่เห็นด้วย จึงโขกศีรษะทันทีและกล่าวว่า “นายท่านโปรดวางใจ พวกเราจะต้องกระจายข่าวนี้ออกไป”

หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจพวกเขา เดินเข้าไปยังบริเวณซากปรักหักพังโดยลำพัง

หลังจากบรรดาขอทานเหล่านี้ได้ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไปแล้ว ไปสั่งอาหารนั่งกินกันก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นอาหารป่าอาหารทะเลที่ปรกติไม่กล้าแม้แต่จะคิดก็สั่งมากินกันมากมาย หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว บรรดาขอทานเหล่านี้ก็ไม่ลืมเรื่องที่หลี่ชิเย่ได้สั่งเอาไว้ จัดการเอาคำพูดของหลี่ชิเย่แพร่กระจายออกไป

ในเวลานี้ ทุกตรอกซอกซอยของเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ปรากฏข่าวลือสะพัดว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงจะล่มสลาย” ขึ้นมา แน่นอน ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้วไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น กระทั่งได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังจากจิบน้ำชาหรือรับประทานอาหารไปแล้ว มีบ้างที่มีคนให้ความสนใจ และใส่ใจกับมันอย่างเงียบๆ

แน่นอน ในเมืองหมิงลั่วเฉิงจะมีใครให้ความสนใจกับข่าวนี้หรือไม่ มีคนที่ได้ยินข่าวนี้ก็หลบหนีออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิงหรือไม่นั้น ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องที่หลี่ชิเย่ต้องใส่ใจ เขาแค่พยายามทำเท่านั้น ส่วนประชาชนของเมืองหมิงลั่วเฉิงสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตของพวกเขาเองแล้ว

หลังจากที่หลี่ชิเย่เดินเข้าไปในบริเวณซากปรักหักพังแล้ว ก็ไปนั่งอยู่บริเวณที่เป็นมุมของกำแพงที่พังถล่มลงมา ถือว่าพอจะหลบฝนกันลมได้ จึงนั่งเดินลมปราณอยู่ตรงนี้ เสมือนดั่งนอนหลับแล้วอย่างนั้น

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เช่นฮ่องเต้นั้นเขาชินกับมันได้ กินกลางดินนอนกลางทรายเขาก็ไม่ได้มีปัญหา สามารถรับได้โดยไม่มีปัญหา กล่าวสำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านไปเท่านั้นเอง

หลี่ชิเย่อาศัยบริเวณซากปรักหักพังแห่งนี้พักค้างแรม เข้าฌานบรรลุธรรม การทิ้งตัวนั่งลงท่ามกลางซากปรักหักพังนี้ดุจดั่งรากงอกอย่างนั้น ทันใดนั้น ตัวของเขาเสมือนหนึ่งได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกับซากปรักหักพังนี้จนเป็นเนื้อเดียวกัน บริเวณก้นของเขาคล้ายดั่งมีรากงอกออกมาและชอนไชลงสู่ส่วนที่ลึกลงไปใต้พื้นดิน

หนึ่งคืนผ่านไป หลี่ชิเย่นังขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว แม้จะมีน้ำค้างลงหนาทึบก็ไม่ได้รบกวนต่อหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย

“นี่…” เพิ่งจะเช้าตรู่ ขณะที่พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า เสียงที่ไพเราะยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น รบกวนการฝึกปรือของหลี่ชิเย่

ขณะที่หลี่ชิเย่ค่อยๆ ลืมตาสองข้างขึ้นมานั้น รองเท้าบู๊ทคู่หนึ่งได้ปรากฏอยู่ในสายตา มันเป็นรองเท้าบู๊ทที่งดงามมีราคายิ่งคู่หนึ่ง ตัดด้วยหนังของเสือดาววายุ บริเวณปลายรองเท้าหุ้มด้วยเงินชั้นเยี่ยม ฝังหยกสีเขียวไผ่ รองเท้าบู๊ทคู่ดังกล่าวแผ่กลิ่นอายดั่งวายุออกมา

แน่นอน สิ่งนี้หาใช่เป็นรองเท้าบู๊ทธรรมดาทั่วไปแน่ มันเป็นของวิเศษอย่างนหนึ่ง เมื่อสวมใส่รองเท้าบู๊ทเช่นนี้แล้ว ทำให้เจ้าของผู้สวมใส่สามารถวิ่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เวลาวิ่งหนีสามารถเพิ่มความเร็วของตนขึ้นได้ทันที

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด

ผู้หญิงคนนี้ท่าทางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด สวมใส่ชุดสีเขียวมรกต แลดูเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา รูปโฉมของผู้หญิงคนนี้ละเอียดอ่อนงดงาม ผิวกายอ่อนนุ่มเบาบางอย่างยิ่ง แน่นอน หากเปรียบเทียบกับหลิ่วชูฉิง ฉินเจี้ยนเหยาระดับนั้นล่ะก็ นางไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว

เมื่อเปรียบกับฉินเจี้ยนเหยาที่เป็นดั่งเทพธิดาแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเสมือนดั่งเป็นสาวงามที่มีความโดดเด่นในระดับท้องถิ่นเท่านั้น กลิ่นอายที่สดใสสายหนึ่งโชยเข้ามาปะทะใบหน้า

อกที่ตั้งขึ้นของผู้หญิงคนนี้บ่งบอกว่านางโตเป็นสาวและเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางมักจะแสดงท่าทีแอ่นอกขึ้นอยู่เสมอๆ ทำให้ทราบว่านางเป็นผู้หญิงที่ชอบเอาชนะและไม่ยอมแพ้คนหนึ่ง

“ข้าไม่ได้ชื่อนี่ ข้ามีชื่อ” หลี่ชิเย่มองดูผู้หญิงคนนี้แวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ช้าชื่อหลี่ชิเย่”

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นหลี่ชิเย่ หรือหลี่ปาเย่” ผู้หญิงคนนี้ส่งเสียงฮึเย็นชาและยืดอกของตนขึ้น ดูจะหยิ่งยโสอยู่บ้าง และกล่าวว่า “ข้าหลินยี่เสวี่ยมาที่นี่ไม่ได้ต้องการมาคบเป็นสหายกับเจ้า”

ผู้หญิงคนนี้เข้าสังคมมาน้อย พลันที่เอ่ยปากก็บอกชื่อของตนออกมา

“ข้าก็ไม่ได้ต้องการคบเป็นสหายกับเจ้าเช่นกัน” หลี่ชิเย่ยังคงนั่งตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้น ยิ้มเรียบเฉยสบายๆ

ในเวลานี้ หลินยี่เสวี่ยอดจะพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่ไม่ได้ มองดูผู้ชายที่ธรรมดาไม่สะดุดตาผู้นี้ อีกทั้งยังพักค้างแรมอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง พลันที่เห็นก็คือคนยากจนไม่เหมือนเป็นคนมีเงิน

“เจ้าก็คือผู้ที่ตบรางวัลเป็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่าให้กับบรรดาขอทานเหล่านั้น?” ในเวลานี้หลินยี่เสวี่ยถึงกับมองดูหลี่ชิเย่หลายที ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนเป็นผู้ที่มีเงิน ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเขาจะสามารถหยิบเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากมายถึงเพียงนี้มาตบรางวัลให้กับขอทานเหล่านั้นได้ตามอารมณ์

“ดูเหมือนจะใช่” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ

“ทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากมายเช่นนี้เจ้าไปเอามาจากไหน? คงไม่ใช่ขโมยมากระมัง” ภายในใจของหลินยี่เสวี่ยพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา อดที่จะจ้องมองดูหลี่ชิเย่หลายที และกล่าวว่า “รีบสารภาพความจริงมา มิฉะนั้นล่ะก็น่าดู พวกเราไม่อนุญาตให้มีโจรในเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น หากนิกายซูสือของข้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโจรใดๆ ก็ตามคิดจะก่อความวุ่นวายในเมืองหมิงลั่วเฉิงก็คือรนหาที่ตายเอง!”

ครั้นนางเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาที่งดงามคู่นั้นจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีดุดัน เหมือนว่าหลี่ชิเย่ก็คือโจรอย่างนั้น ถ้าหากเมื่อไรให้นางจับพิรุธว่าหลี่ชิเย่โกหกล่ะก็ น่าดูชมแน่

“ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเพียงเท่านี้ข้ายังสามารถเอาออกมาได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า แน่นอน กล่าวสำหรับเขาแล้วทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเช่นนี้ มันก็แค่ของไร้ค่าเท่านั้นเอง

“จริงหรือ…” เมื่อหลินยี่เสวี่ยฟังว่าทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเป็นของหลี่ชิเย่เอง นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อเป็นพิเศษ

หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก หากเจ้าไม่เชื่อสามารถไปถามขอทานเหล่านั้น”

หลินยี่เสวี่ยที่มองดูท่าทีของหลี่ชิเย่แล้วก็แยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ และมองไม่ออกว่าหลี่ชิเย่พูดโกหกหรือไม่

“เจ้าคงไม่มาด้วยเรื่องทรัพย์สินเงินทองของมีค่าของข้ากระมัง” หลี่ชิเย่มองดูหลินยี่เสวี่ยทีหนึ่ง และยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ที่ตรงนี้คือที่เปลี่ยวปลอดคน นับเป็นสถานที่ที่ลงมือปล้นชิงได้เหมาะที่สุด” กล่าวพลางมองไปยังรอบๆ

“ผาย ผาย ผายลมของเจ้า…” หลินยี่เสวี่ยพลันถูกคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนตัวสั่นเทา ใบหน้าแดงก่ำ สองมือเท้าเอว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าหลินยี่เสวี่ยเป็นใคร ข้ามีชาติกำเนิดมาจากนิกายซูสือ ข้ามีทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากมาย แค่ทรัพย์สินเงินทองของเจ้าเพียงเท่านี้จะอยู่ในสายตาของข้ารึ? เจ้า เจ้าอย่าได้ใช้คำพูดที่ชั่วช้าสามานย์มาใส่ความข้า!”

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองเห็นท่าทีของหลินยี่เสวี่ยทีโกรธจนหายใจเหนื่อยหอบ ไม่ต้องสงสัยว่าหลินยี่เสวี่ยนั้นไม่ค่อยได้เข้าสังคม ไม่มีประสบการณ์กับเรื่องราวต่างๆ ในโลก กระทั่งอาจจะไม่เคยได้ก้าวเท้าออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิงเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่ใช่มาด้วยเรื่องของทรัพย์สินเงินทองของมีค่า แล้วเจ้ามาด้วยเรื่องอะไร?” หลี่ชิเย่ทำท่าผายมือยิ้มหวานและกล่าวว่า “หรือว่าถูกใจข้า ดังนั้นคิดจะจับตัวข้ากลับไป ไปเป็นสามีของเจ้า”

“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าได้ใช้คำพูดที่สามานย์มากล่าวหาข้า” หลินยี่เสวี่ยโกรธจนตัวสั่น นิ้วมือที่ชี้ไปยังหลี่ชิเย่ก็ยังสั่นเทา กล่าวเสียงโมโหว่า “คนอย่างหลินยี่เสวี่ยข้าเป็นใคร ไหนเลยจะมองคนบ้านนอกอย่างเจ้าได้? เจ้า เจ้า เจ้าไม่ปัสสาวะมาส่องดูเงาของตน”

“ข้าปัสสาวะมาส่องดูแล้ว เท่จนไร้ผู้เปรียบปาน หล่อจนอย่าได้บอกใครเชียว” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “เจ้าต้องการจะเห็นข้าปัสสาวะส่องดูเงาตัวเองอีกสักครั้งหรือไม่?”

“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าหน้าไม่อาย…” ใบหน้าของหลินยี่เสวี่ยแดงก่ำ นางถึงกับก้าวถอยหลังไปหลายก้าว นางกลัวว่าหลี่ชิเย่จะทำการปัสสาวะต่อหน้าตนอย่างกะทันหันจริงๆ

“เอาล่ะ แม่หนูน้อยข้าหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น” หลี่ชิเย่อดหัวเราะไม่ได้ และโบกมือเบาๆ เหมือนไล่แมลงวันอย่างนั้น และกล่าวว่า “ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไร มาจากไหนก็กลับไปทางนั้น อย่ามารบกวนข้า”

ใบหน้าของหลินยี่เสวี่ยแดงก่ำเมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ และเตือนให้นางนึกถึงสาเหตุของการมาที่นี่ของนาง

หลินยี่เสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่ง่ายนักกว่าจะทำอารมณ์ให้สงบลง จ้องตาเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้า ข้า ข้าหลินยี่เสวี่ยเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่มาถือสากับเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณในบุญคุณอันยิ่งใหญ่” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยและกล่าวว่า “แม่นางไม่เพียงมีความงดงาม ทั้งยังมีจิตใจดีงาม นับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหมิงลั่วเฉิง”

มีผู้หญิงคนใดที่ไม่ชอบฟังคำพูดที่เยินยอเช่นนี้ หลินยี่เสวี่ยส่งเสียงฮึขึ้นมา เชิดคางทีหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่คำพูดนี้ทำให้นางมีความสุขและสบายใจอย่างยิ่ง

“แต่สมองไม่สู้จะฉลาดนัก ดุจแจกันใบหนึ่ง แค่หน้าตาดีเท่านั้น” เมื่อพูดถึงตอนท้าย หลี่ชิเย่ซัดเข้าให้ดอกหนึ่งด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

……………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *