Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2582 หนี

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2582 หนี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2582 หนี
แม้ว่าระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจะเสื่อมลงแล้ว แต่ว่า ยังคงมีผู้คนจำนวนมากที่เคยได้ยินชื่อของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ยังคงเคยได้ยินชื่อของตระกูลมู่

กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนก็คือผู้ที่อยู่สูงเด่น เหมือนเป็นผู้ที่อยู่สูงสุดบนสวรรค์ ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ปราศจากผู้เทียบเทียมตลอดกาล

ตระกูลมู่นั้นไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ชื่อเสียงบารมีของตระกูลมู่ได้สืบทอดมาชาติแล้วชาติเล่า ความไร้เทียมทานของตระกูลมู่นั้นได้เกรียงไกรมายุคแล้วยุคเล่า

ในความคิดของบรรดาผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ตระกูลมู่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ทอดสายตามองไปในแดนลัทธิราชันแล้วปราศจากผู้ต่อกร ผู้ยิ่งใหญ่ลักษณะเช่นนี้ สามารถเหยียบใครสักคนก็ได้ให้ตายตามอารมณ์ สามารถทำลายสำนักใดๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งได้ตามอามรณ์

เวลานี้หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็คือจะสังหารราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ทำลายตระกูลมู่ คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถใช้คำว่าอันธพาลมาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว เช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวสุดที่จะเทียบเทียมได้แล้ว

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านั้น บางทีทุกคนก็จะหัวเราะเยาะหลี่ชิเย่ว่าไม่รู้จักเจียมตน โง่เขลาและอวดดี แต่ว่า เมื่อนึกถึงเคล็ดวิชาราชันแท้จริงขณะถูกเขาเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้านั้น มันก็เป็นแค่เชื้อไฟเล็กๆ เท่านั้นเอง

ดังนั้น จึงทำให้ทุกคนต้องใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่อหลี่ชิเย่คนนี้เรียกว่าน่ากลัวจนถึงขั้นที่พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้อีกแล้ว

เมื่อหยางถิงอวี่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับมีสีหน้าที่ขาวซีด เขาเองก็เข้าใจได้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผู้ที่เขาสามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว นี่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะต้องเป็นระดับราชันแท้จริง หรือราชันแท้จริงขั้นอมตะเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับเขาได้

“ตกลง ข้าต้องเอาคำพูดของท่านไปแจ้งให้ทราบแน่นอน” หยางถิงอวี่กัดฟัน ขาดคำก็ไม่เยิ่นเย้อหันหลังจากไปทันที

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรมาก และหันหลังจากไปกลับไปยังบริเวณซากปรักหักพังอีกครั้ง เขาไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังไม่ได้มองดูนิกายซูสือแม้เพียงแวบเดียว

โอ้แม่จ๋า…หลังจากที่หลี่ชิเย่จากไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เข่าอ่อนทั้งสองข้างไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น ขณะผู้ที่ใช้ไม่ได้นั้นตกใจจนปัสสาวะอุจจะระเลตไปนานแล้ว

“เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวก พวก พวกเรามีผู้ที่น่ากลัวมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ทุกคนต่างร่างสั่นเทาทีหนึ่ง ในเวลานี้ หลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่บริเวณซากปรักหักพัง ทุกคนต่างรู้สึกว่าเหมือนมีสัตว์ยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้นอย่างนั้น หากมีใครไปรบกวนเขาแม้เพียงน้อยนิด หนึ่งฝ่ามือที่ตบลงมาก็จะกลายเป็นเนื้อบดไปทันที

ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน แน่นอน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นมาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงตั้งแต่เมื่อใด

“นี่ นี่ นี่จะใช่ยอดอัจฉริยะบุคคลไร้เทียมทานมีกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเรานะ” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่กล่าวด้วยความเพ้อฝันขึ้นมา

ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสตบเข้าที่ท้ายทอยของเขาทันที หนึ่งฝ่ามือทีทำลายความเพ้อฝันน้อยๆ ของเขาสลายไป และกล่าวว่า “เจ้ายังไม่ตื่นจากฝันรึ? ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเราแห้งแล้งกันดารถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะสามารถให้กำเนิดผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ได้อีกหรือ? ต่อให้รีดทั่วระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ไม่สามารถปรากฏผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้อีกแล้ว!”

“ระดับที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ หาใช่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเราจะสามารถรองรับได้อีกแล้ว” คนอื่นๆ ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

ไม่ง่ายนัก กว่าที่บรรดาศิษย์ทั้งหมดของนิกายซูสือจะทยอยกันได้สติกลับมา ไม่ง่ายนัก กว่าศิษย์บางส่วนที่ถูกทำให้ตกใจจนอ่อนแรงอยู่กับพื้นจะลุกขึ้นมาได้ บางคนกล่าวด้วยท่าทียังไม่หายจากอาการขวัญหนีดีฝ่อว่า “ในที่สุดก็จบสิ้นแล้ว พวกเรารอดแล้ว”

ตามหลักแล้ว กองทัพเหล็กนิลที่ล้อมปราบพวกเขาถูกทำลาย หยางถิงอวี่ก็พ่ายแพ้ และจวนลั่วก็ทรุดลงอย่างชนิดที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ นิกายซูสือของพวกเขารอดจากเคราะห์กรรมไปได้ในที่สุด พวกเขาสมควรทั้งตื่นเต้นและดีใจจึงจะถูก แต่ทว่า ในเวลานี้พวกเขากลับดีใจไม่ออก

เนื่องจากพวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้หลี่ชิเย่จากไปนานแล้ว ขาทั้งสองข้างก็ยังคงสั่นเทาอยู่ แม้แต่เวลาพูดฟันก็ยังกระทบกัน

ถ้าหากเวลานี้ให้พวกเขาได้พบกับหลี่ชิเย่อีก เกรงว่าแค่หลี่ชิเย่เดินมาแต่ไกลพวกเขาก็คงคุกเข่าลงกับพื้นทันที แม้แต่ความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ก็ไม่มี เกรงว่าการยืนอยู่ตรงนั้นของหลี่ชิเย่ก็คือผู้ที่อยู่สูงสุด กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก

ไม่ง่ายนัก กว่าหลินยี่เสวี่ยจะลุกขึ้นมาได้ หายใจหอบทีหนึ่ง กลับไปยืนอยู่ข้างกายของหวูโหย่วเจิ้ง

“คราวนี้เชิญให้คุณชายมาได้ และช่วยสำนักรอดมาได้ เจ้าเหนื่อยยากลำบากและมีผลงาน” หวูโหย่วเจิ้งเมื่อเห็นศิษย์ของตนปลอดภัย เขาเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลินยี่เสวี่ยยิ้มจื่อนๆ ทีหนึ่ง นางถึงกับเหม่อลอย ไม่สามารถเรียกสติกลับมา

ลองนึกภาพดู หลายวันก่อนหน้า นางยังแสดงท่าทีดุร้ายต่อหน้าหลี่ชิเย่ กระทั่งยังประกาศข่มขู่หลี่ชิเย่ว่าเดี๋ยวน่าดู กระทั่งบอกว่าจะสั่งสอนหลี่ชิเย่

ในเวลานั้น นางเองยังเชื่อมั่นตนเองเต็มเปี่ยม และมั่นใจเต็มที่ในตัวเอง โดยตัวเองเคยคิดว่าถ้าหากหลี่ชิเย่ยังคงพูดจาปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิดล่ะก็ นางก็จะลงมือสั่งสอนหลี่ชิเย่ให้หลาบจำ

เวลานี้มานึกอีกที ตนเองนั้นเปรียบเสมือนเป็นแกะตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง ไปแสดงแสนยานุภาพต่อหน้าสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง ขอเพียงเจ้าสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้อ้าปากสักนิดก็สามารถกินตัวนางเข้าไป ทั้งยังไม่พอยัดซอกฟันเสียด้วยซ้ำ

เวลานี้มานึกๆ ดูแล้ว ตลบอบอวลรู้สึกว่าตนเองในเวลานั้นช่างโง่เขลาอะไรอย่างนั้น ช่างน่าขันอะไรอย่างนั้น ต่อหน้าหลี่ชิเย่ก็เสมือนหนึ่งเป็นตัวตลกอย่างนั้น

เฉกเช่นผู้อยู่ในฐานปราศจากผู้ต่อกรเช่นหลี่ชิเย่ ตนเองไปทำอวดแสนยานุภาพต่อหน้า ซ้ำยังแสดงท่าทางดุร้ายเช่นนั้น เขาไม่ได้ยื่นนิ้วมือมาบี้ตนเองให้ตายก็นับว่าเมตตาอย่างยิ่ง และมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแล้ว

เวลานี้ นิกายซูสือของตนมีภัย เขายังลงมือเข้าช่วย นี่นับเป็นจิตใจที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เป็นความใจกว้างเช่นใด

ในเวลานี้ หลินยี่เสวี่ยคิดจนเหมือนคนปัญญาอ่อน และนางเพิ่งจะรู้ว่าโลกนี้ช่างสูงและกว้างไกลเพียงใด ผู้เป็นใหญ่และปราศจากผู้ต่อกรช่างกว้างไกลเช่นใด ในเวลานี้ ทำให้นางไม่อาจะได้สติกลับมาเป็นเวลานาน

“เสวี่ยเอ๋อร์…” สุดท้าย เมื่อหวูโหย่วเจิ้งร้องเรียกเสียงดังทีหนึ่ง หลินยี่เสวี่ยจึงได้สติกลับมา

“อาจารย์…” เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้สติกลับมา รีบมองไปที่อาจารย์ของตน

“ยังมีข้าวของอะไรก็ไปเก็บเสีย พวกเราจะไปแล้ว ไปจากที่ตรงนี้” หวูโหย่วเจิ้งสั่งการออกไป

“ข้า ข้า ข้า…” หลินยี่เสวี่ยถึงกับเหม่อลอย เรียกสติกลับมาไม่ค่อยจะได้ จากนั้นกล่าวว่า “อาจารย์ พวก พวก พวกเรายังต้องไปจากที่นี่รึ?”

“ถูกต้อง ต้องไปแล้ว” เวลานี้หวูโหย่วเจิ้งอดที่จะเงยหน้ามองไปยังที่ที่ห่างไกล และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ต่อให้ภัยพิบัติไม่เกิด เกรงว่าก็คงไม่สามารถรั้งอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงได้อีกต่อไปแล้ว”

“เพราะอะไร?” หลินยี่เสวี่ยไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เอ่ยถามด้วยความงุนงง

“เกรงว่าอีกไม่นาน กองทัพอันเกรียงไกรของตระกูลมู่ก็จะยกมาถึง ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจะต้องมาด้วยตนเอง กล่าวสำหรับตระกูลมู่ สำหรับราชันแท้จริงมู่เจี้ยนแล้ว อำนาจของเขาไม่อนุญาตให้ใครมายั่วยุ” หวูโหย่วเจิ้งทอดถอนใจเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เมื่อถึงเวลานั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงจะกลายเป็นสนามรบที่น่ากลัว ไม่แน่นักเมื่อปะทะกันเมืองหมิงลั่วเฉิงอาจจะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวทั้งเมือง กระทั่งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเราก็ถูกทำให้แหลกละเอียดไป”

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทางของเขาดูสลด แต่ว่า เขาเองก็จนปัญญา เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือ พาศิษย์ภายในสำนักไปจากที่นี่ พาประชาชนไปจากที่นี่ให้ได้มากที่สุด

หลินยี่เสวี่ยพยักหน้าเงียบๆ และไปเก็บข้าวของเงียบๆ สุดท้าย ขณะที่จากเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้น นางอดที่จะหันมองไปยังทิศทางที่ตั้งของซากปรักหักพังเทียนยวี่นที่อยู่ไกลออกไป

นับจากนี้เป็นต้นไป เกรงว่านางจะไม่ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้วกระมัง เดิมทีเขาก็เป็นผู้เป็นใหญ่บนท้องฟ้าอยู่แล้ว พวกเขาทั้งสองหาใช่คนที่อยู่โลกเดียวกันอยู่แล้ว

ท้ายที่สุด หลินยี่เสวี่ยทอดถอนใจเบาๆ คำหนึ่ง ติดตามพวกผู้อาวุโสไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิง

พลันที่หลี่ชิเย่ลงมือ ทำเอาทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิงเงียบกริบ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้ว่าหลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่บริเวณซากปรักหักพังเทียนยวี่นแล้ว พวกเขาต่างไม่กล้าไปที่ซากปรักหักพังเทียนยวี่น ต่อให้ต้องเดินทางผ่านก็จะหลบไปให้ไกลๆ

สำหรับจวนลั่วนั้น ได้ตกต่ำลงเพียงชั่วข้ามคืน เนื่องจากกองเทพเหล็กนิลเป็นกองกำลังที่เกรียงไกรที่สุดของจวนลั่ว เป็นเสาหลักของจวนลั่ว เมื่อกองทัพเหล็กนิลถูกหลี่ชิเย่สังหาร พลันทำให้จวนลั่วสูญเสียกำลังไป

หลังจากที่หยางถิงอวี่จากไปแล้ว ยิ่งทำให้จวนลั่วตกอยู่ในสภาพของมังกรไร้หัว เวลานี้ทั่วทั้งจวนลั่วอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย กระทั่งมีศิษย์จำนวนมากเข้าใจว่าภัยพิบัติกำลังมาเยือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง ดังนั้นจึงทำให้ศิษย์จำนวนไม่น้อยตกใจจนหนีออกไปจากเมือเมืองหมิงลั่วเฉิงในคืนนั้นเลย

ในขณะที่นิกายซูสืออพยพไปจากนั้น ได้พาประชาชนไปเป็นจำนวนมาก ภายใต้การปราศจากการบังคับของจวนลั่ว บวกกับศักยภาพของซูสือและชื่อเสียงของหวูโหย่วเจิ้ง จึงมีราษฎรจำนวนมากยินดีติดตามนิกายซูสือไปด้วย

ภายใต้การเป่าประกาศของนิกายซูสือ ทุกคนต่างรู้ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน ดังนั้น ประชาชนจำนวนมากต่างทยอยกันเก็บข้าวเก็บของติดตามนิกายซูสือไปให้ไกลจากเมืองหมิงลั่วเฉิง

แน่นอนที่สุด ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้องยังคงรั้งอยู่ในเมือง จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับประชาชนจำนวนมากแล้ว เมืองหมิงลั่วเฉิงก็คือบ้านของพวกเขา และเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องเฝ้ารักษาบ้านของตน จะไม่ยอมไปจากอย่างเด็ดขาด กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยยินดีตายอยู่ในบ้านเมืองของตน

นอกจากจะมีประชาชนจำนวนมากที่ติดตามนิกายซูสือถอนตัวออกไป ขณะเดียวกันก็มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่ทยอยกันหนีออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิง

“จะเร่งรีบหนีไปทำไม ภัยพิบัติไม่แน่ว่าจะมา ต่อให้มา ถึงตอนนั้นค่อยหนีก็ยังไม่สาย” บางคนที่ไม่อยากหนีจึงพูดเช่นนี้ขึ้นมา

“เหลวไหล ต่อให้ภัยพิบัติไม่มา กองทัพใหญ่ของตระกูลมู่ก็ต้องมา” คนที่หนีหัวเราะเยาะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เมื่อกองทัพของตระกูลมู่ประชิดเมือง เกรงว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงคงจบสิ้นแล้ว”

แน่นอนที่สุด มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากยังคงรั้งอยู่ จะอย่างไรเสียเดิมบ้านของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากก็อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่แล้ว ไหนเลยที่พวกเขาจะทิ้งครอบครัว ทิ้งญาติพี่น้อง และตระกูลของตนแล้วหนีไปกันเล่า

ดังนั้น ภายในระยะเวลาอันสั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงที่มีประชากรสองถึงสามแสนคน สุดท้ายเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ซึ่งส่งผลให้เมืองหมิงลั่วเฉิงเงียบเหงาไปไม่น้อยทีเดียว

“เมืองหมิงลั่วเฉิงจบแล้ว” ผู้บำเพ็ญตนเฒ่าบางคนแม้จะรู้ว่าภัยกำลังมาถึง แต่ยังคงไม่ได้หนีไป ยังคงรั้งอยู่ที่เดิม

มีผู้เอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อรู้ว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะจบสิ้นแล้ว ทำไมถึงไม่หนี”

“หนี? หนีไปไหน?” ผู้บำเพ็ญตนเฒ่าส่ายหน้า และกล่าวว่า “กองทัพตระกูลมู่ประชิดเมือง เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าไม่เพียงแค่เมืองหมิงลั่วเฉิง แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมดก็สบสิ้นลงแล้ว ไม่แน่นักการสู้รบที่สะเทือนเลื่อนลั่นจะทำเอาระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทะลุ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย มิสู้รั้งอยู่คอยดูท่วงท่าอันงดงามของราชันแท้จริง คอยดูศึกสะเทือนเลือนลั่นที่เป็นชั้นราชันแท้จริง ถือว่าชาตินี้ไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้

……………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *