Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2654 เปิดประตูมิติ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2654 เปิดประตูมิติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2654 เปิดประตูมิติ

แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์…เมื่อประกายเซียนทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ในมือของหลี่ชิเย่แล้ว ประกายเซียนได้มีการกระโดดขึ้นมา ในเวลานี้ประกายเซียนคล้ายดั่งมีชีวิตขึ้นอย่างนั้น แม้จะเป็นประกายเซียนสายหนึ่ง หรืออนุภาคแสงอนุภาคหนึ่งก็ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ เหมือนว่าพวกมันก็คือภูติอย่างนั้น

ประกายทั้งหมดรวมตัวกันบนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ ท่ามกลางการกระโดดโลดเต้นดังแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ มองเห็นประกายเซียนไม่ได้เป็นประกายเซียนที่เป็นสายอีกต่อไป เหมือนประกายเซียนทั้งหมดได้หลอมละลายอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่อย่างนั้น

ก่อนหน้านั้น มองไปคือประกายเซียนที่เป็นสาย เวลานี้ได้ถูกหลี่ชิเย่ประคองอยู่บนฝ่ามือทั้งสองข้าง เหมือนได้หลอมละลายเป็นของเหลวแสง

ในเวลานี้ ของเหลวแสงที่ถูกหลี่ชิเย่ประคองอยู่บนฝ่ามือได้ไหลลอดออกมาจากระหว่างร่องนิ้ว ขณะที่แสงเหล่านี้ไหลลอดออกมาจากร่องนิ้วนั้น มันคล้ายแสงที่เป็นน้ำไหลรินลงมาอย่างนั้น ดูอ่อนโยนและใสสะอาดอย่างยิ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ดูล้ำเลิศอย่างยิ่ง

กระทั่งขณะที่น้ำแสงลักษณะเช่นนี้ไหลลงมาจากร่องระหว่างนิ้วของหลี่ชิเย่นั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกได้เหมือนได้ยินเสียงน้ำไหลอย่างนั้น

น้ำแสงที่ไหลออกจากร่องระหว่างนิ้วของหลี่ชิเย่ก็คล้ายเป็นกาลเวลาเสมือนดั่งเม็ดทราย เมื่อน้ำแสงแต่ละสายที่ไหลลงมาเสมือนดั่งกาลเวลาที่ไหลผ่านร่องนิ้วมือของหลี่ชิเย่ไปทีละร้อยปีๆ อย่างนั้น

จากการที่น้ำแสงหลังจากได้ไหลรินลงมาจากร่องระหว่างนิ้วของหลี่ชิเย่ไปแล้วนั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนมีกาลเวลานับพันนับหมื่นปีที่ไหลออกไปจากร่องระหว่างนิ้วของหลี่ชิเย่ไปอย่างนั้น

กระทั่งในเวลานี้มีผู้ที่บังเกิดมโนภาพขึ้นมา หลี่ชิเย่ในขณะนี้ดูไปแล้วไม่ใช่คนหนุ่มที่ธรรมดาคนนั้นอีกแล้ว ในเวลานี้จากการที่น้ำแสงได้ไหลรินออกจากร่องระหว่างนิ้วมือของเขานั้น หลี่ชิเย่เหมือนกำลังเปล่งประกายออกมาอย่างนั้น

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่เสมือนดั่งเป็นผู้ควบคุมกาลเวลา เหมือนว่าที่มีการควบคุมอยู่บนฝ่ามือของเขาก็คือกาลเวลานั่นเอง เหมือนว่ากาลเวลาทั้งหมดบนโลกต้องไหลผ่านร่องระหว่างนิ้วมือของเขาทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งพันปี หรือเป็นล้านล้านปี เหมือนว่าล้วนแล้วแต่ต้องไหลผ่านร่องระหว่างนิ้วของหลี่ชิเย่ไป และเขาเพียงขยับนิ้วนิดหนึ่งก็สามารถช่วงชิงไปได้เป็นพันล้านปีอย่างนั้น

“ไล่ย้อนกลับไป…” คนอื่นอาจจะมองไม่ออกถึงความลึกลับที่ลึกซึ้งภายใน แต่ ผู้เยี่ยมยุทธผู้นั้นของตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเผยโฉมตลอดมากลับมองออกถึงความลึกลับที่ลึกซึ้งที่อยู่ภายใน ถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ออกมา รู้แล้วว่าหลี่ชิเย่ต้องการจะทำอะไร

จากการที่น้ำแสงไหลรินลงสู่พื้นดินแล้ว ตามติดมาด้วยเสียงแว้งค์เสียงหนึ่ง ปรากฎแสงที่มีความสว่างมากที่สุดแต่ละสายออกมาจากใต้พื้นดิน ในเวลานี้ มองเห็นแสงที่ดั่งเส้นรุ้งเส้นแวงแต่ละเส้นสลับไขว้กันไปมา คล้ายกลายเป็นความเป็นไปของสถานการณ์แห่งยุคๆ หนึ่งขึ้นมา

“นี่เขาต้องการย้อนกลับไปยังสิ่งใด?” ราชันแท้จริงต้วนยวี่มองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ร่องรอยที่ถูกปกปิดเอาไว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในครั้งนั้น” ผู้เยี่ยมยุทธผู้นั้นของตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเผยโฉมตลอดมาได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ กล่าวด้วยความหดหู่ว่า “ในครั้งนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรืองสุดขีด มีราชันแท้จริงถึงสามคนอยู่ในยุคเดียวกัน สำหรับเทพแท้จริงขั้นอมตะยิ่งมีจำนวนมากกว่า เทพแท้จริงขั้นอมตะระดับล่างเกรงว่าคงไม่มีใครบอกได้ถูกต้องว่ามีจำนวนเท่าไร เสียดาย ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเสื่อมลงภายในชั่วข้ามคืน”

“ในยุคหลังนี้ยากที่จะมีใครสามารถบอกได้ชัดเจนว่า เพราะอะไรระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นถึงได้เสื่อมลงภายในชั่วข้ามคืน ทว่า ภายหลังมีระดับปฐมบรรพบุรุษได้ทำการศึกษาค้นคว้าพิสูจน์แล้วว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในครั้งนั้นพบกับภัยพิบัติชั่วร้ายชั่วข้ามคืน มีสิ่งชั่วร้ายลงมาจากท้องฟ้า” ผู้เยี่ยมยุทธผู้นั้นของตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเผยโฉมตลอดมารู้อะไรมากกว่า และกล่าวว่า “จากการคาดเดาของปฐมบรรพบุรุษ สิ่งชั่วร้ายได้หยั่งรากลึกลงไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น แม้ว่าระดับปราศจากผู้ต่อกรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมดจะเอาชนะมันได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก แต่ พวกเขายังคงไม่สามารถถอนรากถอนโคนสิ่งชั่วร้ายนี้ไปได้…”

“…ดังนั้น หลังจากที่ปฐมบรรพบุรุษได้ทำการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์แล้ว เข้าใจว่าบรรดาบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นหลังจากเสร็จสิ้นการศึกครั้งนี้แล้ว ได้ทำการปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่าง และพวกเขาได้ลากสังขารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสฝังร่างเอาไว้ นำเอาสิ่งของบางสิ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นซ่อนเอาไว้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกพบเห็นเท่านั้น และไม่ต้องการให้สิ่งชั่วร้ายนั้นค้นพบ ด้วยเหตุนี้เอง ชนรุ่นหลังจึงไม่เข้าใจสาเหตุการเสื่อมลงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นตลอดมา”

“ศิลาเซียนนั้นคืออะไรกันแน่ ถึงกับคู่ควรให้ปรัชญาเมธีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นต้องแลกด้วยค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้” ราชันแท้จริงต้วนยวี่ให้รู้สึกแปลกใจ

กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งแล้ว ยังจะมีสิ่งใดสำคัญยิ่งไปกว่าการได้สืบทอดต่อไป? แต่ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นกลับนำเอาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมดผนึกเอาไว้

“ไม่ชัดเจน” ผู้เยี่ยมยุทธผู้นั้นของตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเผยโฉมกล่าวว่า “มีบันทึกเข้าใจว่า ศิลาเซียนชิ้นนี้มีประวัติความเป็นมาที่สะเทือนเลื่อนลั่น ไม่ใช่เป็นของโลกมนุษย์ ส่วนศิลาเซียนชิ้นนี้มีประโยชน์เช่นใดกันแน่ไม่มีใครทราบ เพียงแต่บันทึกเข้าใจว่า ศิลาเซียนชิ้นนี้ได้มาโดยวิธีการที่สุดยอดมากของปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ไม่สามารถประเมินค่าได้ กระทั่งอาจเกี่ยวพันกับเรื่องของอายุวัฒนะ ดังนั้น ศิลาเซียนชิ้นนี้จึงคงอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นตลอดมา อีกทั้งยังถูกปิดผนึกเอาไว้ใต้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ”

ครั้นผู้เยี่ยมยุทธผู้นี้เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หากปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่ได้เก็บศิลาเซียนชิ้นนี้เอาไว้ บางทีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นอาจไม่ต้องพบกับภัยพิบัติถึงขั้นล่มสลายเช่นนี้”

ราชันแท้จริงต้วนยวี่ถึงกับจ้องมองไปที่เมืองหมิงลั่วเฉิงหลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว นางเองรู้สึอยากรู้อยากเห็นยิ่ง อยากจะดูว่าเจ้าศิลาเซียนชิ้นนี้เป็นศิลาเซียนที่มีลักษณะเช่นใดกันแน่

ในเวลานี้ ลำแสงได้ตัดไขว้กันไปมาทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิง กลายเป็นสถานการณ์ขนาดยักษ์ เหมือนว่าลำแสงทุกลำได้จัดการแบ่งผืนแผ่นดินออกเป็นชิ้นเล็กๆ

แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น สุดท้ายลำแสงทั้งหมดได้ถักทอซึ่งกันและกัน กลับกลายเป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง และได้พวยพุ่งเป็นประกายเซียนที่ไม่สิ้นสุด ในขณะนี้ มองเห็นเพียงประกายเซียนที่กระเพื่อม ท่ามกลางการกระเพื่อมของประกายเซียนได้ทำให้ผู้คนเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่าพริบตาเดียวนั้นเอง ทำให้ผู้คนก้าวข้ามอดีตกาล ก้าวข้ามยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่าอย่างนั้น

ท่ามกลางประกายเซียนที่กระเพื่อม ทุกคนเสมือนดั่งได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยใดสมัยหนึ่ง เหมือนได้ทำการเปิดผ้าที่ปิดผนึกนั้นขึ้น เปิดร่องรอยต่างๆ ในครั้งนั้นขึ้นมา

เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด…ในเวลานี้เอง เสียงสิ่งที่หนักอึ้งดังขึ้นเป็นระลอก นาทีนี้มองเห็นบนถนนของเมืองหมิงลั่วเฉิงปรากฎแผ่นกระดานหินแต่ละแผ่นที่ลอยขึ้นมา

เมืองหมิงลั่วเฉิงตั้งตระหง่านมาถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าได้ตั้งตระหง่านมานานเท่าไรแล้ว ถนนหนทางจำนวนมากภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ปูเลี่ยมด้วยแผ่นหิน

ถนนลักษณะเช่นนี้แต่ละสายล้วนแล้วแต่มีผู้คนแออัดยัดเยียด แผ่นหินลักษณะเช่นนี้แต่ละแผ่นไม่รู้ว่าถูกผู้คนจำนวนเท่าไรเหยียบย่ำมาแล้ว และไม่รู้ว่าถูกรถม้าบดขยี้มาเท่าไร แผ่นหินแต่ละแผ่นล้วนแล้วแต่เก่าแก่มาก บางแผ่นกระทั่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นร่องขึ้นมา

ในเวลานี้เอง บนถนนหินปรากฏแผ่นหินแต่ละแผ่นที่ลอยขึ้น บางแผ่นอยู่ห่างกันมาก สลับไขว้กันไร้ระเบียบ ทำให้ผู้คนยากที่จะมองออกได้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร หรือมีความลึกลับอะไร

ขณะที่เสียงเอี๊ยดดด เอี๊ยดดด เอี๊ยดดดดังขึ้นนั้น หลังจากที่แผ่นหินแต่ละแผ่นที่ลอยขึ้นมา ถึงกับเริ่มประติดประต่อเข้าด้วยกัน และได้ยินเสียงประติดประต่อดังปัง ปัง ปัง

ภายในระยะเวลาอันสั้น แผ่นหินทั้งหมดที่ประติดประต่อเข้าด้วยกันถึงกับกลายเป็นปะรำพิธีสูง เป็นปะรำพิธีที่เสมือนหนึ่งตึกสูง ปะรำพิธีสูงลักษณะเช่นนี้มองจากระยะห่างไกลคล้ายเป็นป้อมปราการที่ใช้สำหรับจุดไฟแจ้งเตือนภัยสงคราม และหรือคล้ายเป็นปะรำพิธีบัญชาการ

“นี่คืออะไร…” พวกของหวูโย่วเจิ้งในฐานะที่เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น พวกเขาไม่รู้เลยว่าปะรำพิธีสูงนี้คืออะไรกันแน่ สิ่งที่ไม่ได้รับการสืบทอดต่อกันมาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นมีมากมายเหลือเกิน เรียกได้ว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของตนเอาเสียเลยก็ว่าได้

“ปะรำพิธีสำหรับบัญชาการของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในครั้งนั้น” ผู้เยี่ยมยุทธตระกูลหลี่ที่ไม่เผยโฉมเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อมองเห็นปะรำพิธีโบราณที่สูงเด่นว่า “ฟังว่าครั้งนั้นปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นบัญชาการใต้หล้าที่ปะรำพิธีสูงแห่งนี้แหละ อำนาจสยบทั่วหล้า”

แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อปะรำพิธีโบราณลักษณะเช่นนี้ถูกตั้งขึ้นแล้ว เหมือนว่าช่องว่างกระเพื่อมทีหนึ่ง ประกายเซียนทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่บนปะรำพิธีสูงในเวลานี้

ปรากฏประตูที่เก่าแก่โบราณบานหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากปะรำพิธีสูง บนประตูบานดังกล่าวได้แกะสลักอักขระยันต์โบราณและแข็งแกร่งเอาไว้เป็นจำนวนมาก เวลานี้ประกายเซียนทั้งหมดเสมือนดั่งมีชีวิตอย่างนั้น มันปีนขึ้นไปบนประตู และประกายทั้งหมดพลันไปรวมตัวกันอยู่ภายในประตู

ท่ามกลางเสียงแว้งค์เสียงหนึ่งที่ดังขึ้น ประกายเซียนทั้งหมดที่รวมตัวกันได้เปล่งแสงที่เจิดจ้าออกมา พริบตาเดียวนั้นเอง ช่องว่างถูกเปิดออก จากการที่ประกายเซียนรวมตัวกัน และประตูได้กลายเป็นประตูอาณาจักรบานหนึ่งปรากฎแก่สายตาของทุกคน

“ประตูมิติ…” ราชันแท้จริงต้วนยวี่ถึงกับเพ่งสายตาไปข้างหน้า เมื่อมองเห็นปะรำพิธีสูงปรากฎประตูอาณาจักรลอยขึ้น

“ถูกต้อง เคยมีคำเล่าลือมานานแล้วว่า ใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นมีโลกของตนเอง เพียงแต่ หลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเสื่อมลงแล้วก็ไม่มีใครพูดถึงอีก และไม่มีใครรู้ว่าโลกดังกล่าวยังคงอยู่หรือไม่” ผู้เยี่ยมยุทธตระกูลหลี่ที่ไม่ได้เผยโฉมกล่าวว่า “ทางเข้าของโลกแห่งนี้ได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ ดูท่า ศิลาเซียนก้อนนั้นคงซ่อนอยู่ข้างในนั้นแล้ว”

นาทีนี้ยอดฝีมือจำนวนมากต่างคาดเดาได้แล้วว่า ศิลาเซียนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นจะต้องซ่อนอยู่ในประตูมิตินี้ แต่ว่า ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปแย่งชิงศิลาเซียน

ทุกคนล้วนได้แต่กลั้นลมหายใจมองดูประตูมิติที่มีประกายเซียนวูบวาบ ทุกคนได้แต่รอให้หลี่ชิเย่เข้าไป ทุกคนต่างรู้ดีว่านอกจากหลี่ชิเย่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไป!

“เพื่อหินก้อนหนึ่ง ทำให้มันยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ ก้าวเท้าก้าวหนึ่งเข้าไปในประตูมิติ

ปุเสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อหลี่ชิเย่ก้าวเท้าเข้าไปในประตูมิติแล้ว ประตูมิติทั้งบานก็หายไปทันที

เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด เอี๊ยดดดเสียงที่ฟังแล้วอึดอัดดังขึ้น ครั้นประตูมิติหายไปแล้ว มองเห็นแผ่นกระดานหินแต่ละแผ่นเริ่มมีการแยกตัวออก แผ่นกระดานหินทุกแผ่นได้เคลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม กลับคืนสู่สภาพปรกติ

ภายในระยะเวลาอันสั้น ปะรำพิธีสูงหายไป เมืองหมิงลั่วเฉิงยังคงเป็นเมืองหมิงลั่วเฉิง เหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นอย่างนั้น

ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ขณะมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้า

“เฮ่อ อย่าคิดไม่ซื่ออีกเลย” เทพแท้จริงขั้นอมตะทอดถอนใจ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ศิลาเซียนชิ้นนี้ ใครก็อย่าได้คิด แยกย้ายกันไปเถอะ”

“ขอมองดูสักแวบก็ยังดี” มียอดฝีมือบางคนที่ยังไม่ยอมเลิกรา พวกเขาสู้อุตส่าห์มาไกลนับล้านล้านลี้ สุดท้าย ไม่เพียงกลับบ้านมือเปล่า แม้แต่ศิลาเซียนยังไม่ได้เห็นสักนิด นับว่าทำให้รู้สึกไม่เต็มใจนัก

“เจ้าคิดอยากจะเห็นก็ได้เห็นรึ? หากเจ้ากล้า ก็ไปพูดกับคนโหดอันดับหนึ่ง ไป” ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่เป็นผู้อาวุโสเหลือบมองเขาทีหนึ่ง

ยอดฝีมือผู้นี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทำคอย่นทันที พลันรู้สึกเหมือนคอของตนเย็นวาบ ต่อให้เขามีความกล้ามากกว่านี้ก็ไม่กล้าไปยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้กับคนโหดอันดับหนึ่ง

…………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *