Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2653 ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2653 ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2653 ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่

ทั่วฟ้าดินเสมือนหนึ่งแข็งตัวไปแล้วอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายลมที่โบกพัด หรือสายน้ำที่ไหลริน และหรือสัตว์ป่าที่วิ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เสมือนดั่งหยุดนิ่งในพริบตาเดียว

เหมือนว่ากาลเวลานาทีนี้ก็หยุดนิ่งเช่นกัน ทุกคนมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าตะลึงตกใจจนตัวแข็งทื่อ ไม่สามารถเรียกสติกลับมาเป็นเวลานาน กระทั่งกระดิกตัวไม่ได้อยู่นาน

เลือดสดๆ ไหลหยดรินเป็นทาง สยดสยองสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นลู่เคอะเวิงที่อยู่ในระดับสูงสุดถูกดึงเอากระดูกสันหลังออกมาตัวเป็นๆ ยิ่งทำให้ผู้คนต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง คนที่ใจเสาะถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เกิดการบีบรัดตัวของกระเพาะอาหารขึ้นเป็นระลอก แต่ก็สำรอกออกมาไม่ได้

ภาพกลิ่นคาวเลือดที่สยองขวัญเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตกใจจนตัวแข็งทื่อ

ผู้คนจำนวนไม่น้อยอ้าปากกว้างภายใต้ภาพที่สยดสยองเช่นนี้ มีบางคนตกใจจนอยากจะร้องเสียงแหลมขึ้นมา แต่ ไม่ว่าพวกเขาจะอ้าปากกว้างอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาพยายามจะร้องเสียงแหลมออกมา ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ไม่มีเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย

เหมือนว่ามีมือขนาดใหญ่ที่ไร้รูปบีบคอของพวกเขาเอาไว้แน่น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะร้องเสียงแหลมออกมาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พวกเขาถึงกับหายใจไม่ออก

นาทีนี้ ความหวาดกลัวได้เข้าไปเกาะกุมบีบคอหอยของพวกเขาเอาไว้เสียแน่น ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด ทำให้ทุกคนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหายใจไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การสยบลักษณะเช่นนี้ยังทำให้ผู้คนจำนวนมากตะลึงตกใจจนตัวแข็งทื่อ

อ๊ากกก…หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็มีผู้ที่หายใจหอบได้แล้ว และลำคอที่ถูกบีบเค้นด้วยความหวาดกลัวสามารถส่งเสียงออกมาได้แล้วในที่สุด เวลานี้ เสียงแผดร้องแหลมด้วยความหวาดกลัวดังระงมไปทั่ว

อ๊วกกก…เสียงอาเจียนดังขึ้นมาเป็นระลอก หลังจากได้สติกันกลับมาแล้ว ผู้ที่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด อดกลั้นไม่ไหวต้องอาเจียนออกมา กระทั่งน้ำดีก็ยังอาเจียนออกมาด้วย

ในเวลานี้ ทุกคนต่างทยอยกันได้สติกลับมา ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่ซีดเผือดเมื่อมองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ขาทั้งสองข้างกลับไม่สู้สั่นเทาตลอดอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ระดับบรรพบุรุษเก่ากะลาที่เคยผ่านประสบการณ์อุปสรรคมานับไม่ถ้วน แม้แต่เทพแท้จริงขั้นอมตะที่อยู่ในจุดสูงสุดและแข็งแกร่งขนาดเกรียงไกรทั่วหล้ามาแล้ว ก่อนหน้านั้น บางทีพวกเขายังสามารถมองดูด้วยความเพิกเฉย จะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือผู้ที่ผ่านอุปสรรคมาแล้วทั้งสิ้น

แต่ว่า เมื่อมาถึงช่วงเวลานี้แล้ว ขาทั้งสองข้างของพวกเขาก็ไม่สู้และสั่นเทาไปทีหนึ่ง ถึงกับรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา แววตาที่จ้องมองไปยังหลี่ชิเย่นั้น เปี่ยมด้วยความเคารพยำเกรง

ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ลู่เคอะเวิง สี่พุทธา ผู้เฝ้าดูต้นไม้ เพียงชั่วพริบตาเดียวพวกเขาทั้งสี่คนตายสามหนีรอดไปหนึ่ง จุดจบลักษณะเช่นนี้ช่างสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเหลือเกิน หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปสามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดที่อยู่ในแดนลัทธิราชัน และผู้ที่อยู่ในระดับปราศจากผู้ต่อกรจะต้องถูกทำให้ตกใจจนเหม่อลอยกับจุดจบลักษณะเช่นนี้

พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนร่วมมือกัน เป็นการร่วมมือที่ไม่ธรรมดา กระทั่งกล่าวได้ว่าพวกเขาได้หลุดพ้นจากขอบเขตของการร่วมมือไปแล้ว ที่พวกเขาทำคือการหลอมรวมผสานเข้าด้วยกัน ภายใต้สภาพของการผสานเข้าด้วยกัน มีสภาพของปฐมบรรพบุรุษ มีพลังลมปราณที่ไม่มีสิ้นสุด มีความมีชีวิตชีวาที่ไม่สิ้นสุด การป้องกันที่ไร้ขอบเขต ภายใต้สภาพเช่นนี้แล้วเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน

ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างคิดไม่ออกว่าโลกนี้ยังจะมีใครสามารถสังหารเขาได้ เกรงว่านอกเหนือจากนักพรตไป๋ยื่อที่ได้กลายเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลแล้ว เกรงว่าทั่วทั้งแดนลัทธิราชันคงไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้แล้ว

แต่ว่า แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สภาพที่ไร้เทียมทานเช่นนี้แล้ว เมื่อหนึ่งหมัดของหลี่ชิเย่โจมตีเข้ามา สี่พุทธา ผู้เฝ้าดูต้นไม้พวกเขาทั้งสองคนถูกซัดจนกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที ขณะที่ลู่เคอะเวิงถูกหลี่ชิเย่จับดึงเอากระดูกสันหลังออกมาเป็นๆ ในจำนวนพวกเขาทั้งสี่คนมีเพียงราชันแท้จริงมู่เจี้ยนที่ถูกผู้อื่นช่วยเหลือไปได้

จุดจบที่ลงเอยด้วยตายสามหนีไปหนึ่งเพียงพอที่จะสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนแล้ว ความแข็งแกร่งที่ปราศจากผู้ต่อกรของคนโหดอันดับหนึ่งเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นมือขนาดใหญ่ที่ไร้รูปทำการบีบคอของผู้คนจำนวนมากเสียจนแน่น ทำให้อดที่จะเคารพยำเกรงไม่ได้

นาทีนี้ ผู้คนจำนวนมากแม้แต่จ้องมองคนโหดอันดับหนึ่งก็ยังไม่กล้า ขอเพียงคนโหดอันดับหนึ่งไปยืนอยู่ ณ ตรงไหนก็สามารถทำให้พวกเขาต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง และก้มหน้าลงทันทีไม่กล้าแม้แต่จะมองดูสักแวบหนึ่ง และขาทั้งสองข้างไม่สู้สั่นเทาตลอดเวลา

“แข็งแกร่งมากเหลือเกิน…” ในเวลานี้ แม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งและแก่กะลาต้องรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในใจ สีหน้าขาวซีด และพึมพำขึ้นมา

อย่าว่าแต่สภาพหลังจากการผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันของพวกราชันแท้จริงมู่เจี้ยนสี่คนเลย เฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างลู่เคอะเวิงในแดนลัทธิราชันก็มีอยู่ไม่กี่คน กล่าวได้ว่า ลำพังลู่เคอะเวิงคนเดียวก็คือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชันแล้ว ในแดนลัทธิราชันยากที่จะมีใครสักกี่คนที่สามารถต้านทานเขาได้อีกแล้ว

แต่ทว่า จุดจบของพวกเขาเป็นเช่นใด? ผู้เฝ้าดูต้นไม้ สี่พุทธาถูกถล่มจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันที ขณะที่ลู่เคอะเวิงถูกดึงเอากระดูกสันหลังออกมา นาทีนี้ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากอย่างลู่เคอะเวิงเมื่ออยู่ในมือของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว เสมือนหนึ่งเป็นเนื้อที่อยู่บนเขียง สุดแล้วแต่คนเขาจะเชือดเฉือน

ความจริงที่สยดสยองและโหดร้ายเช่นนี้ ทำให้เทพแท้จริงขั้นอมตะจำนวนมากมายเท่าไรต้องขวัญหนีดีฝ่อกันเล่า แม้แต่ลู่เคอะเวิงยังเสมือนดั่งเนื้อบนเขียง และเทพแท้จริงขั้นอมตะที่เทียบไม่ได้กับลู่เคอะเวิงเช่นพวกเขา เมื่อไรที่เป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่ง มันจะมีจุดจบเช่นใดกันเล่า?

เมื่อนึกถึงข้อนี้แล้ว เทพแท้จริงขั้นอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าที่จะนึกถึง ในขณะนี้ ต่อให้พวกเขาใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าเป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่ง

ไร้เทียมทาน…ในเวลานี้ ภายในใจของทุกคนมีเพียงคำๆ นี้ที่จะมาเปรียบเปรยคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว เมื่อมองเห็นท่าทางที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว

แม้ว่าเคยมีผู้คนจำนวนมากถูกยกย่องว่าเป็นไร้เทียมทาน แต่ว่า ‘ไร้เทียมทาน’ ลักษณะเช่นนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นการยกยอปอปั้น เป็นการเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง

แต่ว่า เมื่อคำว่า ‘ไร้เทียมทาน’ คำนี้ปรากฏบนตัวของคนโหดอันดับหนึ่งนั้น มันหาใช่เป็นคำที่ยกยอหรือคำเปรียบเปรย มันเป็นความจริง เป็นความจริงที่จริงแท้แน่นอน

ไร้เทียมทาน เป็นเรื่องของความเป็นจริง!

ก่อนหน้านี้ ถ้าหากจะกล่าวว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแดนลัทธิราชัน บางทีปฏิกิริยาแรกของทุกคนก็จะสึกถึงนักพรตไป๋ยื่อที่ได้สำเร็จเป็นชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาล

แต่ว่า ถ้าหากเวลานี้มีใครถามขึ้นมาอีกว่า ใครคือผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแดนลัทธิราชัน เกรงว่าไม่ว่าใครก็ต้องลังเลขึ้นมาในการที่จะต้องตอบคำถามข้อนี้

นักพรตไป๋ยื่อสำเร็จกลายเป็นชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินได้ฟังมา แต่ กลับไม่มีใครได้เห็นความไร้เทียมทานของนักพรตไป๋ยื่อมากับตาของตนเอง

แต่ว่า กับคนโหดอันดับหนึ่งนั้น ทุกทุกต่างประจักษ์กับสายตาของตนเอง

แม้จะกล่าวว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลบ่งบอกถึงสิ่งใด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะยิ่งมีความเข้าใจว่าชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวเพียงใด

แต่ว่า เมื่อปัญหาข้อนี้กางอยู่ตรงหน้าของทุกคนยังคงทำให้ต้องลังเล ระหว่างนักพรตไป๋ยื่อกับคนโหดอันดับหนึ่งใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอกว่ากัน เกรงว่าผู้คนจำนวนมากก็ให้คำตอบไม่ได้ในเวลานี้

“คนโหดอันดับหนึ่งเอาชนะนักพรตไป๋ยื่อที่เป็นระดับชั้นคงความเป็นอมตะตลอดกาลได้หรือไม่?” มียอดฝีมือที่บ่นพึมพำขึ้นหลังจากได้สติกลับมาครู่ใหญ่

พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจำนวนสี่คนตายสามหนีไปหนึ่ง ในเวลานี้ทุกคนต่างมองว่าทั่วทั้งแดนลัทธิราชันคงมีเพียงนักพรตไป๋ยื่อเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสู้กับคนโหดอันดับหนึ่งได้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปท้าสู้กับคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว ต่อให้มีคนกล้าไปท้าสู้กับคนโหดอันดับหนึ่ง ก็เป็นการรนหาที่ตายเอง

“ไม่นาน การต่อสู้ระหว่างคนโหดอันดับหนึ่งกับนักพรตไป๋ยื่อใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานหรอกนะ” มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมองไปบนท้องฟ้า และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ

“จริงรึ?” มียอดฝีมือที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จะอย่างไรเสียการศึกระดับนี้ใช่ว่าจะระเบิดศึกขึ้นมาได้โดยง่ายดาย

“นักพรตไป๋ยื่อได้ลงมือแล้ว การที่เขาลงมือช่วยเหลือราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไป ก็เป็นการบ่งบอกว่าเขาจะต้องแตกหักกับคนโหดอันดับหนึ่งจนถึงที่สุดแน่นอน” ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่าทีหนักแน่นจริงจัง

เมื่อครู่มือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งที่คว้าเข้ามา และช่วยเหลือราชันแท้จริงมู่เจี้ยนที่บาดเจ็บสาหัสในห้วงแห่งความเป็นความตายชั่วพริบตาเดียว ขณะที่มือขนาดใหญ่ยื่นเข้ามานั้น กลิ่นอายขั้นอมตะตลบอบอวล

เป็นการลงมือของนักพรตไป๋ยื่อนั่นเอง พริบตาเดียวระหว่างความเป็นความตาย บางทีก็คงมีผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนักพรตไป๋ยื่อที่มีกำลังความสามารถช่วยราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไปได้ หาไม่แล้วคนอื่นๆ มารนหาที่ตายทั้งสิ้น

“การแย่งชิงความเป็นหนึ่งของแดนลัทธิราชันนะเนี่ย” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยได้สติกลับมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และพึมพำขึ้นมา

ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน และไม่กล้าพูดจาไม่ระวังปาก

ไม่ว่าจะเป็นคนโหดอันดับหนึ่ง หรือนักพรตไป๋ยื่อ ในความคิดของทุกคนมองว่าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวยิ่ง

“จบสิ้นกันแล้ว” หลังจากที่หลี่ชิเย่สังหารลู่เคอะเวิงไปแล้วยังคงมีท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

แม้ว่าเขาจะสังหารพวกของลู่เคอะเวิงที่เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะที่อยู่ในระดับสูงสุดทั้งสามคน เขายังคงเรียบเฉยและสบายอกสบายใจ เหมือนว่าเป็นเพียงเรื่องที่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ท่าทีลักษณะเช่นนี้ทำให้ทุกคนที่มองเห็นถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง

แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ประกายเซียนที่แผ่กระจายออกมาจากเมืองหมิงลั่วเฉิงได้ถึงที่สุดของมันแล้ว ได้ถึงเวลาที่สว่างไสวมากที่สุดแล้ว

ครั้นประกายเซียนสว่างไสวจนถึงที่สุดแล้ว ประกายเซียนก็จะสว่างเต็มที่แล้วก็เสื่อมลง ประกายเซียนค่อยๆ มืดสลัวลง และแสงสว่างที่แผ่กระจายออกมาทั่วเมืองเริ่มโอนเอนไปมา เหมือนจะดับมอดลงเร็วๆ นี้อย่างนั้น

“ยังดีที่ไม่ได้ทำให้ข้าเสียงานใหญ่” หลี่ชิเย่ที่มองดูประกายเซียนโอนเอนไปมา สายตาของเขาเพ่งไปข้างหน้า ก้าวเท้าทีเดียวก็เข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิง

หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว มือทั้งสองข้างกวักออกไปทีหนึ่ง ประกายเซียนที่แผ่ออกมาทั่วเมืองหมิงลั่วเฉิงเสมือนหนึ่งถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กแรงสูงอย่างนั้น ประกายเซียนแต่ละสายล้วนแล้วแต่มุ่งหน้าไปรวมตัวอยู่ในมือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่

ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ได้รวบรวมประกายเซียนเอาไว้ท่ามกลางมือทั้งสอง พวกเขามองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่กะพริบตา

“มีศิลาเซียนจริงๆ เกรงว่าศิลาเซียนก็อยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงนั่นเอง” มีผู้อดที่จะพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อมองเห็นประกายเซียนที่โอนเอนไปมาอยู่ท่ามกลางมือทั้งสองของหลี่ชิเย่ เหมือนมีชีวิตอย่างนั้น

นาทีนี้ ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงได้มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ และสำนักเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรมารวมตัวกัน มียอดฝีมือผู้มีฝีมือสูงส่งจำนวนเท่าไร และเทพแท้จริงขั้นอมตะถึงกับเดินทางมาไกลนับล้านล้านลี้ ที่พวกเขามาก็เพื่อศิลาเซียนก้อนนี้

เวลานี้แม้ว่าพวกเขารู้ทั้งรู้ว่าศิลาเซียนอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงนั่นเอง แม้ว่าศิลาเซียนกำลังจะปรากฏ แต่ว่า ไม่มีใครกล้าวางแผนกับมันอีกแล้ว และไม่มีใครกล้าวางแผนอะไรกับมันอีก ไม่มีคนหนึ่งคนใดมีแนวคิดที่จะไปแตะต้อง

ภายในใจของทุกคนต่างเข้าใจ ในขณะนี้ศิลาเซียนก้อนนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากคนโหดอันดับหนึ่ง แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าแย่ง

เวลานี้ต่อให้ศิลาเซียนก้อนนี้ถูกโยนไว้บนพื้นก็ไม่มีใครกล้าไปหยิบ มันคือของๆ คนโหดอันดับหนึ่ง แล้ว ใครก็ตามกล้าคิดวางแผนกับมันก็คือรนหาที่ตายเอง!

……………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *