Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2690 ตรึงสังหาร

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2690 ตรึงสังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2690 ตรึงสังหาร

“อ๊ากกก…” เสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนาดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เลือดสดๆ ได้ไหลหยดลงมาจากปลายแหลมของหอกลงทีละหยดๆ ทั่วฟ้าดนกลับกลายเป็นเงียบสงัดไปโดยพลัน

จี๊ด จี๊ด จี๊ด…ในเวลานี้ มองเห็นเพียงหอกปีศาจแดนอเวจีที่ตรึงสังหารอยู่บนอกของนักพรตไป๋ยื่อขึ้นไป ได้เกิดการลุกไหม้ขึ้นมาโดยเริ่มต้นขึ้นจากตำแหน่งของหน้าอกของนักพรตไป๋ยื่อแล้วไหม้ลามไปทั้งตัว

หนึ่งหอกที่แทงทะลุอกของนักพรตไป๋ยื่อนั้น ไม่ได้ทำให้เขาต้องตายไปในทันที ขณะที่หอกปีศาจแดนอเวจีได้เริ่มลุกไหม้ขึ้นมาจากตำแหน่งของหน้าอกของเขานั้น พลันทำให้นักพรตไป๋ยื่อต้องรับกับความเจ็บปวดที่น่ากลัว

“อ๊ากกก…” ความถี่ของเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนายิ่งที่ไล่หลังตามกันมาสูงขึ้นเรื่อยๆ นักพรตไป๋ยื่อร้องด้วยเสียงที่แหลมดังน่าเวทนาขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งหอกที่ทิ่มแทงทะลุอกของเขาไม่ได้ตรึงสังหารเขาในทันที แต่ ภายใต้พลังของหอกปีศาจแดนอเวจีกลับทำการหลอมกลั่นตัวเขาทีละนิดๆ

ความถี่ของเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนายิ่งที่ไล่หลังตามกันมาเรียกได้ว่ามีความถี่เสียงที่สูงขึ้นกว่าลูกหน้านั้น ได้ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ฉีกปุยเมฆจนแหลกละเอียด ด้วยเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่ดังก้องสะท้อนระหว่างฟ้าดิน ทำให้ผู้คนถึงกับร่างสั่นเทิ้มเมื่อได้ยิน

ลำพังแค่ความถี่ของเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนายิ่งที่ไล่หลังตามกันมานี้ก็สามารถจินตนาการได้ว่า ความเจ็บปวดที่นักพรตไป๋ยื่อต้องรองรับนั้นน่ากลัวเพียงใด

“ดี ฆ่าได้ดีมาก ต้องอย่างนี้สิ” แม้ว่าเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดน่าเวทนาของนักพรตไป๋ยื่อจะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเมื่อได้ยิน แต่ทว่า ยังคงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกได้ระบายอารมณ์

มองเห็นนักพรตไป๋ยื่อที่ถูกหอกปีศาจแดนอเวจีตรึงสังหารอยู่ที่ตรงนั้น มองดูร่างกายของนักพรตไป๋ยื่อที่ถูกเผาไหม้ไปทีละนิดๆ ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าได้ระบายอารมณ์ ทำให้ผู้คนจำนวนมากถึงกับสูดลมหายใจยาวๆ เข้าไปทีหนึ่ง รู้สึกสะใจ

“คนโหดอันดับหนึ่งคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของแดนลัทธิราชัน และเป็นเทพผู้พิทักษ์ของแดนลัทธิราชันพวกเรา” ในเวลานี้มีผู้ที่สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ทีหนึ่งเหมือนหนึ่งได้ปลดภาระหนักอึ้งบนบ่าลง นาทีนี้ ฐานะของหลี่ชิเย่ถูกยกระดับสูงขึ้นภายในใจของผู้คนจำนวนมากในทันที กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์ที่อยู่ภายในใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก ในทัศนะของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วน คนโหดอันดับหนึ่งในขณะนี้ได้กำจัดมารร้ายอย่างนักพรตไป๋ยื่อไปนั้น เขาได้ช่วยเหลือแดนลัทธิราชันทั้งหมดเอาไว้

“อ๊ากกก…” เสียงร้องแหลมเศร้ารันทดที่น่าเวทนายิ่งเสียงสุดท้ายที่ดังก้องฟ้าดินขึ้นมา นาทีนี้ นักพรตไป๋ยื่อที่ถูกเผาไหม้ไปนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีที่ปลิวกระจายไปตามลม

ขณะที่นักพรตไป๋ยื่อที่ได้ปลิวกระจายไปตามลมแล้วนั้น เห็นเพียงบริเวณที่มีการตรึงสังหารโดยหอกปีศาจแดนอเวจีนั้นปรากฎประกายของพลังแก่นที่สาดส่องขึ้นมา คล้ายมีบึงน้ำที่พร่างพราวยิ่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ตรงนั้น

“ดูสิ นั่นมันคืออะไร…” มองเห็นบริเวณที่มีการตรึงสังหารโดยหอกปีศาจแดนอเวจีนั้น ปรากฏพลังแก่นฟ้าดิน น้ำแก่นสัจธรรมที่มีความเข้มข้นมากๆ จนไม่สามารถแยกออกได้ไปรวมตัวกันอยู่

ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมานั้น ปรากฏเสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา เห็นเพียงหอกปีศาจแดนอเวจีได้ตรึงลงไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ พลังแก่นฟ้าดิน น้ำแก่นสัจธรรมที่เสมือนดั่งเป็นบึงน้ำแห่งหนึ่งพลันถูกตรึงเข้าไปอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่

“นั่นคือน้ำแก่นสัจธรรม พลังแก่นฟ้าดินทั้งหมดหลังจากที่ถูกนักพรตไป๋ยื่อกลืนกินไป ล้วนแล้วแต่กลับมาอยู่ที่ตรงนี้” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ได้สติตอบสนองกลับมาแล้ว เมื่อมองเห็นน้ำแก่นสัจธรรมที่เสมือนดั่งเป็นบึงน้ำแห่งหนึ่งนั่น

“ฝีมือของคนโหดอันดับหนึ่งช่างฝืนลิขิตสวรรค์มากเหลือเกิน” เทพแท้จริงขั้นอมตะรุ่นอาวุโสถึงกับปลงอนิจจังและทอดถอนใจขึ้นมา

นักพรตไป๋ยื่อถูกเผาไหม้ไปภายใต้หอกปีศาจแดนอเวจี แต่ทว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ที่ถูกเขากลืนกินไปกลับยังคงอยู่ พลังแก่นฟ้าดิน น้ำแก่นสัจธรรมปริมาณมหาศาลถูกรักษาเอาไว้ได้ทั้งหมด

ตูม ตูม ตูมในเวลานี้เอง เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย มองเห็นน้ำแก่นสัจธรรมที่เสมือนดั่งเป็นบึงน้ำ และพลังแก่นฟ้าดินที่ดั่งคลื่นที่โหมสาดซัดพุ่งเข้าหาผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ทันที

ท่ามกลางเสียงที่ดังตูม ตูม ตูมที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก เห็นเพียงน้ำแก่นสัจธรรม และพลังแก่นฟ้าดินอาศัยความเร็วที่รวดเร็วมากกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินแห่งนี้ คล้ายดั่งน้ำบึงปริมาณมหาศาลที่ถูกสาดลงไปท่ามกลางทะเลทราย ทำการหล่อเลี้ยงทะเลทรายอันกว้างใหญ่ทั้งผืนภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดอย่างนั้น

ในเวลานี้เอง ได้ยินเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ส่งเสียงตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก บรรดาแม่น้ำลำคลองที่เคยถูกทำลายจนพังพินาศย่อยยับ บึงและทะเลสาบที่แห้งเหือด ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่แตกละเอียด ภูเขาที่พังถล่มลงมา…ได้ค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพ บรรดาป่าไม้ที่แห้งเหี่ยวเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาแผ่ขยายเป็นใบเขียวออกมา

แม้จะกล่าวว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ในเวลานี้ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพได้ดังเดิมอีกแล้ว แต่ว่า ภายใต้น้ำแก่นสัจธรรม และพลังแก่นฟ้าดินปริมาณมหาศาลที่หวนกลับคืนมา ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ค่อยๆ ฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้าๆ หลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ได้ปรากฎความมีชีวิตชีวาไม่เหมือนเช่นเมื่อครู่ที่เป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ไม่เป็นเพียงพื้นที่ที่ไหม้เกรียมอีกต่อไป

“คนโหดอันดับหนึ่งยอดเยี่ยมมากเลย มีจิตใจที่กว้างขวางหนึ่งไม่มีสองเช่นนี้ ถามโลกหล้า ผู้ใดเล่าจะเทียบเทียมได้?” ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่หรือไม่ ต่างอดที่จะทอดถอนใจขึ้นมา และให้ความเคารพเลื่อมใส เมื่อได้มองเห็นภาพนี้แล้ว

สมควรทราบว่า การเผชิญกับน้ำแก่นสัจธรรมและพลังแก่นฟ้าดินปริมาณมหาศาลขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนโง่เขลาอย่างไรก็รู้ว่า ด้วยพลังที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้มันคืออาหารเสริมชั้นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปราศจากผู้ต่อกรระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะชั้นคงความอมตะตลอดกาลขึ้นไปนั้น ของเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นอภิมหายาโดปเลยก็ว่าได้ หากนำเอาน้ำแก่นสัจธรรม และพลังแก่นฟ้าดินลักษณะเช่นนี้มาหลอมกลั่นให้เป็นของตนเองล่ะก็ จะได้รับประโยชน์ไม่มีสิ้นสุด

ของดีที่ประเมินค่าไม่ได้ สิ่งที่เป็นของบำรุงชั้นยอดเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตามก็ต้องใจเต้นตูมตาม ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาน้ำแก่นสัจธรรมและพลังแก่นฟ้าดินเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกกลืนกินเข้าไปโดยนักพรตไป๋ยื่อทั้งสิ้น เวลานี้เป็นหลี่ชิเย่ที่สังหารนักพรตไป๋ยื่อแล้วได้พวกมันมาครอบครอง ต่อให้หลี่ชิเย่ยึดเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นของตน ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

แต่ว่า การที่คนโหดอันดับหนึ่งกลับไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อสิ่งที่เป็นของบำรุงชั้นเลิศนี้เลยแม้แต่น้อย จัดการปล่อยให้น้ำแก่นสัจธรรม พลังแก่นฟ้าดินทั้งหมดกลับคืนสู่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่โดยตรง คืนให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ไป

ผู้คนต่างรู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว จะอย่างไรเสียการเผชิญกับสิ่งยั่วยวนที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เกรงว่าทั่วหล้าคงไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้สึกใจเต้นตูมตาม แต่ว่า คนโหดอันดับหนึ่งกลับสามารถทำได้แล้ว ด้วยการคืนน้ำแก่นสัจธรรม และพลังแก่นฟ้าดินที่มากมายมหาศาลเช่นนี้กลับไปให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ตามอารมณ์ยิ่ง

ตูม…ท้ายที่สุด ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ได้พวยพุ่งประกายที่ดั่งคลื่นยักษ์ขึ้นมา ในเวลานี้เอง สามารถได้ยินเสียงของน้ำที่ดังช่าาาขึ้นมา และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ทั้งหมดก็ได้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม เพียงแต่ ท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญตน หรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาใดๆ อีกแล้ว

หลังจากที่มีการพวยพุ่งเป็นประกายขึ้นมาแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ก็ได้กลับคืนสู่ความสงบ แม้ว่าสภาพของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยังคงมีพื้นที่ที่แตกหักโดยทั่วไป แต่ก็ได้ฟื้นกลับคืนมาได้ไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งนี้ยังคงมีชีวิตชีวา ยังสามารถอาศัยอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป

“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่จบสิ้นแล้ว” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเสียใจและส่ายหน้าเมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว แม้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่สามารถรักษาเอาไว้ได้ในที่สุด แต่ ศิษย์จำนวนล้านล้านคนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่ทั้งหมดถูกนักพรตไป๋ยื่อสังหารสิ้น เวลานี้เหลือไว้แต่เพียงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเท่านั้น แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า

“บางทีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่อาจยังคงมีปลาที่รอดจากร่างแหไปได้” ระดับบรรพบุรุษก็ได้แต่ทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ ขณะมองดูระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลักษณะเช่นนี้

จะอย่างไรเสีย ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ไม่แน่เสมอไปว่าศิษย์ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิล้วนแล้วแต่พักอาศัยอยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเสมอไป จะอย่างไรก็ต้องมีปลาที่รอดจากร่างแหไปได้

สุดท้าย ภายใต้สายตาของผู้คนจำนวนมาก ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิได้ล่องลอยจากไปเงียบๆ หายไปท่ามกลางท้องฟ้า โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะล่องลอยไปอยู่ ณ แห่งใดในที่สุด

สรุปคือ หลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตระกูลมู่หายไปแล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่แดนลัทธิราชันอีกเลย จากนี้เป็นต้นไปตระกูลมู่ก็ได้ถูกลบชื่อออกไปจากแดนลัทธิราชันอย่างสิ้นเชิง เคยเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กลับหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวภายในชั่วข้ามคืน เหลือไว้เพียงประวัติศาสตร์จากนี้เป็นต้นไป

ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกเศร้าใจและแรงบันดาลใจขึ้นมา ขณะมองดูระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งที่ล่องลอยจากไปอย่างเงียบๆ ลองนึกดู ตระกูลมู่นั้นนับว่ามีความแข็งแกร่งมากพอแล้วสิ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยักษ์ใหญ่ เพียงพอที่จะสยบทั่วหล้า ในโลกนี้ยากที่จะมีผู้ใดสามารถสั่นคลอนพวกเขาได้

แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้วยังคงหายวับไปกับตาชั่วพริบตาเดียวในชั่วข้ามคืนมิใช่รึ ยังคงถูกลบชื่อออกจากแดนลัทธิราชันในชั่วข้ามคืน

ลองนึกกันดูอีกทีกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนเอง ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็เทียบกับตระกูลมู่ไม่ได้ แม้แต่ตระกูลมู่ยังมีจุดจบเช่นนี้ ดังนั้นมาคราวนี้จึงเป็นเครื่องเตือนให้ตื่นตัวกับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วน

“บุปผาไม่บานสะพรั่งตลอดไป วันคืนที่เป็นสุขของคนเราก็ไม่มีตลอดกาล” ระดับบรรพบุรุษอดที่จะพูดปลงอนิจจังขึ้นมา ในเวลานี้ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มสำรวจตัวเองแล้ว และเตือนตนให้ระแวดระวังภายในใจ อย่าได้พบกับจุดจบเฉกเช่นตระกูลมู่เด็ดขาด

“ทำไม ไม่หนีแล้วรึ?” ในขณะที่ทุกคนกำลังกลัดกลุ้มกับตระกูลมู่อยู่นั้น จังหวะที่ทุกคนรู้สึกปลงอนิจังต่างๆ นานากับการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งอยู่นั้น ไม่มีใครสนใจถึงคนอีกสองคน สองคนที่ว่านี้ก็คือฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่ง

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของพวกเขาทั้งสองแล้ว ฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งพวกเขาทั้งสองต่างนิ่งเงียบไป ท่าทางเหมือนด้านชาไปบ้าง พวกเขารู้ชะตากรรมของตนเองแล้ว

ทุกคนอดที่จะจ้องมองไป สายตาทุกคู่ต่างตกอยู่บนตัวของฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่ง

ในอดีตทั้งฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งต่างก็เป็นบุคคลที่มีอำนาจสยบผู้คนทั่วหล้า แต่ว่า มาวันนี้ขณะหลี่ชิเย่ยืนอยู่ที่ตรงนั้น ทั้งฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งล้วนแล้วแต่ดูจะไม่คู่ควรจะเอ่ยถึงไปแล้ว

กระทั่งกล่าวได้ว่า พวกเขาสองคนขณะอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่เป็นเพียงมดสองตัวเท่านั้นเอง ลองนึกภาพดู แม้แต่นักพรตไป๋ยื่อที่เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลยังต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว เฉกเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งยังจะดิ้นรนอะไรได้

“ต่อให้แผ่นดินกว้างใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีที่ที่จะยืนได้” ฮ่องเต้ไท่ชิงที่มีท่าทางเฉยชาทอดถอนใจออกมาอย่างปลงอนิจจัง สุดท้ายเขาได้หัวเราะอย่างขมขื่น และกล่าวว่า “ต่อให้โลกกว้างใหญ่มากกว่านี้ ก็หนีไปไหนไม่ได้”

ในเวลานี้ ต่อให้หลี่ชิเย่ปล่อยให้พวกเขาทั้งสองหนีไปตามอำเภอใจ ฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งก็ขี้คร้านจะหนีไปไหนอีกแล้ว

เนื่องจากกล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากพวกเขาเสมือนดั่งมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ ต่อให้พวกเขาหนีไปไกลมากกว่านี้ ขอเพียงหลี่ชิเย่ต้องการสังหารพวกเขา แค่หนึ่งฝ่ามือที่ตบเข้ามาก็สามารถตบพวกเขาทั้งสองจนกลายเป็นเนื้อบด

“นี่เป็นการรนหาที่ตายเองของฮ่องเต้ไท่ชิง” ในเวลานี้ไม่มีใครเห็นใจฮ่องเต้ไท่ชิงอีกแล้ว สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการรนหาที่ตายเองของพวกเขา

“เรื่องนี้นับว่าพวกเจ้ายังรู้ตัวดี” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าจะปลิดชีพตนเอง หรือจะให้ข้าลงมือ?”

ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่ง จะอย่างไรเสียพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นพวกเขา จะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตายไปอย่างเงียบๆ เป็นแน่ บางทีพวกเขาอาจจะมีวิธีการตายที่มีเกียรติ

………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *