Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2691 นายผู้มีคุณธรรมขุนนางผู้ภักดี

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2691 นายผู้มีคุณธรรมขุนนางผู้ภักดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2691 นายผู้มีคุณธรรมขุนนางผู้ภักดี

ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่ง ต่างรอคอยคำตอบของพวกเขา

ผู้คนทั่วหล้าต่างมองว่า จุดจบของฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งพวกเขาสองคนได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะดั่งเช่นนักพรตไป๋ยื่อยังไม่อาจหนีความตายไปได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกเขา

กล่าวสำหรับฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งพวกเขาทั้งสองแล้ว พวกเขาก็แค่จะตายด้วยวิธีเช่นใดเท่านั้นเอง ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะต้องตาย

“ฝ่าบาทที่เคารพ พวกเราสามารถเจรจาเงื่อนไขได้นะ” ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงกำลังนิ่งเงียบนั้น ซุนหลิ่งหยิ่งได้ก้าวเดินออกมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เจรจาเงื่อนไข?” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่งจ้องมองดูซุนหลิ่งหยิ่ง และกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าในมือของพวกเจ้ายังมีแต้มต่ออะไรที่จะเจรจาเงื่อนไขกับข้ารึ?”

ซุนหลิ่งหยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับด้วยท่าทางที่ดูให้ความเคารพยิ่ง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท พวกเรารู้ว่าพระนางอยู่ที่ใด พวกเรารู้ว่าพระนางตกไปอยู่ในมือของใคร ขณะเดียวกันพวกเราต้องแถลงชัดก็คือ พวกเราไม่ได้มุ่งร้ายต่อพระนางแม้แต่น้อย พวกเราเพียงต้องการพาตัวพระนางไปเพื่อลวงให้ฝ่าบาทก้าวเข้าไปในหลุมพรางเท่านั้นเอง พวกเราไม่เคยคิดทำร้ายพระนางเลย”

“มันมีข้อแตกต่างรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย ไม่มีท่าทีร้อนรนแม้แต่น้อย

ซุนหลิ่งหยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับ และกล่าวว่า “กระหม่อมทราบดีว่า การลักพาตัวพระนางไปนั้นได้กระทบกับต่อมโกรธของฝ่าบาท โทษสมควรตายหมื่นครั้ง กระหม่อมเองก็ไม่ผลักภาระนี้ไปจากตัว กระหม่อมยินดีกราบทูลข่าวดังกล่าวนี้แก่ฝ่าบาท และกระหม่อมยินดีทำคุณไถ่โทษ กระหม่อมมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวเท่านั้น”

ทุกคนล้วนแล้วแต่มองไปที่ซุนหลิ่งหยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในเวลานี้ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่าซุนหลิ่งหยิ่งจะยื่นเงื่อนไขอะไร กระทั่งมีผู้ที่คาดเดาอยู่ภายในใจว่า ในเวลานี้มีความเป็นไปได้ที่ซุนหลิ่งหยิ่งจะทรยศฮ่องเต้ไท่ชิง

จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว ในห้วงระหว่างความเป็นความตายไม่ว่าใครก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าใครก็ต้องการคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ และไม่ยอมตายไปเช่นนี้

ในมุมมองของผู้คนจำนวนมากมองว่า ต่อให้ซุนหลิ่งหยิ่งทรยศฮ่องเต้ไท่ชิงในเวลานี้ก็หาใช่เป็นเรื่องแปลก ถือเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์

“อ๋อ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากจะให้ข้าละเว้นให้เจ้ามีสภาพศพที่สมบูรณ์อะไรนั่นล่ะก็ ข้าสามารถตอบสนองให้เจ้าพึงพอใจตามต้องการได้”

“ฝ่าบาทที่เคารพ กระหม่องทูลขอให้ละเว้นฮ่องเต้องค์ก่อน” ซุนหลิ่งหยิ่งโค้งคำนับอย่างงาม ท่าทางให้ความเคารพอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างโทษอยู่ที่กระหม่อม เป็นกระหม่อมที่เสนอให้ลักพาตัวพระนางเป็นคนแรก เพื่อหลอกล่อให้ฝ่าบาทไปติดกับ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของที่เจ้ากี้เจ้าการของกระหม่อมเอง ดังนั้น กระหม่อมยินดีรับความผิดทุกประการ ขอเพียงฝ่าบาทละเว้นสักครั้ง”

คำพูดเช่นนี้ของซุนหลิ่งหยิ่งพลันทำให้ทุกคนต่างชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง นับว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเหนือความคาดคิด และทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องนับถือ

“ซุนหลิ่งหยิ่ง ขุนนางผู้ภักดีแห่งยุค มิน่าเล่าฮ่องเต้ไท่ชิงถึงได้ให้ความสำคัญเขาขนาดนี้ แม้ว่าจะเป็นขุนนางมาสามยุค ยังคงมีจิตใจที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิง ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงไม่เสื่อมคลาย และไม่โทษฮ่องเต้ไท่ชิงที่มองว่าเขาดั่งแขนซ้ายแขนขวา” มีเทพแท้จริงขั้นอมตะถึงกับทอดถอนใจขึ้นมาในเวลานี้

มีฮ่องเต้ที่กุมอำนาจการปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งถึงกับอิจฉากับสิ่งนี้ เมื่อมองเห็นซุนหลิ่งหยิ่งมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้ กล่าวทอดถอนใจขึ้นมาว่า “ชีวิตคนเรา หากได้ขุนนางซื่อสัตย์สักคนก็เพียงพอแล้ว!”

ใต้หล้านี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องรู้สึกเลื่อมใส และมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องอิจฉากับสิ่งนี้

ผู้คนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่า ซุนหลิ่งหยิ่งติดตามฮ่องเต้ไท่ชิงมาแล้วสามยุค เขามีจิตใจที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงเสมอตลอดสามยุคสมัยที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าได้สร้างผลงานให้กับฮ่องเต้ไท่ชิงเอาไว้เท่าไร

แน่นอน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮ่องเต้ไท่ชิงก็ไม่เคยผิดต่อเขา ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ซุนหลิ่งหยิ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ ฮ่องเต้ไท่ชิงให้ความสำคัญในตัวของเขาอย่างยิ่ง

ขณะที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น บ่อยครั้งที่ซุนหลิ่งหยิ่งคือตัวแทนของฮ่องเต้ไท่ชิง เป็นตัวแทนอำนาจของฮ่องเต้ไท่ชิง และฮ่องเต้ไท่ชิงไม่เคยจะต้องกังวลว่าซุนหลิ่งหยิ่งจะล้ำเส้นใดๆ ทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่า ในสามยุคสมัยที่ผ่านมา พวกเขานายกับบ่าวสองคน บ่าวซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาย นายปฏิบัติต่อบ่าวดั่งแขนขา

คู่นายกับบ่าวลักษณะเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเล่าขานกันในแดนลัทธิราชัน ไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องอิจฉา และมีผู้ปกครองจำนวนเท่าไร ที่ภายในใจของผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะกุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือพวกเขาต่างกระหายอยากว่า ตนเองสามารถมีขุนนางที่ซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้ในครอบครอง

แม้จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นความตาย คนที่ซุนหลิ่งหยิ่งนึกถึงเป็นคนแรกก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นฮ่องเต้ไท่ชิง ขอเพียงมีผู้หนึ่งที่มีโอกาสรอดชีวิตได้ เขาก็จะมอบโอกาสนี้ให้กับฮ่องเต้ไท่ชิง แต่ไม่ใช่ตนเอง

ขุนนางที่ภักดีเช่นนี้ จะไม่ให้ผู้คนต้องเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาได้อย่างไรเล่า? จะไม่ให้ผู้อื่นต้องให้ความเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างไรเล่า

“หลิ่งหยิ่งน่ะ” จังหวะที่ซุนหลิ่งหยิ่งกำลังร้องขอต่อหลี่ชิเย่อยู่นั้น ฮ่องเต้ไท่ชิงส่ายหน้า และยิ้มกล่าวว่า “เจ้าติดตามข้ามาสามยุคสมัยแล้วยังไม่เข้าใจนิสัยของข้ารึ? ชั่วชีวิตของฮ่องเต้ไท่ชิงอย่างข้าหาใช่เป็นผู้ที่กระดิกหางร้องขอต่อคนอื่น”

“ฝ่าบาท…” ซุนหลิ่งหยิ่งถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา

ฮ่องเต้ไท่ชิงโบกมือเบาๆ ส่ายหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ไม่ต้องพูดมากความอีกแล้ว จะอย่างไรก็ต้องตาย สามารถตายภายใต้สิบสามลัคนาก็นับว่าไม่ทำให้ชั่วชีวิตของข้าฮ่องเต้ไท่ชิงต้องเสียเกียรติ เพียงแต่เสียดายที่ข้ากลับไม่สามารถปกป้องเจ้า ชาตินี้กำลังของข้าต่ำต้อยเกินไป”

“ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้ว” ซุนหลิ่งหยิ่งแสดงคารวะ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “กระหม่อมเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาทจึงมีวันนี้ กระหม่อมติดตามฝ่าบาทมาสามยุคสมัย ไม่สามารถรับใช้อย่างเต็มกำลังความสามารถ กระหม่อมละอายยิ่งนัก”

“ชาตินี้มีขุนนางที่ภักดีเช่นเจ้า ข้า ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว” ฮ่องเต้ไท่ชิงพยุงซุนหลิ่งหยิ่งเอาไว้ หัวเราะเสียงดัง องอาจผึ่งผาย และมีท่วงท่าของความพาล

“กษัตริย์ปฏิบัติต่อข้าในฐานะที่เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ข้าต้องตอบแทนด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่ควรจะทำในฐานะเสาหลักของบ้านเมือง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องทอดถอนใจขึ้นมา และสะอื้นกับสิ่งนี้ เมื่อได้มองเห็นภาพนี้แล้ว

การที่ซุนหลิ่งหยิ่งมีความซื่อสัตย์และภักดีย่อมเป็นที่เคารพเลื่อมใสของผู้คน และการที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเพียบพร้อมด้วยปรีชาญาณ นับว่าคู่ควรให้ผู้คนติดตามอย่างเต็มใจ กล่าวได้ว่า มีเพียงเจ้าผู้ครองแคว้นเฉกเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงที่คู่ควรกับซุนหลิ่งหยิ่งที่เป็นขุนนางซื่อสัตย์แห่งยุคเช่นนี้

“นับเป็นคู่นายบ่าวที่มีความผูกพันดีมาก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า ข้าก็สมควรส่งพวกเจ้าไปปรโลกได้แล้ว”

“ข้าสามารถบอกร่องรอยของนังหนูหลิ่วแก่เจ้า สิ่งนี้ถือเสียว่าเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่งก่อนที่ข้าจะตาย” ฮ่องเต้ไท่ชิงเผชิญกับมันอย่างไม่สะทกสะท้าน กล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง

เวลานี้เขาไม่ได้ร้องขอให้หลี่ชิเย่ละเว้นตน ยังคงมีความหยิ่งยโสยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นบุรุษกระดูก เหล็กคนหนึ่ง

“ไม่จำเป็น” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ในฟ้าดินแห่งนี้ ขอเพียงข้าเปิดเนตรฟ้า มีใครบ้างที่สามารถหลบหนีไปได้? พลันที่ข้าลงมือ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของข้า จะหาคนสักคนจะไปยากเย็นอะไร เพียงแต่พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง ไม่รู้จักคำว่าตายเท่านั้น”

ฮ่องเต้ไท่ชิงถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ รู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง หัวเราะเสียงดังพยักหน้ายอมรับ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นความจริงที่ข้า ฮ่องเต้ไท่ชิงเล่นหมากเกมนี้ออกจะไม่รู้จักคำว่าตายอยู่บ้าง เป็นความจริงที่ข้าหลงตัวเองมากไปหน่อย ข้าวางแผนแล้ววางแผนอีก กลับไม่สามารถวางแผนได้เหนือกว่าเจ้า แต่ว่า จะอย่างไรก็ได้แล้วล่ะ ห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ที่สมควรถูกทำลายก็ทำลายไปแล้ว ที่ควรล่มสลายก็ล่มสลายไปแล้ว ที่สมควรสยบก็ได้สยบแล้ว มาวันนี้ ตระกูลมู่ได้ถูกทำลายไปแล้ว นักพรตไป๋ยื่อก็ได้ตายไปแล้ว หมากเกมนี้นับว่ายังใช้ได้”

ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้าซึ่งกันและกันเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเช่นนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว ในเวลานี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่สะดุ้งกับสิ่งนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจกับแผนการลักษณะเช่นนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิง

ลองนึกถึงครั้งนั้น แม้ว่าขณะฮ่องเต้ไท่ชิงครองอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่นั้น ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ยังคงมีห้าแกร่งอยู่กันพร้อมหน้า ลักษณะอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นไปในลักษณะสมดุล

แต่ว่า เมื่อฮ่องเต้ไท่ชิงมอบบัลลังก์ให้กับคนโหดอันดับหนึ่ง ทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวาย แผ่นดินยุ่งเหยิงวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างชิงบัลลังก์ เมื่อคนโหดอันดับหนึ่งลงมือ ทำการกวาดล้างใต้หล้า สำนักที่เป็นห้าแกร่งนั้น บ้างถูกทำลายล้าง บ้างยอมสยบ กลุ่มอำนาจในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่พลันถูกกวาดล้างจนราบคาบ

ทีนี้มาทอดสายตามองไปที่แดนลัทธิราชัน สามผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในลักษณะที่สมดุลตลอดมา ฮ่องเต้ไท่ชิงกลับอาศัยยืมมือบุคคลที่สามมาแบกรับความเสียหายแทนตน ด้วยการล่อให้คนโหดอันดับหนึ่งไปที่ตระกูลมู่ สุดท้ายแล้ว ส่งผลให้ตระกูลมู่หายวับไปกับตาในพริบตา และนักพรตไป๋ยื่อก็ตายอนาถ

ไม่อาจไม่ยอมรับว่าทำให้ผู้คนต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง เมื่อมองดูภาพรวมหมากเกมนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว กล่าวได้ว่าการวางแผนเช่นนี้ของเขาได้กวาดล้างระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่จนราบคาบ ทำลายล้างตระกูลมู่ แผนการลักษณะเช่นนี้นับว่าทำให้ผู้คนต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสศรัทธาจนแทบจะก้มลงกราบเลยทีเดียว

“ใครคือเบี้ย ใครคือผู้เล่น เจ้าเองไม่รู้เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉ่ย ท่าทางตามอารมณ์ยิ่งนัก

“ที่พูดมาก็ถูก” ฮ่องเต้ไท่ชิงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ต่อให้ข้าเป็นผู้เล่น ก็เป็นเพียงผู้เล่นมือรองเท่านั้น ผู้เล่นมือหนึ่งที่แท้จริง คือผู้ที่วางแผนให้ร้ายหมื่นยุค คนที่มีกำลังมากสามารถเอาชนะคนที่มีวิทยายุทธสิบคน ภายใต้กำลังที่เด็ดขาด แผนการทุกอย่างก็เป็นได้เพียงฝีมืออันน้อยนิดเท่านั้นเอง”

ข้อนี้ทำให้ฮ่องเต้ไท่ชิงสะเทือนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากภายใต้กำลังแข็งแกร่งที่เด็ดขาดของหลี่ชิเย่นั้น ทำให้แผนการทั้งหมดของเขาล้วนแล้วแต่เป็นเพียงฝีมืออันน้อยนิดเท่านั้น เป็นได้แค่เพิ่มเติมเสริมแต่งในสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง

ในเวลานี้เอง เขาจึงได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่า คิดจะควบคุมจักรวาล บงการหมื่นยุค ท้ายที่สุดยังคงต้องอาศัยกำลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นตัวสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง มิฉะนั้นล่ะก็ แผนการทุกอย่างก็แค่เหมือนเป็นการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

“เอาล่ะ พวกเจ้าอยากจะตายด้วยวิธีอะไรล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และตามอารมณ์ยิ่งนัก

ทุกคนต่างเข้าใจได้ว่า สิ่งนี้หาใช่เป็นการหยิ่งยโสของคนโหดอันดับหนึ่งที่มีต่อกำลังความสามารถของฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่ง เป็นความจริงเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขาแล้ว พวกเขาเป็นได้แค่มดปลวกเท่านั้น แค่เขายกเท้าขึ้นมาก็สามารถเหยียบพวกเขาทั้งสองจนตายได้

“ชั่วชีวิตของข้าไม่เคยร้องขอให้ละเว้นตน” ฮ่องเต้ไท่ชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ยังคงแข็งแกร่งซื่อตรงไม่อ่อนข้อให้ และกล่าวว่า “ต่อให้ต้องตาย พวกเราก็จะไม่นั่งรอความตาย ต่อให้สู้ไม่ได้ก็จะสู้เต็มที่!”

ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกหวั่นไหวในใจ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิง

ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ดีว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนโหดอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็ตาม ก็ยากจะหนีความตายได้พ้น

แต่ทว่า ท่าทางเช่นนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิงไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไร เมื่อเทียบกับนักพรตไป๋ยื่อ

เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ชั้นคงความเป็นอมตะอย่างนักพรตไป๋ยื่อถึงกับยอมแพ้ต่อคนโหดอันดับหนึ่ง ก้มโค้งให้กับคนโหดอันดับหนึ่ง

แต่ทว่า แม้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงรู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย ยังคงแข็งแกร่งซื่อตรงไม่อ่อนข้อให้ ยังคงเผยเขี้ยวเล็บของตนออกมา สิ่งนี้ทำให้ผู้คนไม่เลื่อมใสศรัทธาไม่ได้

“การที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัยนับว่าสมคำเล่าลือจริงๆ นับว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลยอดเยี่ยมแห่งยุค” ไม่ว่าใครก็ตาม ต่อให้ผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับฮ่องเต้ไท่ชิง อดที่จะเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้ สำหรับกระดูกเหล็กอย่างฮ่องเต้ไท่ชิง

………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *