Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2717 ความลึกซึ้งในการทำกับข้าว

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2717 ความลึกซึ้งในการทำกับข้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2717 ความลึกซึ้งในการทำกับข้าว

จ้าวจื้อถิงเองก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง เมื่อทักษะของกัวเจียหุ้ยก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ จะอย่างไรเสียพวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นพิเศษ การที่จู่ๆ กัวเจียหุ้ยพลันให้ความรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน การเปลี่ยนแปลงในลักษณะเช่นนี้ จ้าวจื้อถิงในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดย่อมสามารถสังเกตเห็นได้

ดังนั้น จ้าวจื้อถิงจึงได้สอบถามกับกัวเจียหุ้ยในเรื่องนี้ กัวเจียหุ้ยไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้กับผู้ใดง่ายดาย ยิ่งไม่กล้าบอกกล่าวต่อบุคคลภายนอก

กัวเจียหุ้ยเองก็ปิดปากเงียบสำหรับการสอบถามของจ้าวจื้อถิงในตอนแรก ไม่กล้าเผยเรื่องนี้ออกมา

เร็วๆ นี้ จ้าวจื้อถิงประสบกับคอขวดในการฝึกปรือ ทำให้หยุดนิ่งไม่ก้าวหน้า ถูกพี่น้องร่วมสำนักแซงล้ำหน้าไปได้ไม่น้อย ขณะที่จ้าวจื้อถิงได้ฝ่าด่านดังกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านคอขวดนี้ไปได้ สร้างความกลัดกลุ้มใจอย่างยิ่ง

กัวเจียหุ้ยในฐานะที่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันกับจ้าวจื้อถิง เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของจ้าวจื้อถิงก็ให้ร้อนรนในใจเช่นกัน และอดที่จะเป็นกังวลต่อจ้าวจื้อถิงขึ้นมา

สุดท้าย กัวเจียหุ้ยยังคงแอบเอาความลับของตนบอกกล่าวต่อจ้าวจื้อถิง จะอย่างไรเสียจ้าวจื้อถิงคอยดูแลนางอย่างดีตลอดมา เวลานี้จ้าวจื้อถิงประสบความยุ่งยาก นางก็คิดจะช่วยเหลือจ้าวจื้อถิงสักครั้ง

แรกทีเดียวจ้าวจื้อถิงไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่ได้ฟังคำจากกัวเจียหุ้ยแล้ว เนื่องจากการเก็บสมุนไพรในครั้งนั้นนางเองก็ร่วมเดินทางอยู่กับกัวเจียหุ้ย ในเวลานั้นสภาพของหลี่ชิเย่นางเองก็รับรู้เป็นอย่างดี ขณะเดินทางกลับนางยังได้ช่วยเหลือกัวเจียหุ้ยแบกหลี่ชิเย่มาแล้ว

เวลานี้ มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่พิการถึงกับกลายเป็นยอดฝีมือที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงอย่างกะทันหัน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ ทำให้จ้าวจื้อถิงไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ถ้าหากคำพูดดังกล่าวไม่ได้ออกจากปากของกัวเจียหุ้ย จ้าวจื้อถิงยังไม่อยากจะเชื่อ นึกว่าเป็นเพียงการล้อเล่น เป็นการเล่นพิเรนทร์เท่านั้น

แต่ว่า ในที่สุดจ้าวจื้อถิงยังคงเชื่อในคำพูดของกัวเจียหุ้ย จะอย่างไรเสียพวกเขาสองพี่น้องมีความสัมพันธ์ดีขนาดนั้น กัวเจียหุ้ยไม่โกหกนางแน่ และทุกคนต่างประจักษ์แก่สายตาถึงความก้าวหน้าของกัวเจียหุ้ยระยะนี้ แม้แต่อาจารย์ของพวกเขายังชมไม่ขาดปาก ต่างบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ กระทั่งชื่นชมกัวเจียหุ้ยว่าได้รับแก่นแท้ของอาจารย์ไปแล้ว

สุดท้าย กัวเจียหุ้ยออกอุบายให้กับจ้าวจื้อถิง ให้นางขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่ แน่นอน กัวเจียหุ้ยยังนึกอุบายได้อีกอย่าง นั่นก็คือให้จ้าวจื้อถิงทำกับข้าวอร่อยๆ ให้หลี่ชิเย่

เนื่องจากครั้งแรกที่หลี่ชิเย่ตื่นขึ้นมาก็ตำหนิตรงๆ ว่าฝีมือนางไม่ดี กับข้าวที่ทำมานั้นกลืนลงคอยาก ขณะที่จ้าวจื้อถิงนั้นเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าแม่ครัวเทพเลอโฉม นางไม่เพียงฝึกวิชาได้ดี ยังปรุงอาหารได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย ถือเป็นแม่ครัวที่มีชื่อของสำนัก

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จ้าวจื้อถิงชื่นชอบการทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้นางได้รับฉายาว่า ‘แม่ครัวเทพเลอโฉม’ ของสำนัก

ด้วยเหตุนี้เอง จ้าวจื้อถิงเองก็ประสงค์อยากได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ เนื่องจากอาจารย์ของนางหมดปัญญากับสภาพของนางแล้ว ภายใต้การชี้แนะหลายครั้งจากอาจารย์ของนาง ยังคงไม่สามารถทะลุคอขวดนั้นไปได้ ดังนั้น จ้าวจื้อถิงจึงฝากความหวังบนตัวของหลี่ชิเย่

ภายใต้การเสนอแนะของกัวเจียหุ้ย จ้าวจื้อถิงก็มาอยู่เป็นเพื่อนกับหลี่ชิเย่ทุกวัน โดยร่วมกับกัวเจียหุ้ยให้การปรนนิบัติต่อหลี่ชิเย่ ทุกๆ วันก็จะคิดทำอาหารจานเด็ดที่ตนเองถนัดมากที่สุด คาดหวังสามารถทำให้หลี่ชิเย่สนใจและได้รับการโปรดปรานจากหลี่ชิเย่

แต่ว่า เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า หลี่ชิเย่ยังคงไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงไม่มีการกระดิกตัว เสมือนดั่งเป็นมนุษย์ผักอย่างนั้น

ครั้นเวลาผ่านไปนานวันเข้า จ้าวจื้อถิงเองก็เริ่มหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่มีความสามารถเช่นนี้จริงหรือไม่ บางทีอาจมีความเป็นไปได้ที่หลี่ชิเย่จะไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาตลอดไป เนื่องจากกัวเจียหุ้ยเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าหลี่ชิเย่จะตื่นขึ้นมาเมื่อไร

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ในที่สุด จ้าวจื้อถิงยังคงยืนหยัดได้ต่อไป วันเวลาอันยาวนานเสมือนหนึ่งเป็นเพียงวันเดียว การที่นางมาร่วมกับกัวเจียหุ้ยให้การปรนนิบัติหลี่ชิเย่นั้น นางได้ถือเอาสิ่งนี้เป็นการทดสอบตนเองไปด้วย นางกำลังทดสอบความอดทน และความมั่นคงของตน

ท่ามกลางขั้นตอนดังกล่าว นางเองก็เริ่มจะค่อยๆ เข้าใจแล้วว่า การฝึกปรือก็สมควรต้องมีความมั่นคงเช่นนี้ ต่อให้รู้ว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ต้องยืนหยัดต่อไป

วันเวลาผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่า จ้าวจื้อถิง และกัวเจียหุ้ยทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่ว่าพวกนางทั้งสองก็คุ้นชินกับการปรนนิบัติเช่นนี้ต่อหลี่ชิเย่แล้วอย่างช้าๆ บางครั้งขณะจ้าวจื้อถิงมาอยู่เป็นเพื่อนกับหลี่ชิเย่ก็จะคุยสับเพเหระ พล่ามบ่นไม่หยุดระบายความรำคาญใจของตนให้หลี่ชิเย่ ฟัง

“หลายวันมานี้ กับข้าวของเจ้าไม่อร่อยเล่ย” และแล้ววันนี้เอง ขณะจ้าวจื้อถิงได้ใช้ความคิดไปมากมาย ทำอาหารเอาไว้เพื่อปรนนิบัติต่อหลี่ชิเย่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

ทันใดนั้น เสียงที่เรียบเฉยได้ดังขึ้นข้างหูของนางกะทันหัน

เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหันทำเอาจ้าวจื้อถิงตกใจยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านั้นกัวเจียหุ้ยเคยเตือนนางเอาไว้ เกรงว่ากับข้าวที่ถืออยู่ในมือคงไปอยู่บนพื้นแล้ว

“ผู้ ผู้ ผู้อาวุโส ไม่ ไม่ คุณชาย” จ้าวจื้อถิงลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ถึงกับพูดจาไม่ลื่นไหล แต่ว่า หลี่ชิเย่ในขณะนี้ยังคงหลับตา และไม่มีการเคลื่อนไหว

ในเวลานี้ จ้าวจื้อถิงยังสงสัยว่าตนเองนั้นเข้าใจผิดไปใช่หรือไม่ ถึงกับกลั้นลมหายใจและจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่

“เจ้าไม่ได้เข้าใจผิด” ในเวลานี้เอง เสียงเรียบเฉยของหลี่ชิเย่ได้ดังขึ้น และเขาเพิ่งจะลืมตาขึ้นจ้องมองนางทีหนึ่ง

จ้าวจื้อถิงเชื่อในคำพูดของกัวเจียหุ้ยอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อหลี่ชิเย่ได้ลืมตาขึ้นมา

เนื่องจากขณะที่หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นจ้องมองนางแวบหนึ่งนั้น แม้ว่าหลี่ชิเย่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แม้ว่าหลี่ชิเย่ยังคงแลดูธรรมดายิ่งนัก บนตัวก็ไม่ได้มีกลิ่นอายที่สะเทือนเลื่อนลั่นอะไร แต่ว่า นางบังเกิดความรู้สึกว่าตนเองนั้นมีขน่ดเล็กดั่งมดปลวกอย่างนั้น ถึงกับต้องแหงนหน้ามองหลี่ชิเย่

ขณะที่แววตาของหลี่ชิเย่ที่มองเข้ามา ก็เหมือนก้มมองดูเหล่าเวไนยสัตว์อย่างนั้น

“จื้อถิงคารวะคุณชาย” เมื่อจ้าวจื้อถิงได้สติกลับมา จึงรีบกลั้นหายใจและคารวะต่อหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีที่เคารพนอบน้อม ไม่กล้ารีบเร่ง

หลี่ชิเย่ได้หลับตาลงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในเวลานี้ ท่าทางของจ้าวจื้อถิงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี หลายครั้งอ้าปากจะพูด แต่ว่า ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี แต่ว่า ก็อดกังวลไม่ได้ว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้จะหลับใหลไปอีกครั้ง

“เจ้าต้องการให้ข้าชี้แนะเจ้าบ้างน่ะสิ” ขณะที่จ้าวจื้อถิงกำลังอึดอัดวางตัวไม่ถูก เสียงที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้น

“ใช่ ใช่ ใช่คุณชาย” เมื่อจ้าวจื้อถิงได้สติกลับมาถึงกับดีใจอย่างยิ่ง รีบพยักหน้าถี่ๆ คล้ายลูกไก่ที่กำลังจิกกินข้าวอย่างนั้น

“ข้าได้ชี้แนะเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่ยังคงนอนอยู่โดยไม่ได้ลืมตาขึ้น

“ได้ชี้แนะข้าไปแล้ว?” จ้าวจื้อถิงถึงกับงุนงง นางได้คิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แต่ไม่พบว่าหลี่ชิเย่ได้ชี้แนะนางตั้งแต่เมื่อไรกัน ในความทรงจำของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ชิเย่ได้ฟื้นตื่นขึ้นมา

“จื้อถิงโง่เขลา ไม่สามารถบรรลุได้” จ้าวจื้อถิงถึงกับเอ่ยขึ้นมาด้วยความงุนงง

“เวลานี้เจ้าเองมิใช่ยืนหยัดมาได้แล้วรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “การฝึกบำเพ็ญเพียร สำคัญอยู่ที่การยืนหยัด การตกผลึกหลังจากหรูหราแต่เปลือกนอก เจ้าลองเปรียบเทียบสภาพจิตของตนเวลานี้กับแรกเริ่ม มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?”

จ้าวจื้อถิงถึงกับงงงันนิดหนึ่ง เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ทันใดนั้นนางพบว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ แรกทีเดียวนางมาร้องขอต่อหลี่ชิเย่ พกพาอารมณ์ความรู้สึกของชื่อเสียงและผลประโยชน์มาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ว่า ภายหลังหลี่ชิเย่ไม่เคยฟื้นหรือตื่นขึ้นมาโดยตลอด ขั้นตอนระหว่างนี้นางเองเคยหวั่นไหว เคยลังเล แต่ว่า นางกลับค่อยๆ ยืนหยัดมาได้อย่างช้าๆ ความคิดเรื่องชื่อเสียงผลประโยชน์ก็ค่อยๆ จางลง และเคยชินกับการปรนนิบัติเช่นนี้ เหมือนหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

เมื่อถึงเวลานี้ นางนับว่าสงบนิ่งลงไม่น้อยเมื่อเทียบกับสภาพจิตที่รีบเร่งในตอนแรก แม้ว่า เวลานี้นางยังคงไม่ได้ทะลุผ่านคอขวดนั้นไปได้ แต่ภายในจิตใจไมได้ยินดีกับลาภยศลงมากทีเดียว และมีจิตใจที่ยืนหยัดได้มากขึ้น เชื่อว่าหากพยายามต่อไป สักวันหนึ่งก็ต้องทะลุไปได้แน่นอน

“แต่ แต่ว่า เวลานี้ข้ายังไม่สามารถค้นพบต้นสายปลายเหตุที่ทำให้สามารถทะลุผ่านคอขวดไปได้” ไม่ง่ายนักกว่าจ้าวจื้อถิงจะได้สติกลับมาและเอ่ยขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นก็ผัดผักให้มากเข้า” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้นมา

“ผัดผักให้มาก…” ทำให้จ้าวจื้อถิงตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นางไม่เข้าใจเลยว่าการฝึกเพื่อให้ทะลุผ่านคอขวดตรงนั้นของตนไปเกี่ยวอะไรกับการทำกับข้าว

“สิ่งสำคัญที่สุดในการผัดผักคืออะไร?” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่จึงได้ลืมตาขึ้นมองดูจ้าวจื้อถิงทีหนึ่ง

“ระดับความร้อนที่ได้ที่” จ้าวจื้อถิงหลุดปากตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด

“ถูกต้อง ไม่ผิด มันคือระดับความร้อนที่ได้ที่” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าสามารถอาศัยวิธีการอะไรไปควบคุมระดับความร้อนให้มันได้ที่ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อาศัยความสามารถของเจ้าสามารถควบุคมระดับความร้อนให้ได้ที่ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว”

“ควบคุมจนไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว?” จ้าวจื้อถิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง

“เจ้าไม่เคยนึกถึงการนำเอาวิธีควบคุมไฟมาใช้ในการผัดผักรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เดิมทีที่เจ้าฝึกอยู่นั้นก็คือวิชาควบคุมไฟ เพราะอะไรเจ้าจึงชื่นชอบในการปรุงอาหารที่อร่อย? นั่นเป็นเพราะเจ้ามีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับไฟ แต่ เจ้าไม่เคยนึกถึงการนำเอาวิชาควบคุมไฟของตนมาใช้กับสิ่งนี้”

จ้าวจื้อถิงพลันรู้สึกเหม่อลอยทันทีเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากหลี่ชิเย่ ที่นางฝึกปรืออยู่ขณะนี้คือหนึ่งในเคล็ดวิชาของนิกายหู้ซานจงพวกเขา ถ้าหากว่านำมาใช้กับการผัดผัก ดูจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ไม่แน่นัก อาจารย์ของพวกเขาอาจถลึงตาและหนวดกระดิก นี่เป็นการลบหลู่ต่อเคล็ดวิชาที่ปราศจากผู้ต่อกรของบรรพบุรุษ

แต่ทว่า เวลานี้เมื่อพิจารณาคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง ในอดีตนางไม่เคยนึกถึงเหตุผลข้อนี้มาก่อน

“ไปรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดที่ลึกซึ้งนั่น เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจทุกๆ การเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดนั่นแล้ว เจ้าก็จะพบว่าคอขวดของตนอยู่ที่ใด” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย

“รับรู้ระดับความได้ที่อันน้อยนิด” คำพูดเพียงไม่กี่คำของหลี่ชิเย่ได้ทำให้จ้าวจื้อถิงซาบซึ้งยิ่งนัก ในเวลานี้เสมือนหนึ่งได้เปิดประตูบานหนึ่งให้กับนางอย่างนั้น

…………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *