Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2807 สระล้างบาป

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2807 สระล้างบาป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2807 สระล้างบาป

หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาปนั่งสมาธิ ฝึกฝนบรรลุธรรม ไม่สนใจกิจการภายนอก ตั้งใจทำการกลั่นและทำลายสุดยอดความน่ากลัวสูงสุดภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร

ในวันนี้ จ้าวชิวสือ นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปได้มาทักทายหลี่ชิเย่ ความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาปนั้น จ้าวชิวสือมาทักทายอยู่ทุกวัน

จ้าวชิวสือเป็นคนทำงานหนักแน่นจริงใจ ในเมื่ออธิการบดีมอบมอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลนักศึกษาใหม่อย่างหลี่ชิเย่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าต้อนรับไม่ดี เขายังกลัวว่าหลี่ชิเย่จะไม่เคยชินกับการอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาปด้วยซ้ำ

“ศิษย์น้องจะออกไปเดินเล่นหรือไม่กันเล่า ตั้งแต่เจ้ามาที่สถาบันศึกษาแล้วยังไม่เคยออกไปเดินเล่นบ้างเลย” ด้วยความหวังดี เมื่อจ้าวชิวสือเห็นว่าหลี่ชิเย่นั่งสมาธิบรรลุสัจธรรมอยู่ทุกวัน จึงกล่าวว่า “เรื่องของการฝึกฝนไม่สามารถรีบร้อนให้สำเร็จภายในวันเดียว ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ยาวนาน วันนี้อากาศปลอดโปร่ง ศิษย์น้องมิสู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสถาบันศึกษาล้างบาปสักหน่อย”

“คำพูดนี้พูดได้ดีมาก เรื่องของการฝึกฝนไม่สามารถรีบร้อนให้สำเร็จภายในวันเดียว ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ยาวนาน” หลี่ชิเย่มองดูจ้าวชิวสือ และกล่าวชื่นชมคำหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไปเดินเล่นสักหน่อยก็แล้วกัน”

“ข้าเป็นมัคคุเทศก์ให้ศิษย์น้องเอง” เมื่อจ้าวชิวสือเห็นว่าหลี่ชิเย่ยอมออกไปเดินเล่น รู้สึกโล่งอกไปไม่น้อยทีเดียว มีความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง

ภายในใจของจ้าวชิวสือยังคงเป็นกังวลอยู่บ้างว่าหลี่ชิเย่จะไม่ยอมออกไป จะอย่างไรเสียการที่เขามีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป จะมากหรือน้อยก็ต้องมีคนรังเกียจไม่ชอบ เขากังวลว่าหลี่ชิเย่จะรู้สึกต่ำต้อยในชาติกำเนิดของตน

หลี่ชิเย่เข้าใจทุกอย่างสำหรับความคิดของจ้าวชิวสือ เขาเองไม่ได้ไปเปิดโปงเรื่องนี้เพียงยิ้มๆ เท่านั้น

จ้าวชิวสือนำพาหลี่ชิเย่เดินเล่นสบายๆ อยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาป เขามีความกระตือรือร้นยิ่งที่จะอธิบายเรื่องราวที่ไม่เป็นที่รับรู้ของผู้คน และเรื่องราวประหลาดเหลือเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับสถาบันศึกษาล้างบาปให้กับหลี่ชิเย่ฟัง

ตัวของสถาบันศึกษาล้างบาปกินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวางมาก และมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ว่า ทั่วทั้งสถาบันศึกษาล้างบาปนั้น สิ่งที่สามารถนำมาเป็นหัวข้อสนทนาได้อย่างแท้จริงได้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

แม้จะกล่าวว่าสถาบันศึกษาล้างบาปได้ตั้งตระหง่านมาเป็นเวลานานมากแล้ว ระยะเวลาการก่อตั้งของสถาบันศึกษาล้างบาปไม่ได้ช้ากว่าสถาบันศึกษาอีกสี่แห่ง แต่ว่า บุคลากรที่มีความสามารถออกมาจากสถาบันศึกษาล้างบาปมีเพียงไม่กี่คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นบุคลากรที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงส่งผลให้สิ่งที่สามารถนำมาเป็นหัวข้อสนทนาของสถาบันศึกษาล้างบาปมีอยู่ไม่มากจริงๆ

การที่สถาบันศึกษาล้างบาปมีบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถออกมาได้ไม่กี่คนในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา จะไปโทษว่าสถาบันศึกษาล้างบาปอบรมสั่งสอนไม่ดีอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ถูก

ลองนึกภาพดูสถาบันศึกษาล้างบาปตั้งอยู่ในเมืองล้างบาป นอกเหนือจากราษฎรของเมืองล้างบาปแล้ว นักศึกษาทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ยินดีสมัครเข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปเรียกว่ามีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อไม่มีแหล่งทรัพยากรจำนวนมาก คิดจะกำเนิดนักศึกษาที่โดดเด่นยอดเยี่ยมใช่เป็นเรื่องง่าย

จะอย่างไรเสีย สถาบันศึกษาล้างบาปไม่เหมือนเช่นสถาบันศึกษาใหญ่อีกสี่แห่ง ประชากรทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเป็นล้านล้านล้วนแล้วแต่ต้องการเป็นหนึ่งในนักศึกษาของสถาบันศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ตั้งของสถาบันศึกษาล้างบาปคือสถานที่ที่เป็นหนึ่งเดียวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ที่แสงสว่างไม่สามารถสาดส่องทั่วหล้าอย่างเสมอภาคได้

ลองนึกภาพดู เคล็ดวิชาที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาของสถาบันศึกษาล้างบาปนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเคล็ดวิชาที่ได้รับการสืบทอดต่อจากปราชญ์ไกลกันดารทั้งสิ้น ขณะที่ภายใต้สถานที่ที่แสงสว่างไม่สามารถส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคได้ กลับจะต้องฝึกปรือเคล็ดวิชาจรัสสารพัดเคล็ดวิชา มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายเสียเมื่อไหร่

เคล็ดวิชาเดียวกัน นักศึกษาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ เวลาที่มีการฝึกปรือนั้น เรียกได้ว่าลงแรงครึ่งแต่ได้รับผลทวีคูณ ขณะที่นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาป กลับต้องลงแรงเป็นทวีคูณได้มาเพียงครึ่งเดียว

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การที่สถาบันศึกษาล้างบาปมีบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถกำเนิดมาได้ไม่กี่คนในรอบพันล้านปีที่ผ่านมานั้น ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ในรุ่นนี้ เฉกเช่นจ้าวชิวสือนั้นนับว่าเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นยอดเยี่ยมมากแล้ว ด้วยอายุเท่านี้ของเขา สามารถฝึกปรือจนก้าวถึงระดับกำลังความสามารถกษัตราแท้จริงนั้น คือประเภทยอดเยื่ยมโดดเด่นมากเป็นพิเศษแล้ว ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ของเขา หากไปอยู่ที่สถาบันศึกษาอีกสี่แห่ง เกรงว่าจะต้องเป็นระดับเทพแท้จริงแล้ว

เมื่อเทียบกันแล้ว จ้าวชิวสือนับเป็นนักศึกษาที่มีอายุค่อนข้างมากในสถาบันศึกษาล้างบาป ดังนั้น เขาก็เกือบจะสำเร็จการศึกษาแล้ว เหลือเพียงออกไปรับการทดสอบขัดเกลาเท่านั้น

ดังนั้น รุ่นพี่อย่างจ้าวชิวสือจึงได้รับการเคารพนับถือจากนักศึกษาคนอื่นๆ ในสถาบันศึกษาล้างบาป ไม่ว่าพวกเขาก้าวเดินไปที่ใดก็ตาม ก็จะมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยกล่าวทักทายต่อจ้าวชิวสือ

แน่นอน ก็มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองหลี่ชิเย่หลายที จะอย่างไรเสีย ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างเคยได้ยินเรื่องชาติกำเนิดจากชนเผ่าบาปของหลี่ชิเย่มาแล้ว

นักศึกษาเหล่านี้เพียงแค่มองดูหลี่ชิเย่หลายทีเท่านั้นเอง ไม่เหมือนเช่นพวกของลู่ซื่อเม่าที่มีชาติกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ ซึ่งจะมีความเป็นศัตรูที่เข้มข้นมากต่อหลี่ชิเย่

พวกของลู่ซื่อเม่ามีชาติกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค วางตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะ ขณะที่ฐานะอย่างหลี่ชิเย่ที่มีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป ย่อมถูกพวกเขามองว่าเป็นศัตรูแล้ว

ขณะที่นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปล้วนแล้วแต่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองล้างบาป วิธีการพูดของพวกสถานที่อื่นๆ ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ราษฎรของเมืองล้างบาปล้วนแล้วแต่เป็นทายาทรุ่นหลังของพวกนักโทษที่เป็นคนโหด พวกเขาไม่ได้รับแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ดังนั้นเฉกเช่นพวกเขาที่มีชาติกำเนิดเช่นนี้ จึงไม่ไปมองหลี่ชิเย่เป็นศัตรูอย่างจงใจ กระทั่งพวกเขามองว่าต่อให้หลี่ชิเย่มีชาติกำเนิดจากชนเผ่าบาปก็ใช่เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรหนักหนา

จ้าวชิวสือนำพาหลี่ชิเย่ท่องไปในสถาบันศึกษาล้างบาป ได้เล่าเรื่องต่างๆ นานาเกี่ยวกับสถาบันศึกษาล้างบาปให้ฟัง ขณะที่หลี่ชิเย่เพียงเดินเรื่อยเปื่อยไปตามอารมณ์เท่านั้น และบางครั้งก็ยิ้มๆ โดยไม่ถือเป็นสาระอะไร

สุดท้าย จ้าวชิวสือได้พาหลี่ชิเย่มาถึงบริเวณที่เป็นใจกลางมากที่สุดของสถาบันศึกษาล้างบาป ที่ตรงนี้มีสระน้ำที่มีขนาดใหญ่มาก และมีน้ำพุอยู่กลางสระน้ำ

สระน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมาของสถาบันศึกษาล้างบาป กระทั่งกล่าวได้ว่า สระน้ำแห่งนี้คือสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของเมืองล้างบาปทั้งหมด

สามารถมองเห็นรูปแกะสลักรูปหนึ่งอยู่กลางสระน้ำ เป็นรูปแกะสลักหินของผู้เฒ่าผู้หนึ่ง ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดธรรมดาทั่วไป นั่งไขว่ห้างก้มหน้าลง มองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน บนเข่าของเขาวางกระบี่ยาวไว้เล่มหนึ่ง

กระบี่ยาวเล่มนี้มีสีเทาขาวไร้เงา บนตัวกระบี่สลักอักขระยันต์ที่ดึกดำบรรพ์เอาไว้ บริเวณโกร่งกระบี่ได้สลักอักษรว่า ‘สี่จุ้ย (ล้างบาป)’ สองตัว อักษรสองตัวนี้มีความโบราณเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ว่า กลับแลดูมีน้ำหนักมาก เมื่อมองเห็นอักษรสองตัวนี้แล้ว มันจะกดทับลงกลางใจของเจ้าหนักอึ้ง ไม่สามารถปลดทิ้งออกไปได้

หลี่ชิเย่หยุดเดินเมื่อมาถึงข้างสระน้ำ โดยสายตาได้ตกไปอยู่บนตัวของผู้เฒ่า สุดท้ายสายตาของเขาได้ตกไปอยู่บนกระบี่ยาวที่วางอยู่บนตัก

ขณะยืนอยู่ข้างสระน้ำ จ้าวชิวสือได้กล่าวด้วยท่าทีภาคภูมิใจยิ่งว่า “นี่ก็คือสระล้างบาปของสถาบันศึกษาพวกเรา หรือก็คือสระศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่มีแสงสว่างไหลเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่งของผืนแผ่นดินผืนนี้เท่านั้น นี่คือต้นกำเนิดพลังของสถาบันศึกษาล้างบาปพวกเรา”

มองเห็นน้ำที่ทะลักขึ้นมาจากก้นสระของสระล้างบาป และมีแสงสว่างที่ทะลักขึ้นมาพร้อมกับน้ำสระที่ทะลักขึ้นมาจากใต้ดิน โดยไม่มีวันหยุดตลอดกาล

จะโทษว่าจ้าวชิวสือภูมิใจขนาดนี้ก็ไม่ถูก ถ้าหากไม่ได้มีสระล้างบาปแห่งนี้ล่ะก็ เรียกได้ว่าชวนให้ผู้คนสงสัยจริงๆ เลยว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่กระทั่งเทพและผียังรังเกียจจริงหรือไม่ จะอย่างไรเสีย แม้แต่แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคก็ส่องมาไม่ถึง ช่างเป็นความชั่วร้ายขนาดไหน

ขณะที่ในสระล้างบาปยังมีแสงสว่างที่ไหลเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่ง อย่างน้อยที่สุดสิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่า แสงสว่างไม่ได้ละทิ้งผืนแผ่นดินผืนนี้อย่างสิ้นเชิง ยังคงมีที่ที่แสงสว่างส่องถึงอยู่ที่ตรงนี้

หลี่ชิเย่พยักหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ฟังคำของจ้าวชิวสือแล้ว สายตาของเขายังคงจ้องมองอยู่ที่กระบี่ล้างบาปเล่มนั้น

“นี่คือรูปแกะสลักของปฐมบรรพบุรุษพวกเรา เล่าลือกันว่า รูปแกะสลักรูปนี้ปฐมบรรพบุรุษได้ตั้งด้วยมือของตนเองที่นี่” เมื่อจ้าวชิวสือเห็นสายตาของหลี่ชิเย่อยู่บนตัวของรูปแกะสลักนั่น จึงกล่าวด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมว่า “เล่าลือกันว่า ในครั้งนั้น ขณะปฐมบรรพบุรุษตั้งรูแปกะสลักให้ยืนอยู่ที่ตรงนี้แล้วนั้น ได้ปลดกระบี่ประจำตัวของตนออกมา วางไว้ระหว่างตักของรูปแกะสลักนี้ตราบจนทุกวันนี้”

“นับเป็นกระบี่ที่ดีจริงๆ เล่มหนึ่ง” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา และพยักหน้า

“นี่คือสุดยอดกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า” แม้แต่คนซื่อๆ อย่างจ้าวชิวสือก็มีความภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย และกล่าวว่า “เล่าลือกันว่านับตั้งแต่ปฐมบรรพบุรุษได้นำกระบี่ล้างบาปวางไว้ตรงนี้แล้ว นับแต่อดีตถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครสามารถนำเอากระบี่เล่มนี้ไปได้ นี่คือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า เว้นแต่จะได้รับการยอมรับความเป็นเจ้าของจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้แข็งแกร่งปานใดก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้”

สิ่งนี้ไม่โทษจ้าวชิวสือที่รู้สึกภาคภูมิใจขนาดนี้ นับตั้งแต่สระล้างบาป ถึงรูปแกะสลักของปราชญ์ไกลกันดาร แล้วมาถึงกระบี่ล้างบาปเล่มนี้ นี่คือหลักฐานที่ชอบด้วยธรรมนองคลองธรรมของสถาบันศึกษาล้างบาปพวกเขา

ถ้าไม่มีสระล้างบาป ไม่มีรูปแกะสลักที่ปราชญ์ไกลกันดารลงมือตั้งด้วยตนเอง ไม่มีกระบี่ล้างบาปเล่มนี้แล้ว จะทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าสถาบันศึกษาล้างบาปถือเป็นส่วนหนึ่งของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรเล่า? จะให้ผู้อื่นเชื่อได้อย่างไรว่านี่คือสถาบันศึกษาที่ตั้งขึ้นมากับมือของปราชญ์ไกลกันดาร

หากไม่มีสระล้างบาปล่ะก็ ไม่แน่นัก ชนรุ่นหลังคงเข้าใจว่าสถาบันศึกษาล้างบาปเป็นเพียงพวกนอกรีตเท่านั้นเอง หาใช่เป็นสถาบันศึกษาอะไรนั่นแล้ว

เพียงแต่ ณ ที่ตรงนี้มีรูปแกะสลักที่ปราชญ์ไกลกันดารตั้งขึ้นมากับมือ แล้วยังได้ทิ้งกระบี่ประจำตัวเอาไว้ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธสถาบันศึกษาล้างบาปในพันล้านปีที่ผ่านมา

“ไม่มีใครสามารถนำติดตัวไปได้จริงรึ?” หลี่ชิเย่มองไปที่กระบี่ล้างบาปอีกครั้ง และยิ้มๆ

“ศิษย์น้อง อย่าว่าแต่นำมันติดตัวไปด้วย แม้แต่อยากจะยกมันขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” จ้าวชิวสือกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ฟังท่านอธิการบดีพูดเอาไว้ว่า ในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถหยิบยกเอากระบี่ล้างบาปเล่มนี้ขึ้นมาก็ไม่อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ต่อให้เป็นราชันเซียนมาด้วยตนเอง ก็ต้องเป็นผู้ที่มีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคจึงสามารถหยิบยกขึ้นมาได้”

“แค่หยิบขึ้นมาเท่านั้นเอง ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ นำติดตัวไปด้วยกลับจะมีความยุ่งยากนิดหน่อย” หลี่ชิเย่หัวเราะเรียบเฉยว่า “ผู้หยิบยกมันไม่ขึ้นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่แกร่งพอ”

“เจ้าเพิ่งมาใหมทน่ะสิ” คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้นักศึกษาที่อยู่ด้านข้างหัวเราะขึ้นมา โดยไม่ได้มีเจตนาร้าย หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้อะไรกับกระบี่ล้างบาปสักนิดเลยจริงๆ อย่าว่าแต่นักศึกษาเช่นพวกเราเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือเหล่านั้นก็ยกไม่ขึ้น ฟังว่าในยุคนี้ทุกคนต่างรู้กันว่า หนึ่งเดียวที่สามารถยกกระบี่ล้างบาปนี้ขึ้นมาได้ก็คือราชันแท้จริงเซิ่นซวง!”

“ถูกต้อง ศิษย์น้อง การที่จะยกเอากระบี่เล่มนี้ขึ้นมามันยาก ยากมากจริงๆ โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” จ้าวชิวสือก็พูดขึ้นมาว่า “ราชันแท้จริงเซิ่นซวงมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าเซิ่นหลิง นางศึกษาอยู่ที่สถาบันศึกษาเป่ยเยี่ยนมาแต่เด็ก แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค คือผู้ที่มีพลังจรัสที่แข็งแกร่งมากที่สุดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์พวกเรา…”

“…มีเพียงนางเท่านั้นที่ยกเอากระบี่ล้างบาปเล่มนี้ขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เจ้าอย่าได้ดูถูกกระบี่เล่มนี้ นอกจากได้รับการยอมรับเป็นนายจากมันแล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ คนอย่างพวกเราคิดจะนำมันไปด้วย มันคือความเพ้อฝันของคนปัญหาอ่อน”

คำพูดของจ้าวชิวสือใช่เป็นคำพูดที่อวดอ้างเกินจริง แต่เป็นการพูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้น เป็นความจริงว่าน้อยคนนักที่จะยกกระบี่ล้างบาปเล่มนี้ขึ้นมาได้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต่อให้ยกขึ้นมาได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องวางกระบี่ล้างบาปเล่มนี้กลับไป

ราชันแท้จริงฉุงหัวที่ปราดเปรี่องน่าทึ่งก็เคยมาที่นี้ และเคยยกกระบี่ล้างบาปเล่มนี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วยังต้องวางกลับที่เดิม เขาได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “กระบี่เล่มนี้สมควรเป็นของที่นี่”

……………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *