Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2916 ไป่จินหนิง
ตอนที่ 2916 ไป่จินหนิง
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ทำการพิจารณาพินิจพิเคราะห์ถึงแนวโน้มด้านกำลังของเทียนเชี่ยนแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ และรับรู้ถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของเทียนเชี่ยนทั้งหมดได้แล้ว
แน่นอน หากหลี่ชิเย่ต้องการบุกหักหาญเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเทียนเชี่ยน บุกทำลายขุมกำลังที่อยู่ลึกที่สุดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่มันจะทำให้เทียนเชี่ยนขาดจากกัน ทำให้เทียนเชี่ยนเหมือนชีพจรมังกรถูกตัดขาดไปอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเทียนเชี่ยน เขาไม่จำเป็นต้องไปทำเช่นนั้น จะอย่างไรเสียเทียนเชี่ยนนี้ได้สิ้นเปลืองกำลังกายใจนับไม่ถ้วนของคนรุ่นก่อน จะไปทำให้มันขาดจากกันเช่นนี้นับว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้
แต่ว่า ขณะที่หลี่ชิเย่ทำการสืบเสาะในภาพรวมแนวโน้มของเทียนเชี่ยนทั้งหมดในหลายๆ มิติ เขาก็ได้ค้นพบปัญหาบางอย่าง โดยภาพรวมทั้งหมดของเทียนเชี่ยนก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งทั้งหมด ยังคงมีช่องโหว่อยู่บางส่วน
ช่องโหว่เหล่านี้เกิดจากกาลเวลาที่ผ่านไป เนื่องจากช่วงเวลาก่อสร้างเทียนเชี่ยนผ่านมานานเกินไปแล้ว นานจนกระทั่งไม่สามารถไล่ย้อนกลับไปได้ ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน จากการขัดเกลากัดกร่อนกลืนกินของกาลเวลา ท้ายที่สุดส่งผลให้กำลังอำนาจนั้นปรากฏรูโหว่เล็กๆ ขึ้นมา
แน่นอน บรรดาช่องโหว่เหล่านี้สามารถซ่อนแซมกลับไปดังเดิมได้ เพียงแต่จำเป็นต้องอาศัยกำลังกายไม่น้อยทีเดียว ถ้าหากจัดการซ่อมแซมช่องโหว่เหล่านี้กลับไปดังเดิมล่ะก็ เช่นนั้นแล้วเทียนเชี่ยนก็จะเปลี่ยนไปเหมือนใหม่ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งยากจะตีแตกได้ สามารถปกป้องคุ้มครองอีกเป็นล้านปีหรือมากกว่าก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่ยืนอยู่ข้างกำแพงและมองไกลไปบนท้องฟ้านั้น ขณะมองออกไปด้านนอกถึงกับบังเกิดความรู้สึก และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในครั้งนั้นได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้ผู้ที่อยู่ในระดับฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งยังต้องรอบคอบขนาดนี้ ถึงกับลงทุนโดยไม่เสียดายในการก่อสร้างเทียนเชี่ยนเช่นนี้ขึ้นมา! ”
ย่อมไม่ต้องสงสัย ครั้งนั้นต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแน่นอน จึงทำให้บรรพบุรุษที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยอมทุ่มผลตอบแทนทุกอย่างสร้างเทียนเชี่ยนนี้ขึ้นมา กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของแดนสามเซียน
ด้วยการที่มีเทียนเชี่ยนนี้เอง ส่งผลให้แดนลัทธิเซียนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
หลี่ชิเย่มองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่ สุดท้ายได้เบนสายตามองไปที่เทียนซวี ทะเลปุ๊ตู้ไห่อยู่ด้านซ้าย เทียนซวีอยู่ด้านขวา ขณะที่เทียนเชี่ยนได้กันทะเลปุ๊ตู้ไห่ และเทียนซวีเอาไว้ด้านนอกพอดี
เนื่องเพราะการดำรงอยู่ของเทียนเชี่ยน ทั้งทะเลปุ๊ตู้ไห่และเทียนซวีล้วนถูกกันเอาไว้ข้างนอก ตัดขาดระหว่างพวกเขากับแดนลัทธิเซียน
ย่อมไม่ต้องสงสัย การที่เทียนเชี่ยนถูกสร้างเอาไว้ที่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีสาเหตุที่ลึกซึ้งของมันแน่นอน ครั้งนั้นบรรพบุรุษของแดนสามเซียนสร้างเทียนเชี่ยนเอาไว้ บางทีคือการป้องกันทะเลปุ๊ตู้ไห่ และหรือป้องกันเทียนซวี กระทั่งทั้งสองล้วนมีส่วน
เพียงแต่นับพันนับหมื่นปีของแดนสามเซียนที่ผ่านมา ไม่เคยมีศัตรูจากภายนอกเข้ามารุกราน รายละเอียดคืออะไรจึงไม่สามารถรู้ได้
เทียนเชี่ยนทอดยาวต่อเนื่องเป็นล้านล้านลี้ มีขนาดทั้งยาวและกว้างขวาง คิดจะพบเห็นผู้คนในเทียนเชี่ยนเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายเลย ต่อให้มีคนที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่ไปมาด้วยความเร่งรีบทั้งสิ้น
หลี่ชิเย่เดินอยู่ที่เทียนเชี่ยนนานขนาดนี้ ก็แค่พบเจอผู้บำเพ็ญตนบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง แต่ว่า ผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เดินทางผ่านมา ไปมาด้วยความเร่งรีบ ไม่ได้มีการหยุดหรือรั้งรอใดๆ
ต่อให้มีผู้บำเพ็ญตนบางคนที่ว่างและรู้สึกเบื่อแล้วมาเดินเล่นที่เทียนเชี่ยน ก็แค่เดินเล่นเพียงเท่านั้น จากนั้นก็จากไป
จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว เทียนเชี่ยนไม่ได้มีอะไรน่าดี มันก็แค่กำแพงหิน แต่ละจุดล้วนแตกต่างกันไม่เท่าไร ดังนั้น แค่เดินไปตามอารมณ์นิดหนึ่งก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเดินให้ยาวไกลขนาดนั้น
เฉกเช่นการก้าวเดินมาตลอดทางอย่างหลี่ชิเย่ และยังเป็นการก้าวเดินด้วยเท้าแทบจะไม่มี
บังเอิญมีผู้บำเพ็ญตนที่เดินผ่านมาด้วยความเร่งรีบ เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับก้าวเดินบนเทียนเชี่ยนแล้ว ก็จะจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเหมือนกำลังมองดูคนโง่อย่างนั้น
“ถ้าหากอาศัยการก้าวเดิน ชั่วชีวิตเจ้าก็เดินเทียนเชี่ยนไม่สุด” มีผู้บำเพ็ญตนที่ใจดีกล่าวเตือนสติก่อนจากไป จากนั้นก็เดินทางจากไปด้วยความเร่งรีบ
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้น เขาไม่ได้มาเพื่อชมวิว ที่เขาก้าวเดินอยู่บนเทียนเชี่ยนเพียงแค่สำรวนสิ่งมหัศจรรย์นี้เท่านั้น
“ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่? ” หลังจากที่หลี่ชิเย่เดินอยู่หลายวัน ถึงกับพบเจอกับหน่วยลาดตะเวนเล็กๆ บนเทียนเชี่ยนอยู่หน่วยหนึ่ง
หน่วยลาดตระเวนเล็กๆ หน่วยนี้มีทหารเพียงสิบกว่านายเท่านั้น ทหารแต่ละนายล้วนแล้วแต่มีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งมาก พลันที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้บำเพ็ญตนที่มีกำลังกล้าแข็ง
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเล็กๆ หน่วยนี้เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ไว้ผมสั้นแค่เสมอคอ แลดูมีความคล่องแคล่วเด็ดขาดตรงไปตรงมา สวมชุดเกราะบนตัว เปี่ยมด้วยบุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย โดยเฉพาะเอวที่คอดกิ่วไม่เพียงรับกับความอวบอั๋นที่ตั้งชันของนางเท่านั้น ยังเป็นการสอดรับกับความอ่อนช้อยงดงามน่าประทับใจของนางอีกด้วย
แน่นอนที่สุด หน่วยลาดตระเวนเล็กๆ หน่วยนี้ไม่ได้เดินเท้าทีละก้าวๆ เหมือนหลี่ชิเย่ ถ้าหากว่าต้องเดินลาดตระเวนล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาจะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเทียนเชี่ยนที่มีความยาวเช่นนี้ไม่เสร็จสิ้น
หน่วยลาดตระเวนเล็กๆ หน่วยนี้นั่งโดยสารมากับรถศึกแต่ละคัน ขณะที่รถศึกแล่นผ่านก้อนหินนั้น สามารถได้ยินเสียงโครม โครม โครมที่เป็นเสียงล้อรถ
กำแพงเทียนเชี่ยนกช่างกว้างขวางเหลือเกิน เสมือนหนึ่งเป็นลานกว้างอย่างนั้น แม้ว่ารถศึกหลายสิบคันวิ่งเรียงหน้ากระดานกันมาก็ยังมีพื้นที่เหลือเฟือ
ดังนั้น ขณะที่รถศึกของหน่วยลาดตระเวนเล็กๆ หน่วยนี้เรียงหน้าบุกเข้ามานั้น เรียกได้ว่าดูมีพลังยิ่ง
แน่นอน หากรู้จักธงสัญลักษณ์ที่ปักอยู่บนรถศึกของหน่วยเล็กๆ หน่วยนี้แล้วก็จะหลีกทางให้ทันที เนื่องจากนี่คือธงสัญลักษณ์ของกองทัพเทียนเชี่ยน
ผู้คนทั่วหล้าต่างรู้ดีว่า เทียนเชี่ยนและด่านเทียนสงกวานล้วนแล้วแต่อยู่ในภายใต้การปกครองดูแลของกองทัพเทียนเชี่ยน พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังในแดนลัทธิเซียน ไม่มีใครไม่รู้จัก
หน่วยทหารหน่วยเล็กๆ นี้หยุดและสอบถามหลี่ชิเย่ ไม่ได้เป็นเพราะหลี่ชิเย่ไปขวางทางพวกเขา จะอย่างไรเสียกำแพงเมืองกว้างขวางขนาดนี้ หากหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ หน่วยนี้จะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้เหลือเฟือ
เพียงแต่หลี่ชิเย่มาเดินอยู่บนกำแพงเทียนเชี่ยน ทั้งยังเป็นการเดินท้า และก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ย่อมส่งผลให้หน่วยทหารหน่วยเล็กๆ หน่วยนี้เกิดความสงสัย ดังนั้นจึงได้หยุดลง
ไป่จินหนิงก็คือหัวหน้าหน่วยของหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ หน่วยนี้ นางได้เข้าร่วมในกองทัพเทียนเชี่ยนตั้งแต่อายุเยาว์วัย สามารถเป็นถึงหัวหน้าหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ด้วยอายุน้อยเพียงเท่านี้นับว่าไม่ง่ายนัก จะอย่างไรเสียนางไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสำนักใหญ่ นางที่มีชาติกำเนิดจากราษฎรธรรมดา สามารถมีที่ยืนในกองทัพเทียนเชี่ยน และได้เป็นหัวหน้าหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ สิ่งนี้ก็เป็นการบ่งบอกถึงกำลังความสามารถอย่างแท้จริงของนาง
มาวันนี้ ไป่จินหนิงนำหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ออกมาลาดตระเวน จึงได้พบกับหลี่ชิเย่ที่เป็นชายหนุ่มซึ่งดูธรรมดามากไม่มีอะไรสะดุดตาคนหนึ่ง
ความจริงแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา กองทัพเทียนเชี่ยนของพวกเขาล้วนแล้วแต่เฝ้ารักษาอยู่ที่ด่านทียนสงกวาน แทบจะไม่มีหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ใดๆ ออกลาดตระเวนเลย
เนื่องจากเทียนเชี่ยนดำรงอยู่มาเป็นพันล้านปีแล้ว และมีแต่ความสงบโดยปราศจากเหตุการณ์ใดๆ ตลอดมา จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกมาทำการลาดตระเวนโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ตัวของเทียนเชี่ยนเองก็คือกำแพงหินที่ทอดยาวต่อเนื่องเป็นล้านล้านลี้เท่านั้นเอง นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งล้ำค่าอื่นใด ภายใต้เหตุการณ์ที่ปราศจากศัตรูภายนอกแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการลาดตระเวนอยู่แล้ว
แต่ว่า ช่วงก่อนหน้านั้นท้องฟ้าปรากฏเหตุการณ์ประหลาด ถึงกับมีสิ่งที่บินออกมาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่ ส่งผลให้ผู้เฝ้ารักษาด่านทียนสงกวาน หรือก็คือแม่ทัพกองทัพเทียนเชี่ยนไท่อิ๋นสี่นั่นเอง พลันทำให้เขาระมัดระวังตัวขึ้น และรื้อฟื้นการลาดตระเวนที่มีต่อเทียนเชี่ยนขึ้นมา
สมควรทราบว่า การลาดตระเวนของเทียนเชี่ยนในครั้งก่อนนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทราบว่ากี่ปีมาแล้ว
หลังจากที่ไป่จินหนิงได้รับคำสั่งแล้ว ก็ได้นำหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ของตนออกลาดตระเวนเทียนเชี่ยน ความจริงแล้ว จากการลาดตระเวนในหลายวันที่ผ่านมาล้วนสงบปราศจากเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น ปราศจากสิ่งน่าสงสัยแต่อย่างใด แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ไป่จินหนิงยังคงไม่กล้าละเลยในหน้าที่ ยังคงนำกำลังออกลาดตระเวน
ขณะที่การลาดตระเวนในวันนี้ หลี่ชิเย่ที่เป็นคนเดินเท้าคนหนึ่งเช่นนี้พลันกลายเป็นบุคคลน่าสงสัย ในสายตาของไป่จินหนิง
“ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่? ” หน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ของไป่จินหนิงได้เพลาความเร็วในการเคลื่อนที่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถศึกของไป่จินหนิงยังเข้าไปใกล้หลี่ชิเย่อีกด้วย
แทนที่จะบอกว่าไป่จินหนิงกำลังสอบถามหลี่ชิเย่ว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ยังมิสู้บอกว่านางกำลังหยั่งเชิงหลี่ชิเย่มากกว่า
จะอย่างไรเสีย ไม่เคยเห็นใครมาก้าวเดินบนเทียนเชี่ยนมาก่อน ต่อให้มีใครที่คิดชมวิวของเทียนเชี่ยนก็ต้องควบคุมลมบังคับเมฆ เฉกเช่นการก้าวเดินแบบหลี่ชิเย่มันคือเรื่องเหลือเชื่อ
ดังนั้น ในทัศนะของไป่จินหนิงมองว่า ร่องรอยของหลี่ชิเย่นับว่าน่าสงสัยเหลือเกิน
“ไม่มีอะไรต้องการความช่วยเหลือ” หลี่ชิเย่หัวเราะเมื่อเผชิญกับการสอบถามของไป่จินหนิง แน่นอนท่าทีที่ระมัดระวังตัวอย่างไป่จินหนิงนั้น เขาก็มองเห็นกับตา
ไป่จินหนิงอดที่จะพินิจพิจารณาหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า ในสายตาของเขามองว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเรียบๆ ไม่มีอะไรสดุดตา พลันที่มองดูก็ทำให้เข้าใจว่าอยู่ในฐานะของผู้เดินทางไปมา นาย ก นาย ข ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนแม้แต่น้อยนิด
อีกทั้ง บนใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มจางๆ ให้ความรู้สึกผู้คนถึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอย่างนั้น
แต่ว่า ไป่จินหนิงไม่เคยมองคนที่เปลือกนอก การที่หลี่ชิเย่มาก้าวเดินอยู่บนเทียนเขี่ยนทีละก้าวๆ เช่นนี้ ทำให้นางมีความระมัดระวังตัวขึ้นในใจ ด้วยการจัดให้หลี่ชิเย่เป็นบุคคลต้องสงสัย
“พวกเจ้าลาดตระเวนต่อไป” ไป่จินหนิงสะบัดเมือสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชา
สมาชิกในหน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ตอบรับคำ จากนั้นขับรถศึกวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่หน่วยทหารหน่วยเล็กๆ ออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วแล้ว ไป่จินหนิงได้ขับรถศึกอยู่คนเดียว ตามอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ และเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เช่นกัน
“คุณชายมาจากที่ใดเล่า? ” การที่ไป่จินหนิงเดินเคียงข้างหลี่ชิเย่นั้น นางต้องการความชัดเจนในเบาะแสเกี่ยวกับหลี่ชิเย่
“มากจากแดนลัทธิเซียน” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ เขาย่อมรู้ถึงความต้องการของไป่จินหนิง
“จะไปยังที่ใด? ” ไป่จินหนิงยังคงพินิจพิเคราะห์ในตัวของหลี่ชิเย่ แต่ว่า นางไม่สามารถมองออกถึงเส้นสนกลในของหลี่ชิเย่ได้อย่างสิ้นเชิง
แน่นอน ไป่จินหนิงในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ของกองทัพเทียนเชี่ยน นับว่านางพูดคุยดีมากแล้ว การพูดการจาก็มีความสุภาพ ไม่ได้มีลักษณะของการไตร่สวนอย่างนั้น
“เดินไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “คนในสมัยโบราณพูดเอาไว้ว่า อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้เดินทางพันลี้ ดังนั้น ข้าออกมาเดินเล่น ให้เห็นโลกภายนอกบ้าง เทียนเชี่ยนคือสิ่งมหัศจรรย์ของแดนลัทธิเซียน ข้าเองก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไปได้ มาเดินดูเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“คุณชายมีอารมณ์สุนทรีมาก” ไป่จินหนิงเอ่ยชมทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ดูไม่ออกว่าคุณชายจะเป็นผู้ที่ร่ำเรียนตำราบทกลอนกวีคนหนึ่ง”
“พอใช้ได้” หลี่ชิเย่กล่าวเอ้อระเหยว่า “ในใจมีตำราเก็บเอาไว้ล้านล้านเล่ม หยั่งรู้อดีต ส่องอนาคต”
ไป่จินหนิงพลันรู้สึกอึ้ง นางแค่เอ่ยชื่นชมหลี่ชิเย่ไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่ไม่มีการถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย อวดอ้างตนขึ้นมา เป็นท่าทีที่แน่มากอย่างนั้น
“พูดเช่นนี้ คุณชายก็คือผู้มีความเป็นอัจฉริยะแห่งยุคแล้วสิ” ไป่จินหนิงพูดคล้อยตาม
“จะพูดแบบนี้ก็ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “คนในยุคอดีตกล่าวว่า “บุ๋นคืออันดับหนึ่ง แต่ ข้าก็คืออันดับหนึ่ง! ”
คำพูดที่หลงตัวเองเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้ไป่จินหนิงพูดอะไรไม่ออก นางเองก็สงสัยว่าตนเองเจอะเจอเข้ากับคนบ้าที่หลงตัวเองแล้วใช้หรือไม่
ไป่จินหนิงอดที่จะพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง นางมองไม่ออกจริงๆ ว่าหลี่ชิเย่คือผู้มีความรู้ด้านวรรณกรรมอันดับหนึ่งตรงไหน
…………………………………………………………..
Comments