Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2627 ใช้อำนาจบาตรใหญ่

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2627 ใช้อำนาจบาตรใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2627 ใช้อำนาจบาตรใหญ่

ทุกคนต่างมองไปที่เมืองหมิงลั่วเฉิง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลูเหว่ยจวิน ทุกคนล้วนแล้วแต่เฝ้ารอว่าคนโหดอันดับหนึ่งจะตอบอย่างไร

ลำพังอาศัยกำลังคนใดคนหนึ่ง ภายในใจของทุกคนต่างมีความชัดเจนว่า เฉกเช่นกำลังความสามารถของหลูเหว่ยจวินเช่นนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนโหดอันดับหนึ่ง กำลังความสามารถของคนโหดอันดับหนึ่งเรียกว่าโหดร้ายทารุณเหลือเกิน หากว่ากันด้วยเรื่องกำลังความสามารถล่ะก็ กลุ่มคนรุ่นใหม่ก็จะมีเพียงราชันแท้จริงต้วนยวี่ ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจึงจะมีกำลังความสามารถไปท้าทายต่อคนโหดอันดับหนึ่ง

สำหรับหลูเหว่ยจวินนั้น หากลำพังอาศัยกำลังความสามารถของคนๆ เดียวล้วนๆ แล้วกล้าท้าทายคนโหดอันดับหนึ่ง มันคือการรนหาที่ตายเอง

แต่ว่า การทำให้ผู้คนต้องหวั่นเกรง ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวหาใช่เป็นตัวของหลูเหว่ยจวินเอง แต่เป็นนักพรตไป๋ยื่อที่อยู่ด้านหลังของเขา นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจริงๆ

ในแดนลัทธิราชัน ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นเกรงยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นยุคสมัยที่เจิดจรัสที่สุดของแดนลัทธิราชัน ผู้ที่สามารถต่อต้านกับระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลในแดนลัทธิราชัน ก็มีอยู่ไม่มาก

เวลานี้นักพรตไป๋ยื่อได้ออกจากการกักตนแล้ว กลายเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งอย่างไรในแดนลัทธิราชัน ก็จะต้องหวาดหวั่นเขาสามส่วน แม้แต่ตระกูลหลี่ ตระกูลมู่ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่เว้น

“คนโหดอันดับหนึ่งกล้าเป็นศัตรูกับนักพรตไป๋ยื่อหรือไม่?” มีผู้อดที่จะกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

เวลานี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าคนโหดอันดับหนึ่งนั้นไร้ขื่อแปรแล้ว สังหารสิบวัชระ เข่นฆ่าแขกสวรรค์ทั้งห้า ทั้งหมดเป็นท่าทีที่หมางเมินใต้หล้า โดยไม่เห็นยอดฝีมือทั้งหมด และระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิต่างๆ ในแดนลัทธิราชันอยู่ในสายตา

เวลานี้ปรากฎนักพรตไป๋ยื่อที่มีกำลังความสามารถระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลโผล่ออกมาคนหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องแปลกใจว่า คนโหดอันดับหนึ่งกล้าหรือไม่ที่จะเป็นศัตรูกับนักพรตไป๋ยื่อ

“เกรงว่าไม่มีอะไรที่ไม่กล้ากระมัง” มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนอดที่จะซุบซิบด้วยความกังขาว่า “นับแต่คนโหดอันดับหนึ่งปรากฎออกมาจนถึงปัจจุบัน เขาเคยกลัวใครมาก่อน? อย่าว่าแต่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะฉางจินต้ง เคอะเหมิง อาศัยคำพูดและการกระทำของเขาก็พอจะมองออกว่า แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลหลี่ ตระกูลมู่ก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา เกรงว่ากล่าวสำหรับคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว มีนักพรตไป๋ยื่อเพิ่มขึ้นร้อยคนไม่นับว่ามาก หรือมีนักพรตไป๋ยื่อน้อยกว่าคนหนึ่งก็ไม่ถือว่าน้อย”

คำพูดเช่นนี้ได้รับการยอมรับของผู้คนจำนวนไม่น้อย จะอย่างไรเสีย นับตั้งแต่คนโหดอันดับหนึ่งปรากฏตัวแล้วก็เข่นฆ่าไปทุกที่โดยไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง เรียกได้ว่าไร้ผู้ต่อต้านได้ เวลานี้แม้ว่าจะอาศัยเพียงชื่อเสียงบารมีของนักพรตไป๋ยื่อ เกรงว่าก็ไม่สามารถข่มขู่ให้คนโหดอันดับหนึ่งต้องกลัวได้

ในเวลานี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่มองไปที่เมืองหมิงลั่วเฉิง รอคอยการประกาศของคนโหดอันดับหนึ่ง

“หมาแมวมาจากที่ไหนกัน เก่งแต่เห่าหอนอยู่นอกเมือง” ในเวลานี้เอง ตำหนักทองแดงปรากฎเสียงที่เอ้อระเหยขึ้นมา กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม ขอเพียงกล้าเข้าเมือง ฆ่าไม่มีละเว้น!”

พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างยิ้มเจื่อนๆ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาถึงเมืองหมิงลั่วเฉิงตั้งแต่แรกนั้น พวกเขาได้เรียนรู้ถึงการใช้อำนาจบาตรใหญ่และดุร้ายของคนโหดอันดับหนึ่งมาแล้ว แม้แต่หลูเหว่ยจวินที่เข้าใจว่าตัวเองมีผู้หนุนหลัง คนโหดอันดับหนึ่งยังคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา พลันปริปากก็คือ “ฆ่าไม่มีละเว้น”

“คนโหดอันดับหนึ่งก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างนี้ โหดร้ายทารุณแบบนี้” ทุกคนเกือบจะชินชากับความดุร้ายของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากคนโหดอันดับหนึ่งเกิดไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ดุร้ายขึ้นมากะทันหัน ทุกคนกลับจะรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นเท่าไร

เวลานี้ทุกคนกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของคนโหดอันดับหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว อาศัยชื่อของหลูเหว่ยจวิน นักพรตไป๋ยื่อยังไม่สามารถข่มขู่คนโหดอันดับหนึ่งได้

“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย ถึงกับกล้าพูดจาไร้ยางอาย” หลูเหว่ยจวิน ในวลานี้ก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ได้แล้ว เผยโฉมออกมาในที่สุด ส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองปราศจากผู้ต่อกรใต้หล้าอย่างนั้นรึ? ถึงกับกล้าอวดดีทำกำเริบเสิบสาน…”

“ถูกต้อง พ่อเจ้าก็คือผู้ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า” ขณะที่หลูเหว่ยจวินพูดยังไม่จบ ภายในตำหนักทองแดงก็มีคำพูดของหลี่ชิเย่ที่พูดแทรกตัดบทคำพูดของหลูเหว่ยจวินอย่างตรงไปตรงมา

หลูเหว่ยจวินยังพูดไม่จบก็ถูกขัดจังหวะ พลันทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น เป็นการดูถูกเขาอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างโจ่งแจ้ง พลันทำให้เพลิงแห่งความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกวิ่งพรวดขึ้นมา

เดิมตระกูลหลูของเขาก็คือตระกูลขุนนางโบราณที่ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดัง ตัวเขาเองก็มีทักษะยุทธที่ไม่เบาทีเดียว ทั้งยังมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง อาจกล่าวได้ว่าได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนยิ่งนัก เมื่อบรรพบุรุษของเขาออกมาจากการกักตน และทะลุคอขวดไปได้ จึงกลายเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล

สิ่งนี้พลันทำให้ตระกูลหลูของพวกเขาและฐานะของเขาเพิ่มสูงขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่าในชั่วข้ามคืน เพียงชั่วข้ามคืนเขาได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางที่ทุกคนให้ความสนใจ

ครั้นบรรพบุรุษของเขาได้กลายเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลแล้ว อย่าว่าแต่อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีชาติกำเนิดจากสำนักเจ้าลัทธิเลย ต่อให้ระดับบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ดูจะเกรงใจเขาอย่างยิ่ง กระทั่งมีท่าทีให้ความเคารพอยู่หลายส่วน

แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลมู่ ขอเพียงเขาไปเป็นแขก ระดับบรรพบุรุษของตระกูลมู่เรียกว่ามาให้การต้อนรับไกลเป็นพันลี้

กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะไปถึงไหน ไม่ว่าใครก็ต้องแสดงความเคารพต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง และให้ความเกรงใจเขาอย่างยิ่ง แม้แต่ลู่เคอะเวิง สี่พุทธาล้วนเป็นเช่นนี้

ดังนั้น ปรกติแล้วหากเขาออกปากพูดอะไร ทุกคนก็จะตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ ใครกล้าพูดตัดบทเขาแม้เพียงครึ่งคำก็คือไม่เคารพต่อเขา เป็นการดูถูกเขา!

ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ชิเย่ไม่เพียงแต่กล่าวตัดบทของเขาเท่านั้น เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ความอัปยศเช่นนี้จะให้หลูเหว่ยจวินกล้ำกลืนไปได้อย่างไรเล่า พลันทำให้เพลิงแห่งความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกลุกโชน ดวงตาทั้งสองดูน่าเกรงขาม เผยให้เห็นปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวขึ้นมา

ผู้ที่กล้าไม่เคารพต่อเขา กล้าดูถูกเขา เขาก็จะฆ่าไม่มีละเว้น!

“เจ้าคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…” ดวงตาทั้งสองของหลูเหว่ยจวินดูน่าเกรงขาม กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “อาศัยเจ้าที่เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่ง หาญกล้าบอกว่าเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า แดนลัทธิราชันเป็นที่ที่เสือหมอบมังกรเร้นกาย ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร ยิ่งกว่านั้นขังมีผู้ปราศจากผู้ต่อกรเป็นนิรันดร์มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง…”

“เอาล่ะ ไม่ต้องคุยโม้” ภายในตำหนักทองแดงปรากฏเสียงที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ กล่าวตัดบทคำพูดของหลูเหว่ยจวินครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวเรียบเฉยขึ้นว่า “เจ้าคุยโวมาครึ่งค่อนวัน ต้องการคุยโวถึงบรรพบุรุษของเจ้าที่ชื่อนักพรตไป๋ยื่ออะไรนั่นน่ะสิ”

“ถูกต้อง บรรพบุรุษของข้าก็คือยอดฝีมือที่แกร่งที่สุด สำเร็จชั้นคงความอมตะตลอดกาล ในแดนลัทธิราชันปราศจากผู้ต่อกร เจ้าที่เป็นเพียงผู้เยาว์ที่อวดดีและโง่เขลา เรียกได้ว่าไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงเมื่ออยู่ตรงหน้าของเขาสามารถบดขยี้เจ้าให้ตายอย่างง่ายดาย” หลูเหว่ยจวินก็ไม่จำเป็นต้องแอบ ยกเอาบรรพบุรุษของตนขึ้นมาตรงๆ

แม้จะกล่าวว่าท่าที และคำพูดในลักษณะเช่นนี้ของหลูเหว่ยจวินออกจะยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง แต่ว่า ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าคัดค้านแม้แต่คนเดียว ความจริงแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับ และเห็นด้วยกับคำพูดของหลูเหว่ยจวิน

แดนลัทธิราชันในปัจจุบัน นักพรตไป๋ยื่อที่กลายเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล นับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งโดยแท้ และเป็นความจริงที่ปราศจากผู้ต่อกร

กล่าวได้ว่าคำพูดของหลูเหว่ยจวินแม้ไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นความจริง

“จะเป็นไป๋ยื่อ (ร้อยวัน) ไป๋จุ๋ (ร้อยขา) อะไรนั่น” ภายในตำหนักทองแดงปรากฏเสียงที่ไม่ให้ความสนใจลอยมา เอ่ยเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ต่อให้เขามาด้วยตนเอง กล้าเหยียบเข้าเมืองหมิงลั่วเฉิงแม้เพียงก้าวเดียว ข้าก็จะตัดหัวของเขาออกมาแขวนเอาไว้บนกำแพงเมือง”

“เจ้า…” หลูเหว่ยจวินพลันโกรธจนตัวสั่นพูดอะไรไม่ออก ในเวลานี้เขาเองก็คาดไม่ถึง เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดที่เหี้ยมโหดเช่นนี้

ขณะที่ผู้อื่นเอ่ยถึงบรรพบุรุษของเขานักพรตไป๋ยื่อ ใครบ้างที่ไม่แสดงท่าทีเคารพนบนอบ? แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเฉกเช่นลู่เคอะเวิงก็มีท่าทีที่ให้ความเคารพเป็นอันมาก และต้องเงยหน้ามอง ใครบ้างที่กล้าพูดคำพูดที่แสดงถึงการไม่ให้ความเคารพต่อนักพรตไป๋ยื่อ บรรพบุรุษของเขาแม้เพียงครึ่งคำ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะตัดหัวของนักพรตไป๋ยื่อ ผู้เป็นบรรพบุรุษของเขาแล้ว

กล่าวได้ว่า ใครบ้างที่หาญกล้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เท่ากับเบื่อที่จะอยู่บนโลกอีกแล้ว!

ผู้ที่กล้าพูดเช่นนี้เป็นการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น ไม่จำเป็นต้องให้นักพรตไป๋ยื่อลงมือ ก็จะมีผู้ที่จะเอาชีวิตคนผู้นั้น

แต่ว่า เวลานี้คนโหดอันดับหนึ่งได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า ประกาศตรงๆ ว่าจะตัดหัวของนักพรตไป๋ยื่อออกมา มันพาลจนไม่สามารถหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว

“นี่ นี่ นี่ออกจะอวดดีเกินไปแล้ว” แม้ว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคนโหดอันดับหนึ่งนั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่และทารุณโหดร้าย แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว ทุกคนอดที่จะใจหายใจคว่ำไม่ได้

ทุกคนต่างก็รู้ว่า ปรกติแล้วหากเรื่องกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ และการโต้เถียงกันระหว่างผู้เยาว์ด้วยกัน กล่าวสำหรับ นักพรตไป๋ยื่อที่เป็นผู้ได้รับการเคารพสูงสุดแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาอะไรมากมายนัก บางทีก็คงไม่ไปสนใจ

แต่ว่า เวลานี้คนโหดอันดับหนึ่งประกาศต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าว่าต้องการตัดหัวของนักพรตไป๋ยื่อ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกันแล้ว นี่เป็นการทำให้นักพรตไป๋ยื่อต้องเสื่อมเสียเกียรติ ต้องการไม่ขออยู่ร่วมโลกกับนักพรตไป๋ยื่อ

เมื่อมีการผูกความแค้นเช่นนี้ เกรงว่าใครก็ไม่สามารถคลี่คลายบุญคุณความแค้นนี้ได้ เกรงว่าระหว่างคนโหดอันดับหนึ่ง กับนักพรตไป๋ยื่อจะต้องได้ต่อสู้กันแน่นอน

“เกรงว่านักพรตไป๋ยื่อจะไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้ ต่อให้เขาไม่ลงมือ ลูกหลานของเขาก็จะไม่ยอมเลิกรา หาไม่ล้า ตระกูลหลูจะเอาหน้าไปไว้ไหน” มียอดฝีมือเอ่ยขึ้น

“คำพูดของคนโหดอันดับหนึ่งโหดเกิน และพาลมากเกินไปแล้ว ไม่เหลือช่องว่างให้กับตนเลยแม้แต่น้อย ทำให้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับนักพรตไป๋ยื่อโดยตรง” ระดับบรรพบุรุษถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “นี้คือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลนะเนี่ย ผู้ที่สามารถไล่ตามปฐมบรรพบุรุษได้ เกรงว่าคนโหดอันดับหนึ่งจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

แน่นอน ในเรื่องนี้ผู้ที่ดีใจมากที่สุดคงไม่เกินลู่เคอะเวิง และสี่พุทธา เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าคนโหดอันดับหนึ่ง กับนักพรตไป๋ยื่อจะต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาต เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากจะเห็นมากที่สุด

เวลานี้หลูเหว่ยจวินถูกยั่วโมโหจนตัวสั่นเทา สีหน้าแดงก่ำ และพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้

“โลกมีความวุ่นวาย พวกเรามาที่นี่ไม่ได้เพื่อบุญคุณความแค้น” ในเวลานี้เอง บนเนินเขาสูงที่ตั้งค่ายของตระกูลมู่ปรากฏเสียงที่หนักแน่นมีพลังได้ถูกส่งออกมา โดยเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นบ้านของศิษย์ข้า วันนี้เขากลับมาก็เพื่อจัดการเรื่องราวต่างๆ ของคนในครอบครัว”

เสียงที่หนักแน่นและมีพลังนี้ดูมีจังหวะจะโคนยิ่ง เหมือนว่าทุกๆ คำที่พูดออกมาเป็นการเปล่งคาถาขึ้นมาอย่างนั้น

“ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน” เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว ทุกคนรู้ว่าเป็นใครแล้ว แม้ว่ายังไม่เห็นคนผู้นั้น และได้ยินเสียงของเขา

“ถูกต้อง เมืองหมิงลั่วเฉิงคือบ้านของเข้า ฮึ หรือว่าข้าจะกลับบ้านของตัวเองก็มีความผิดอย่างนั้นรึ? ออกจะใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว” เวลานี้หยางถิงอวี่ก็ก้าวออกมา พูดเสียงเย็นขาขึ้นมา

“ไม่มีใครสามารถลิดรอนสิทธิ์ที่จะกลับบ้านของคนอื่น” ในเวลานี้ ภายในป่าก็ปรากฎเสียงของลู่เคอะเวิงดังขึ้นมา

“หากใครยึดครองบ้านของเจ้าก็คือมารร้ายที่มีโทษมหันต์ไม่อาจให้อภัย ผู้คนใต้หล้าจะต้องกำจัด” ในเวลานี้สี่พุทธาก็ส่งเสียงสนับสนุนหยางถิงอวี่

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *