Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2628 เข้าเมือง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2628 เข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2628 เข้าเมือง

ในเวลานี้เอง พวกของลู่เคอะเวิง สี่พุทธาต่างทยอยกันออกปากให้การสนับสนุนหยางอวี่ถิง ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ในขณะนี้ตระกูลมู่ เคอะเหมิง ฉางจินต้งได้มีสัญญาลับต่อกัน พวกเขาได้บรรลุเป็นพันธมิตรกันแล้วในเวลานี้เพื่อต่อต้านศัตรูอย่างหลี่ชิเย่ร่วมกัน

“ข้าจะต้องกลับบ้านให้ได้ ไม่ว่าใครก็ขวางความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในอันที่จะกลับบ้านของข้าได้” ในขณะนี้ หยางอวี่ถิงได้ร้องเสียงดังขึ้นมา

การวางท่าทีเช่นนี้ของหยางอวี่ถิงก็แค่เป็นการช่วงชิงโอกาสให้กับตนเอง และเพิ่มความกดดันให้กับหลี่ชิเย่เท่านั้น จะอย่างไรเสีย หยางอวี่ถิงเป็นคนของเมืองหมิงลั่วเฉิงจริงๆ เขาเกิดและเติบโตที่เมืองหมิงลั่วเฉิง

ถ้าหากว่าหลี่ชิเย่ไม่อนุญาตให้เขากลับไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงล่ะก็ ดูเหมือนจะทำเกินเลยไป เป็นการรังแกคนมากเกินไป ถ้าหากปล่อยให้หยางอวี่ถิงได้กลับบ้าน เช่นนั้นแล้วเขาก็มีเหตุผลที่จะให้การต้อนรับสหายของตนเข้าไปในบ้านของตนในฐานะแขกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

กล่าวได้ว่า เวลานี้หยางอวี่ถิงก็คือเป็นการสร้างสถานการณ์ให้กับตนเอง ให้ตนเองยืนอยู่ในจุดของผู้อ่อนแอ เพื่อให้ได้รับความเห็นใจจากผู้คนทั่วหล้า เป็นการเพิ่มความกดดันให้กับหลี่ชิเย่

ในเวลานี้ เสียงตูมดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองเห็นหยางอวี่ถิงที่ก้าวนำหน้าออกมาจากบริเวณที่ตั้งค่ายของตระกูลมู่ ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยกองกำลังอีกกลุ่มใหญ่ของตระกูลมู่

นอกเหนือจากกองกำลังทัพจำนวนมากของตระกูลมู่ที่ติดตามมาแล้ว ข้างกายของหยางอวี่ถิงยังมีเทพกระบี่สายฟ้าซูม่อไป๋ ศิษย์เอกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนมาเป็นผู้คุ้มกันให้กับเขา

“จะเปิดศึกกันแล้วล่ะ” มาคราวนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าตระกูลมู่กำลังจะทำอะไรแล้ว เมื่อมองเห็นหยางอวี่ถิงนำพากองกำลังทหารจำนวนมากวิ่งเข้าหาเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างรวดเร็ว โดยมีเทพกระบี่สายฟ้าเป็นผู้คุ้มครองอยู่ข้างกาย

มาคราวนี้พลันทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน และทุกคนที่อยู่ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงถึงกับมีกำลังวังชาขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นตระกูลมู่จะเข้าไปตั้งในเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งนี้

จะอย่างไรเสีย เวลานี้ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงปรากฏประกายเซียนที่วูบวาบ ทุกคนต่างมองออกว่า ศิลาเซียนของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นกำลังจะปรากฎขึ้นมาแล้ว ถ้าหากเมืองหมิงลั่วเฉิงถูกปิดตายเอาไว้ตลอดโดยหลี่ชิเย่ พวกเขาไม่สามารถก้าวเข้าไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงแม้เพียงครึ่งก้าวล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ขณะชุลมุน ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะได้ศิลาเซียนชิ้นนี้

ดังนั้น เวลานี้ตระกูลมู่จะลงมือแล้ว ทำให้เป็นที่เฝ้ารอของทุกคนทันที ถ้าหากตระกูลมู่สามารถนำกองกำลังทหารเข้าไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงได้ ก็จะทำให้แนวป้องกันของคนโหดอันดับหนึ่งถูกเปิดเป็นช่องออกมา ถึงตอนนั้น พวกเขาคิดจะเข้าไปถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ขณะชุลมุนในเมืองหมิงลั่วเฉิงก็จะง่ายขึ้นมากทีเดียว

มีผู้ถึงกับเอ่ยขึ้นมาว่า “เวลานี้ ตระกูลมู่นับว่าได้กาลเวลาที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสม และแรงสามัคคี” เมื่อมองเห็นหยางอวี่ถิงนำพากองกำลังทหารจำนวนมากมุ่งหน้าจะเข้าเมืองหมิงลั่วเฉิง

หยางอวี่ถิงมีเหตุผลเพียงพอที่จะเข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิง สิ่งนี้กล่าวสำหรับตระกูลมู่แล้วเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขามีเหตุผลในการใช้กำลัง อีกทั้งตระกูลมู่ก็ยังจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากผู้คนทั่วหล้า กล่าวได้ว่าในด้านของกำลังสามัคคีนั้น หยางอวี่ถิงในเวลานี้เรียกได้ว่าได้รับการเอ็นดูจากสวรรค์มากเป็นพิเศษ

ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น กองกำลังทหารจำนวนมากของตระกูลมู่พลันหยุดอยู่ด้านหน้าของเมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นระเบียบและเย็นชาปราศจากเสียงใดๆ ให้ความรู้สึกกับผู้คนจนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก นี่คือกองกำลังทัพที่คร่ำหวอดอยู่กับสมรภูมิรบมานาน ย่อมไม่ต้องสงสัยในกำลังความสามารถของพวกเขา

ขณะที่หยางอวี่ถิงพากองกำลังทัพจำนวนมากตั้งขบวนอยู่ด้านหน้าเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้น ประตูเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงยังคงปิดสนิท แน่นอน หากพวกของหยางอวี่ถิงต้องการหักดิบบุกเข้าไปให้ได้ กำแพงเมืองเช่นนี้ก็ไม่สามารถต้านพวกเขาเอาไว้ได้อยู่แล้ว

ในเวลานี้ ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนต่างมองไปที่ตำหนักทองแดง รอคอยการแสดงท่าทีของคนโหดอันดับหนึ่ง

“ข้าหยางอวี่ถิงเกิดที่เมืองหมิงลั่วเฉิงมาแต่น้อย ข้าถือกำเนิดที่นี่ เติบโตที่นี่ ที่นี่ก็คือบ้านของข้า และเป็นที่พึ่งพิงของชีวิตของข้า ในเมืองหมิงลั่วเฉิงมีพี่น้องของข้า มีพ่อแม่ผู้อาวุโสร่วมชาติที่แก่เฒ่า มาวันนี้ การกลับมาของข้าหยางอวี่ถิงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์กลับบ้านของตนเอง…” ในเวลานี้ หยางอวี่ถิงที่ยืนอยู่ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงร้องกล่าวเสียงดังออกมา

ในเวลานี้ หยางอวี่ถิงพยายามพูดให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตนเองนั้นน่าสงสารอย่างยิ่ง โดยบรรยายว่าตัวเองเป็นบุคคลตัวน้อยๆ ที่ไร้ที่พึ่งถูกผู้คนอาศัยกำลังยึดครองเอาแคว้นของตนไป และคำบอกเล่าจากปากของเขา หลี่ชิเย่กลายเป็นมารร้ายที่ทำร้ายผู้ชายข่มเหงผู้หญิง ประเภทนกเขายึดครองรังของนกสาลิกาอย่างนั้น

แน่นอน ราษฎรที่อาศัยอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่เคยเป็นศิษย์ของจวนลั่วต่างก็ได้ยินคำพูดของหยางอวี่ถิง แต่ว่า ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นเมื่อได้ฟังคำของหยางอวี่ถิงในเวลานี้แล้ว กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยดูแคลนกับสิ่งนี้ แม้แต่ศิษย์ของจวนลั่วก็เป็นเช่นนี้

ในสายตาของชาวบ้านเมืองหมิงลั่วเฉิงมองว่า หลี่ชิเย่จึงจะเป็นเทพผู้พิทักษ์เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขา เป็นพระเจ้าผู้ช่วยโลกของเมืองหมิงลั่วเฉิง ในขณะที่ภัยพิบัติมาถึง หยางอวี่ถิงในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองหมิงลั่วเฉิงไปอยู่ไหนมา? สุดท้ายผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยชาวบ้านยังคงเป็นบุคคลภายนอกมิใช่รึ?

ยิ่งไปกว่านั้น ราษฎรที่อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงขณะนี่มองว่า เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาภายใต้การคุ้มครองของหลี่ชิเย่ เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องของชีวิต ขณะที่หยางอวี่ถิงในเวลานี้ต้องการนำบุคคลภายนอกเข้ามาในเมืองหมิงลั่วเฉิง เป็นการชักศึกเข้าบ้าน ภายในใจของผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ต่อต้านการกลับมาของหยางอวี่ถิง แน่นอน ทุกคนไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่นอกเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้และจ้องมองไปที่ตำหนักทองแดง แน่นอน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดจากภายนอกล้วนแล้วแต่ยินดีที่ได้เป็นตระกูลมู่สามารถเข้าไปตั้งกำลังได้เป็นผลสำเร็จ มีเพียงเช่นนี้พวกเขาจึงจะมีความหวัง พวกเขาจึงมีโอกาส

มิฉะนั้นล่ะก็ หากเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่ในมือของหลี่ชิเย่ตลอด พวกเขาไม่สามารถไปแตะต้องศิลาเซียนได้อยู่แล้ว

“เอาล่ะ ต่อให้เจ้าพูดเสียตัวเองน่าสงสารอย่างไรก็ตาม และจะอย่างไร” ในเวลานี้ เสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมา ได้มองเห็นหลี่ชิเย่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว

ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่ทันเห็นว่าหลี่ชิเย่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อไรกัน เหมือนว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตลอดมาอย่างนั้น

“ข้ายังคงเป็นคำนั้น ใครเข้าเมือง ฆ่าไม่มีละเว้น!” หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเพียงจ้องมองหยางอวี่ถิงทีหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย กล่าวเอ้อระเหยขึ้นมาว่า “สำหรับเจ้ารึ มันก็แค่หมากตัวหนึ่งที่ไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึงเท่านั้น คิดจะเข้าเมือง ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน สี่พุทธา ลู่เคอะเวิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเหวินจุ๊อะไรนั่น ทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันเลย วันนี่ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้สิ้น จะได้ไม่จู้จี้จุกจิอยู่ข้างนอกทั้งวัน”

คำบอกเล่าเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ที่พูดออกมา ทำเอาทุกคนที่อยู่ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงรู้สึกตระหนกอยู่ในใจ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าพลันที่หลี่ชิเย่ปรากฏตัวออกมาก็ท้าทายต่อพวกราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทั้งหมดโดยตรง อีกทั้งประกาศจะสังหารพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทั้งหมด

“คนโหดอันดับหนึ่งย่อมเป็นคนโหดอันดับหนึ่ง ในแดนลัทธิราชันก็คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รับได้กับฉายา ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’ ได้กระมัง” ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ทุกคนไม่อาจไม่เลื่อมใสอยู่ในใจ

“สหาย หากท่านคิดจะต่อสู้ด้วย วันหลังมีเวลา ข้ามู่เจี้ยนพร้อมทุกเมื่อ” เวลานี้ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนได้ส่งเสียงขึ้นมา เสียงของเขายังคงหนักแน่นมีพลังอะไรอย่างนั้น

เสียงของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนที่หนักแน่นมีพลังได้ส่งเข้ามาช้าๆ และกล่าวว่า “วันนี้ ข้าไม่ได้มาเพื่อบาดหมางกับสหาย วันนี้เป็นเพราะศิษย์ของข้าคิดถึงบ้านเกิดเป็นอย่างยิ่ง อยากจะกลับไปบ้านของตน ดังนั้น ขอสหายได้เปิดประตูเมืองเพื่อให้ศิษย์ของข้าได้กลับไปยังบ้านของตน เพื่อปลอบประโลมให้คลายทุกข์จากการคิดถึงบ้าน”

“ไสหัวไป…” หลี่ชิเย่กล่าวได้ท่าทีเรียบเฉยมาก “โลกนี้กว้างไกลแค่ไหน ก็ไสหัวไปให้ไกลเท่านั้น”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ คนโหดอันดับหนึ่งไม่เพียงใช้อำนาจบาตรใหญ่และดุดัน การพูดจาและการกระทำก็ง่ายๆ หยาบคาย ไม่มีความเกรงใจกับราชันแท้จริงมู่เจี้ยนเลย และไม่แสดงท่วงทีงดงามอะไร หรือท่าทีในการปฏิบัติต่อสังคมที่ดีอะไร อาศัยคำพูดที่ซัดเข้าไปตรงๆ

“เจ้า เจ้าข่มแหงมากเกินไปแล้ว สมควรทราบว่า เจ้าเป็นคนนอก ข้านี่แหละศิษย์ของเมืองหมิงลั่วเฉิง เมืองหมิงลั่วเฉิงคือบ้านของข้า…” เวลานี้ หยางอวี่ถิงร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความโกรธ

“เอาล่ะ ไม่ต้องแหกปากแล้ว พวกเจ้าน่าเบื่อมาก” หลี่ชิเย่โบกมือและกล่าวว่า “คนที่มาจุกจิกจู้จี้ที่นี้ในวันนี้จะฆ่าให้หมด ไม่ว่าจะเป็นราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ลู่เคอะเวิงอะไรนั่นล้วนต้องตาย! เวลานี้เริ่มจากตัวเจ้าก็แล้วกัน”

ขาดคำ หลี่ชิเย่เพียงอาศัยนิ้วมือชี้ไปยังหยางอวี่ถิงด้วยท่าทีตามอารมณ์ยิ่ง ซึ่งเป็นนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่ตามอารมณ์อย่างยิ่ง ธรรมดาๆ กระทั่งไม่มีพลังใดๆ

สี่พุทธาถึงกับผวาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ลงมือ ก้าวถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว เรียกได้ว่าได้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดก็ว่าได้ เนื่องจากเขาเคยประมือกับหลี่ชิเย่มาก่อน รู้ถึงความน่ากลัวของหลี่ชิเย่ เขาเข้าใจดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว ถ้าหากไม่เป็นเพราะมีราชันแท้จริงมู่เจี้ยนอาจารย์ของเขาคอยสนับสนุน นาทีนี้เขาไม่กล้ามายืนอยู่ที่ตรงนี้อยู่แล้ว ไม่กล้ามาร้องท้าทายอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่อยู่แล้ว

แต่ทว่า ไม่ว่าหยางอวี่ถิงจะใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างไร ไม่ว่าหยางอวี่ถิงจะก้าวถอยหลังรวดเร็วเช่นใด หลบเลี่ยงอย่างไรก็ตาม แต่ว่า นิ้วมือของหลี่ชิเย่ก็ยังคงลอยเบาหวิวเข้ามาจี้ใส่ตัวเขา

แม้จะกล่าวว่านิ้วมือนิ้วนี้ของหลี่ชิเย่ดูเบาหวิวไร้ซึ่งพลัง แต่หยางอวี่ถิงมองว่านิ้วมือนิ้วนี้ของหลี่ชิเย่น่ากลัวยิ่งกว่านิ้วปลิดวิญญาณเสียอีก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย…” ในชั่วพริบตาระหว่างความเป็นความตาย หยางอวี่ถิงถึงกับร้องเสียงแหลมขึ้นมา

พริบตาเดียวนั่นเอง ประกายกระบี่แวบวับ เทพกระบี่สายฟ้าลงมือแล้ว ความไวในการออกกระบี่ของเขารวดเร็วมาก ผู้คนจำนวนมากมองเห็นเพียงประกายกระบี่แวบเดียวเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเทพกระบี่สายฟ้าลงมืออย่างไร

ในเวลานี้ ทุกคนรู้สึกแวบหนึ่งตรงหน้า เมื่อมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เห็นเพียงกระบี่ของเทพกระบี่สายฟ้าที่ทาบอยู่บนนิ้วมือที่ลอยมาเบาหวิวของหลี่ชิเย่นั่น และนิ้วมือที่ลอยมาเบาหวิวของหลี่ชิเย่ได้กดทับลงบนตัวกระบี่ของเทพกระบี่สายฟ้า

ขณะนิ้วมือของหลี่ชิเย่ที่กดทับลงบนตัวกระบี่นั้น เขาดูช่างสบายๆ เรียบเฉย เหมือนไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย

ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้ เสียงกระบี่คำรามเพิ่งจะดังไปเข้าหูของทุกคน ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าการออกกระบี่ของเทพกระบี่สายฟ้านั้นรวดเร็วเพียงใด หลังจากผ่านไปนานมาก เสียงชักกระบี่ออกจากฝักจึงค่อยดังขึ้นมา

หยางอวี่ถิงถึงกับหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นนิ้วมือนิ้วนั้นของหลี่ชิเย่ถูกกระบี่ของเทพกระบี่สายฟ้าขวางเอาไว้ อดที่กล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ทรงอำนาจและมีความสามารถหนึ่งไม่มีสอง”

อย่างไรก็ตาม หยางอวี่ถิงยังเข้าใจว่าเทพกระบี่สายฟ้าได้ขวางนิ้วมือของหลี่ชิเย่เอาไว้ได้แล้ว แต่ทว่า เทพกระบี่สายฟ้ากลับพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากเขาได้สำแดงพลัง และความลึกซึ้งที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว จึงขวางนิ้วมือที่เหมือนมีลมหายใจแต่ไร้พลังของหลี่ชิเย่เอาไว้เต็มกลืนเท่านั้น และมันก็ถึงขีดสุดของเขาแล้ว ในเวลานี้เขารู้สึกว่าตนเองเกือบจะยืนไม่ไหวแล้ว คล้ายดั่งมีภูเขาขนาดใหญ่นับพันนับหมื่นลูกที่กดทับลงบนกระบี่ของเขา เขาเกือบจะยกกระบี่ในมือขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว

“เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว ผู้คนใต้หล้าที่แกร่งกว่าเจ้ามีมากมาย…” หยางอวี่ถิงถึงกับดีใจยิ่งร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นเทพกระบี่สายฟ้าขวางนิ้วมือของหลี่ชิเย่ไว้ได้

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เองนิ้วมือของหลี่ชิเย่เพียงกดลงเบาๆ ทีหนึ่ง กระบี่ยาวของเทพกระบี่สายฟ้าก็ต้านรับเอาไว้ไม่ได้แล้ว

ปุเสียงหนึ่งดังขึ้น หยางอวี่ถิงพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกพลังนิ้วมือของหลี่ชิเย่ที่ลอยสูงขึ้นแล้วบดขยี้ลงมาจนกลายเป็นหมอกเลือดไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *