Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2736 สู้ตายอย่างทรหด
ตอนที่ 2736 สู้ตายอย่างทรหด
เกล็ดงูพิษขนาดยักษ์ตัวนี้เสมือนดั่งเป็นเกราะเหล็กอย่างนั้น มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก อีกทั้งบนตัวของงูยักษ์ถึงกับมีแขนงอกออกมาสองข้าง และในมือถือขวานไว้สองเล่ม
งูขนาดยักษ์ลักษณะเช่นนี้ได้แลบลิ้นที่ยาวๆ ของมันออกมา เสมือนดั่งเป็นแส้ที่ฟาดใส่ดังฟอด ฟอด ฟอดขึ้นมา
ว้าย…ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคน ลู่ยั่วซีศิษย์น้องที่มีอายุน้อยที่สุดถูกทำให้ตกใจสุดขีด สีหน้าขาวซีด ก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว
“งูพิษตัวใหญ่มาก” ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเมื่อได้เห็นงูพิษขนาดยักษ์เช่นนี้ มีศิษย์พี่ศิษย์น้องบางคนถึงกับก้าวถอยหลังไปสองก้าว
“นิ่งเอาไว้ อย่าได้ถอยหลัง” ในเวลานี้ หลี่เจี้ยนคุนในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ได้ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำให้กำลังใจกับทุกคน
“ฆ่า…” ยังคงเป็นกัวเจียหุ้ยที่ปราศจากความหวาดกลัวมากที่สุด นางร้องเสียงแหลมดังขึ้นมา เป็นผู้นำเข้าโจมตีต่องูขนาดยักษ์นั่น ด้วยการเหินฟ้าขึ้นพร้อมกับกระบี่ยาวในมือที่ทิ่มแทงเข้าไปดั่งงูพิษ
“ลุย…” หลี่เจี้ยนคุนเกรงว่าจะมีการผิดพลาด จึงร้องเสียงทุ้มต่ำและบุกโจมตีเข้าไป
“ฆ่ามัน…” จ้าวจื้อถิงและศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ก็บุกสังหารเข้าไป ในเวลานี้พวกเขาถอยไม่ได้ มิฉะนั้นละก็จะไม่สามารถบุกเข้าไปในรังอสรพิษได้อยู่แล้ว
ตึง ตึง ตึงเสียงปะทะดังขึ้นมาเป็นระลอก ในเวลานี้งูยักษ์ก็เงื้อขวานคู่ขึ้นมา ปรากฎเป็นฟองขวานที่ผุดขึ้นพร้อมกับฟันลงมา
แต่ทว่า งูยักษ์ไม่เพียงแต่มีร่างกายขนาดยักษ์ ทั้งเกล็ดบนตัวยังคล้ายดั่งเป็นเกราะเหล็กอย่างนั้น แม้ว่าอาวุธของพวกกัวเจียหุ้ยจะฟันถูกร่างของงูยักษ์ แต่ไม่สามารถทำให้งูยักษ์ต้องบาดเจ็บสาหัส
เสียงปังดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในพริบตาเดียวนั่นเอง ลู่ยั่วซีที่มีอายุน้อยที่สุดประสบการณ์ต่อสู้อ่อนที่สุด ไม่ทันระวังถูกหางของงูยักษ์ฟาดเข้าให้จนนางต้องกระอักเลือดออกมา และร่างของนางก็ปลิวไปตามแรง
“ระวัง…” จ้าวจื้อถิงได้วิ่งเข้าไปรับตัวลู่ยั่วซีที่ถูกฟาดจนตัวปลิวเอาไว้ แต่ว่า ในเวลานี้ขวานของงูยักษ์ได้ฟันสับลงมาตรงๆ
ได้ยินเสียงปังที่ดังสนั่นหวั่นไหว ในจังหวะที่อันตรายที่สุดนั้น กัวเจียหุ้ยได้บุกเข้ามาโดยไม่ลังเลและหวาดกลัว ในมือถือโล่ขนาดยักษ์ต้านขวานที่ฟันฉับลงมาเอาไว้โดยพลัน ร่างของนางพร้อมโล่ถูกพลังที่ฟาดฟันลงมาจนกลิ้งไปไกลมาก
แต่ว่า ในเวลานี้เอง กัวเจียหุ้ยได้แสดงให้เห็นถึงด้านที่องอาจห้าวหาญยิ่ง นางกลิ้งตัว ณ จุดนั้นเข้าโจมตีช่วงล่างของงูยักษ์ โดยไม่ทันได้มองดูบาดแผลของตนสักแวบเดียว
ย่อมไม่ต้องสงสัย กัวเจียหุ้ยหลังจากผ่านประสบการณ์ขัดเกลาอย่างยาวนานที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์มา ได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนอย่างแท้จริง ในอดีตเด็กสาวอย่างกัวเจียหุ้ยคือผู้ที่รู้สึกอายกระทั่งการพูดการจา เวลานี้กลับกลายเป็นเยือกเย็นสุขุมอะไรอย่างนั้น ปราศจากความหวาดหวั่นอะไรอย่างนั้น เรียกได้ว่าการผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายครั้งแล้วครั้งเล่าที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น ส่งผลให้นางมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ปัง ปัง ปังเสียงปะทะดังขึ้นเป็นระลอก ในเวลานี้ การโจมตีเป็นระลอกของพวกหลี่เจี้ยนคุนทั้งเจ็ดคนถูกงูยักษ์ตีจนแตกพ่าย พวกเขาประสบความพ่ายแพ้ทันที
เฉินเหวยเจิ้งที่อยู่ด้านข้างมองดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน หลายครั้งหลายคราต้องตกใจอย่างยิ่ง และคิดจะลงมือเข้าให้การช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ว่า เมื่อหลี่ชิเย่ไม่ได้สั่งการ เขาจึงไม่กล้าทำอะไรโดยพละการ
“โง่…” จังหวะที่พวกของหลี่เจี้ยนคุนถูกตีแตกพ่ายนั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “หนึ่งคนกำลังไม่เพียงพอก็ร่วมมือกัน ต้องประสานกันจึงสามารถสำแดงพลังที่สมบูรณ์ที่สุด หลี่เจี้ยนคุนมีกำลังความสามารถแกร่งที่สุดให้เป็นกำลังหลัก ต้านขวานสองเล่มของเขาเอาไว้ เจียหุ้ยลอบฆ่า…”
“…มุ่งไปที่จุดตายของมัน ฉกฉวยโอกาสให้มั่น โจมตีถึงตายในครั้งเดียว ซิวหลิน ซิวชี่โจมตีปีกซ้ายขวา ทำให้มันยากที่จะดูแลซ้ายขวาได้ หวังเสวียหงโจมตีด้านหลัง ทำให้มันยากจะดูแลหน้าหลังได้ จ้าวจื้อถิงทำหน้าที่กำบัง คอยบดบังสายตาของมัน ลู่ยั่วซีเคลื่อนที่ไปมา รบกวนทำให้มันเสียสมาธิ”
พวกของหลี่เจี้ยนคุนที่เดิมถูกตีแตกพ่ายมาถึงกับมีกำลังฮึกเหิมเมื่อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่แล้ว
“เตรียมตัว ลุย…” ในเวลานี้มีหลี่เจี้ยนคุนเป็นกำลังหลัก ร้องเสียงดังขึ้นมา ในมือถือโล่ยักษ์และกระบี่ยักษ์ บุกเข้าไปตรงๆ
เสียงปัง ปัง ปังดังขึ้น หลี่เจี้ยนคุนอาศัยกำลังของตนเพียงลำพังเข้าขัดขวางขวานคู่ของงูยักษ์
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น จ้าวจื้อถิงลงมือ เพลิงร้อนแรงดั่งคลื่นยักษ์พุ่งเข้าตรงหน้าของงูยักษ์ บดบังสายตาของมัน
“ฆ่า…” สองพี่น้องซิวหลิน ซิวซี่ในจำนวนเจ็ดคนได้บุกสังหารจากทางด้านซ้ายขวา มุ่งสังหารงูยักษ์จากปีกสองข้าง ในขณะเดียวกันหวังเสวียหงได้อ้อมไปทางด้านหลังของงูยักษ์ ค้อนยักษ์ในมือได้ทุบเข้าไปที่หัวของงูยักษ์ทางด้านหลัง
ขณะที่ในเวลานี้ ศิษย์น้องคนเล็กลู่ยั่วซีเคลื่อนที่ไปทั่ว ลงมือพลางเคลื่อนที่ไปพลาง อาวุธแต่ละชิ้นที่ซัดเขาใส่งูยักษ์ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกสวให้งูยักษ์สามารถโจมตีตนเอง
หลังจากที่พวกเขาร่วมมือกันแล้วพลันประสานกันขึ้นมาทันที แรกเริ่มเดิมทีการประสานร่วมมือของทั้งเจ็ดคนยังไม่เพียงพอมีช่องโหว่ปรากฎขึ้นสารพัด หลังจากผ่านการบุกโจมตีรอบแล้วรอบเล่า การประสานงานของพวกเขาค่อยๆ เข้าขากันแล้ว สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ไม่เหมือนตอนแรกเริ่มที่ดูวุ่นวายไปหมด
อ๊ากกก…เสียงร้องน่าเวทนาของงูยักษ์ดังขึ้น หลังจากผ่านการโจมตีมารอบแล้วรอบเล่าแล้ว กัวเจียหุ้ยได้ฉวยโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง พลันเสือกกระบี่แทงเข้าไปที่บริเวณเจ็ดนิ้วของงูยักษ์ในทันที จากนั้นถอยฉากไปอย่างรวดเร็ว
จากการที่งูยักษ์ร้องน่าเวทนาออกมา ตัวของมันส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายล้มลงนอนกับพื้นตรงๆ เลือดสดๆ ไหลริน และตัวของงูยักษ์ก็ค่อยๆ แข็งตัวขึ้น
“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว…” หวังเสวีย หงที่มีเลือดเต็มตัวถึงกับหัวเราะเสียงดังขึ้น เมื่อเห็นว่าสามารถสังหารงูยักษ์ได้ในที่สุด และอดทนต่ออาการบาดเจ็บบนตัวไม่ได้แล้ว
ในเวลานี้พวกเขาทั้งเจ็ดคนต่างเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม ภายในใจมีความรู้สึกของความสำเร็จเต็มเปี่ยม มีความรู้สึกของความดีใจเต็มเปี่ยม หากเป็นในอดีตสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่ว่า มาวันนี้พวกเขากลับสามารถประสานร่วมมือกันสังหารงูยักษ์ได้ตัวหนึ่ง
ฟ่อ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ขณะที่พวกเขาดีใจยังไม่ทันจบ เสียงแลบลิ้นดังขึ้นเป็นระลอก ลึกเข้าไปภายในหุบเขาอสรพิษปรากฏดวงตาสีเขียวคู่แล้วคู่เล่าขึ้นมา
“ลุกขึ้น ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาดีใจ” ในขณะนี้เสียงที่เย็นชาของหลี่ชิเย่ดังขึ้น
สีหน้าของพวกหลี่เจี้ยนคุนเปลี่ยนไป รีบรวมตัวกันและตั้งมั่นพร้อมรับมือกับศัตรู ไม่กล้าหละหลวม และยังไม่ทันได้พักผ่อน
“ยังคงเป็นการประสานการโจมตีเมื่อครู่” หลี่เจี้ยนคุนที่มองเห็นดวงตาสีเขียวแต่ละคู่ที่ปรากฎขึ้นภายในหุบเขาอสรพิษถึงกับรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง รู้สึกขนหัวลุก แต่เขายังคงอดกลั้นเอาไว้ได้
“เข้าไป อย่าปล่อยให้พวกมันลงมือพร้อมกัน จัดการกับตัวที่อยู่ด้านนอกมากที่สุดก่อน” กัวเจียหุ้ยได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาทันที
“ฆ่า…” หลี่เจี้ยนคุนในฐานะที่เป็นกำลังหลักไม่มีเหตุผลที่จะถอย จึงนำหน้าพาพวกเขาบุกเข้าไปในหุบเขาอสรพิษ
ปัง ปัง ปังในเวลานี้ภายในหุบเขาอสรพิษปรากฏเสียงที่ชนปะทะดังขึ้นมาเป็นระลอก ปรากฎเสียงต้นไม้ที่แตกละเอียดและโค่นล้มดังขึ้นเป็นระลอก
พวกของหลี่เจี้ยนคุนทั้งเจ็ดได้ต่อสู้ชนิดแลกชีวิตกับฝูงงูภายในหุบเขาอสรพิษรอบแล้วรอบเล่า หลายครั้ง หลี่เจี้ยนคุนในฐานะกำลังหลักถูกงูยักษ์โจมตีจนตัวลอยออกไป ได้รับบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย
สร้างความตระหนกจนเฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายอยากจะบุกเข้าไปช่วยเหลือ แต่ว่า หลี่ชิเย่ได้พูดคำพูดที่เรียบเฉยออกมาคำหนึ่ง “ไม่ถึงตายหรอกนะ หากพิการข้ายังช่วยได้”
เฉินเหวยเจิ้งได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่โดยดี เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา ภายในใจของเขาได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ในเวลานี้เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่า คำว่าขัดเกลาของหลี่ชิเย่หมายถึงอะไร แค่คำๆ เดียว “หากพิการแล้ว ข้ายังช่วยได้” คำพูดดังกล่าวก็ทำให้ต้องอกสั่นขวัญแขวน เฉินเหวยเจิ้งเองก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่หวังว่าพวกของหลี่เจี้ยนคุนจะพยายามช่วยเหลือตัวเองให้รอด
การต่อสู้อย่างดุเดือดภายในหุบเขาอสรพิษเกิดขึ้นโดยไม่ได้หยุด แม้ว่าพวกของหลี่เจี้ยนคุนก็สังหารงูยักษ์ตัวอื่นๆ ได้ แต่ก็ถูกตีจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน
“โง่ ฉกฉวยโอกาสให้มั่น โอกาสมักจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าพลาดโอกาสไปก็จะต้องอาศัยชีวิตของเพื่อนมาชดเชย” ท่ามกลางการโจมตีรอบแล้วรอบเล่านั้น หลี่ชิเย่มักจะคอยชี้แนะพวกของหลี่เจี้ยนคุนเสมอๆ ทุกๆ คำพูดของเขาล้วนแล้วแต่ตรงประเด็น ในครั้งนี้กัวเจียหุ้ยเป็นผู้ผิดพลาด หลี่ชิเย่ก็ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ เฉินเหวยเจิ้งจึงได้ตระหนักถึงปณิธานที่แข็งกร้าวของหลี่ชิเย่อย่างแท้จริง แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะรู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นอยู่สูงเด่น แต่ว่ากับพวกผู้เยาว์อย่างพวกเขาแล้วยังคงโอบอ้อมอารีมากทีเดียว
แต่ว่า มาวันนี้เมื่อมีการเริ่มต้นขัดเกลาในครั้งนี้ จึงทำให้เฉินเหวยเจิ้งถึงกับเปลี่ยนความคิด เมื่อใดที่ปรมาจารย์พวกเขาเอาจริงขึ้นมาจะไร้ซึ่งความปราณีแน่นอน เป็นผู้ที่มีปณิธานแข็งกร้าวคนหนึ่งแน่นอน
พวกของหลี่เจี้ยนคุนได้ผ่านการขัดเกลาอยู่ท่ามกลางหุบเขาอสรพิษที่เป็นเสมือนดั่งนรกอเวจีถึงสิบวันเต็ม พวกเขาได้สังหารงูยักษ์ไปตัวแล้วตัวเล่า แต่ว่า ก็ถูกตีจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน ทุกครั้งที่ถูกตีจนแตกพ่าย หลี่ชิเย่ก็จะชี้ถูกจุดถึงปัญหาของพวกเขาได้อย่างตรงประเด็น
หลังจากถูกตีจนแตกพ่ายไปหลายครั้ง พวกเขาได้ถอนตัวออกมาพักผ่อน จากนั้นก็บุกสังหารเข้าไปต่อ ไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะถอยหรือเป็นทหารหนีทัพ
จากการต่อสู้อย่างดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า การประสานร่วมมือการโจมตีรอบแล้วรอบเล่าแล้ว การประสานร่วมมือกันระหว่างพวกของหลี่เจี้ยนคุนทั้งเจ็ดดูจะเข้าขากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ และมีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ ความตระหนักในด้านของหมู่คณะก็มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านการโจมตีมารอบแล้วรอบเล่า และการชี้แนะของหลี่ชิเย่ที่มีต่อพวกเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุด หลี่ชิเย่ถือโอกาสไม่มีการส่งเสียงใดๆ ออกมาอีกเลย หลี่ชิเย่ก็จะไม่มีการไปชี้แนะต่อพวกเขาอีกแม้ว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น อาศัยพวกเขาไปคลำหากันเอง อาศัยพวกเขาไปค้นหาเอง
ด้วยวิธีการฝึกฝนอย่างเลือดเย็นและโหดร้ายเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้พวกของหลี่เจี้ยนคุนมีความปราดเปรียวคล่องแคล่วยิ่งขึ้น ปฏิกิริยาตอบสนองก็รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาดังอ๊ากกกขึ้นมาในวันที่สิบ ราชางูล้มลงในที่สุด ถูกพวกเขาสังหาร
“สำเร็จแล้ว…” ในที่สุดพวกเขาบุกเข้าไปในรังงูได้ในที่สุด ทำการกวาดล้างถ้ำอสรพิษจนราบคาบไปทั้งหุบเขา การที่สามารถมีผลงานเช่นนี้ ได้ทำให้พวกเขาดีใจสุดขีด ต่างอดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมาไม่ได้
ขณะที่หลี่ชิเย่เพียงเอนนอนอยู่ที่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนนอนหลับสนิทไปแล้ว
สุดท้าย พวกของหลี่เจี้ยนคุนต่างฟื้นฟูพละกำลังขึ้นมาได้แล้ว หลี่ชิเย่เพียงกล่าวเรียบเฉยขึ้นว่า “นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น จากนี้ไปยังมีหนทางอีกยาวไกลต้องก้าวเดิน เก็บข้าวเก็บของแล้วออกเดินทาง”
ในเวลานี้ พวกหลี่เจี้ยนคุนต่างรู้สึกขนหัวลุกเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แต่ว่าไม่กล้าชักช้า รวบรวมกำลังเก็บของทันทีและติดตามไปทันที
พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ไม่ถึงสองวัน หลี่ชิเย่ได้หยุดเดินอีกแล้ว และจัดการจับพวกเขาโยนลงไปในเหวลึกโดยตรง และกล่าวเรียบเฉยว่า “หมอกหนาทึบจะทำให้พวกเจ้าสูญเสียความคิดที่จะไตร่ตรองอย่างละเอียดและสติปัญญา นี่แหละจะเป็นช่วงเวลาทดสอบจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าแล้ว หากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่แกร่งพอ ก็ให้เสียสติอยู่ในนั้นก็แล้วกัน”
พวกของหลี่เจี้ยนคุนรู้สึกขนหัวลุกเมื่อถูกจับโยนลงไปในเหวลึก พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเมื่อมองเห็นมีแต่ความมืดมิดไปทั่ว พวกเขารู้สึกเหมือนตนเองอยู่ท่ามกลางนรกอเวจีอย่างนั้น
“สงบอารมณ์ไว้…” กัวเจียหุ้ยมีประสบการณ์ในด้านนี้ จึงกล่าวเตือนสติทันที “พวกเราอย่างแยกจากกัน ต้องกล่าวเตือนซึ่งกันและกัน”
พวกเขาถูกทรมานมาสิบวันเต็มๆ ท่ามกลางเหวลึกเช่นนี้ หากจะพูดถึงเรื่องของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ผู้ที่สามารถก้าวเดินออกมาเป็นคนแรกก็คือกัวเจียหุ้ย แต่ทว่า นางได้ช่วยเหลือและสนับสนุนศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ สุดท้ายพวกเขาได้ก้าวออกมาจากเหวลึกพร้อมกัน
……
หลี่ชิเย่ยังคงให้พวกเขาออกเดินทางไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ทำการขัดเกลาพวกเขาไปตลอดทาง ขอเพียงเดินทางผ่านสถานที่ที่อันตรายใดๆ ก็จะจับพวกเขาโยนเข้าไป หากไม่บรรลุสำเร็จกลับออกมาได้ก็จะไม่ไปจาก
แรกทีเดียวพวกของหลี่เจี้ยนคุนต่างรู้สึกขนหัวลุกเมื่อได้ยินเรื่องการขัดเกลาลักษณะเช่นนี้ แต่ว่า จากการที่ผ่านการขัดเกลามาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาเริ่มที่จะเคยชินกันมันแล้ว และมีความแกร่งยิ่งขึ้น พวกเขาเลื่อนขั้นได้รวดเร็วมาก
สิ่งนี้ไม่เพียงหมายถึงการเลื่อนขั้นในด้านของพลังวัตรเท่านั้น ในด้านประสบการณ์ การประสานร่วมมือกัน ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง…ล้วนแล้วแต่มีการเลื่อนขั้นขึ้นไป
ในด้านความร่วมมือประสานกันเป็นหมู่คณะนั้น ทุกครั้งที่พวกเขาทั้งเจ็ดประสบกับอันตรายนั้น ล้วนแล้วแต่ร่วมเป็นร่วมตายกัน ให้การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน
กล่าวได้ว่า ดอกผลที่ได้รับมาเช่นนี้จะไม่ได้รับในช่วงเวลาปรกติอย่างแน่นอน แม้จะก้มหน้าก้มตาฝึกปรืออยู่ภายในสำนักก็ไม่สามารถได้มา มีเพียงผ่านการขัดเกลาด้วยความยากลำบากเช่นนี้ จึงสามารถเก็บเกี่ยวดอกผลเช่นนี้มาได้
เฉินเหวยเจิ้งเองก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งเมื่อมองเห็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะเช่นนี้ เขาเชื่อว่า ในอนาคตพวกของหลี่เจี้ยนคุนเจ็ดคนจะต้องกลายเป็นเสาหลักของนิกายหู้ซานจงอย่างแน่นอน
………………………………………..
Comments