Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2737 ผู้เฒ่าที่ประหลาดคนหนึ่ง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2737 ผู้เฒ่าที่ประหลาดคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2737 ผู้เฒ่าที่ประหลาดคนหนึ่ง

หลี่ชิเย่นำพาพวกกัวเจียหุ้ยขัดเกลาไปตลอดทางมุ่งหน้าไปยังเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขา ระหว่างทางได้ผ่านการขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่า

พวกของกัวเจียหุ้ยก็ค่อยๆ เติบใหญ่ ค่อยๆ มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หลังจากผ่านการขัดเกลามาครั้งแล้วครั้งเล่า การประสานร่วมมือกันระหว่างพวกเขาทั้งเจ็ดคนก็มีใจที่ตรงกันมากขึ้น พวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือดมาตลอดทาง ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน มิตรภาพก็มีความลึกซึ้งมากขึ้น

แรกเริ่มทีเดียว การขัดเกลาที่หลี่ชิเย่ป้อนให้ระหว่างทางมีความถี่มากยิ่ง จากการที่พวกเขาผ่านการขัดเกลามากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ชิเย่ก็เริ่มขัดเกลาพวกเขาเบาบางลงอย่างช้าๆ

ท่ามกลางเส้นทางระยะหลังๆ นี้ การขัดเกลาที่หลี่ชิเย่จัดให้พวกเขาเรียกว่าน้อยลงไปมากทีเดียว ทำให้ภาพรวมการเดินทางเริ่มผ่อนคลายลงไม่น้อย เสมือนดั่งเป็นการท่องเที่ยวชมนกชมไม้อย่างนั้น

จากการที่พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าตลอดทาง พวกเขาห่างจากเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาใกล้เข้าไปทุกที ผู้คนที่พวกเขาพบเจอระหว่างทางก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนที่พวกเขาได้พบเห็นระหว่างทางก็มีหลากหลายแตกต่างกันออกไป มีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร และมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมือของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ในยามปรกติพบเห็นได้ยาก

ตลอดทางที่พวกของกัวเจียหุ้ยก้าวเดินมา ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาเป็นอันมาก และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้พวกเขาไม่น้อย

จะอย่างไรเสียนี่เป็นครั้งแรกที่พวกของกัวเจียหุ้ยห่างไกลจากสำนักของตน เป็นการเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ปรกติเมื่ออยู่ภายในสำนักของตน ผู้คนที่หลากหลาย เรื่องราวที่แปลกประหลาดที่ไม่ได้เห็น จะได้พบ ได้เห็นแต่ละอย่างระหว่างการเดินทาง

ในวันนี้ ขบวนของพวกหลี่ชิเย่ได้เร่งเดินทางเหมือนปรกติที่ผ่านมา เพียงแต่ระหว่างทางพลันปรากฎฝนที่ตกลงมาพรำๆ

แน่นอน สำหรับพวกของกัวเจียหุ้ยที่เป็นผู้บำเพ็ญตนแล้ว ต่อให้เป็นพายุฝนฟ้าคะนองก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เพียงแต่ทุกคนไม่ต้องการให้หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนต้องตากฝน บังเอิญข้างทางมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง เฉินเหวยเจิ้งจึงพาทุกคนเข้าไปหลบฝนในศาลาหลังนั้น

จากการที่เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ พวกเฉินเหวยเจิ้งกำลังพิจารณาว่าจะฝ่าสายฝนออกเดินทางต่อไปดีหรือไม่นั้น ในเวลานี้เองปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้นมาท่ามกลางสายฝน

มองเห็นผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาท่ามกลางสายฝน ในมือกางร่มกระดาษเอาไว้ ก้าวเดินเข้ามาช้าๆ เขาเดินไม่เร็ว เหมือเป็นการเดินเล่นท่ามกลางสายฝนอย่างนั้น

หน้าตาของผู้เฒ่าผู้นี้แปลกประหลาดมาก ดูไปแล้วอายุไม่น้อยทีเดียว แต่กลับดูมีกำลังวังชาและแข็งแรงมาก การย่างก้าวมั่นคงแข็งแรง แลดูมีความปราดเปรียวอย่างยิ่ง ไม่เหมือนเป็นผู้สูงอายุ

เสื้อผ้าที่ผู้เฒ่าสวมใส่ก็ดูจะพิถีพิถัน แม้ว่าเสื้อผ้าบนตัวจะแลดูเก่าแก่โบราณอยู่บ้าง แต่ว่าสะอาดสะอ้านอย่างยิ่ง วัตถุดิบที่ใช้สำหรับตัดชุดก็ดูจะพิถีพิถัน ทำให้ผู้ที่มองเห็นรู้ได้ทันทีว่าชาติกำเนิดของผู้เฒ่าหากไม่ใช่ฐานะดีก็คือมีฐานะสูงส่ง

ดูไปแล้วผู้เฒ่าผู้นี้ไม่เหมือนเป็นผู้บำเพ็ญตน บนตัวของเขาไม่ได้มีกลิ่นอายที่ผู้บำเพ็ญตนพึงมี และไม่ได้มีพลังตลบอบอวลที่ผู้บำเพ็ญตนพึงมี ผู้เฒ่าผู้นี้มองดูเหมือนเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งมากกว่า บนตัวของเขามีกลิ่นอายของตำราสายหนึ่ง ดูไปแล้วเหมือนเป็นครูสอนหนังสือของหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง หรือเป็นครูสอนส่วนตัวในบ้านตนเอง และหรือเป็นปัญญาชนหัวโบราณคนหนึ่ง

ผู้เฒ่าลักษณะเช่นนี้คนหนึ่งที่ก้าวเดินมาท่ามกลายสายฝน ไม่ได้มีอะไรน่าแปลก พวกของกัวเจียหุ้ยที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็แค่มองว่าเป็นผู้เฒ่าธรรมดาๆ คนหนึ่ง เป็นผู้เฒ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เดินทางมาท่ามกลางสายฝนเท่านั้น

แต่ว่า ประสบการณ์ของเฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายย่อมมีมากกว่าพวกกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกัวเจียหุ้ย ในเวลานี้เฉินเหวยเจิ้งพบว่า ขณะที่ผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวเดินมาท่ามกลางสายฝนนั้น ไม่ว่าน้ำฝนจะตกพรำๆ ลงมาอย่างใด และไม่ว่าถนนหนทางจะแฉะไปด้วยดินโคลนเช่นใด รองเท้าผ้าใบคู่นั้นของผู้เฒ่ากลับไม่เปื้อนน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว

เฉินเหวยเจิ้งดูรู้ได้ทันทีเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ผู้เฒ่าที่เดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางสายฝนผู้นี้หาใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอะไร ต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สูงส่งมากคนหนึ่งแน่นอน

ผู้เฒ่าที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางสายฝน ในเวลานี้เขาเองก็ได้มองเห็นศาลาที่ตั้งอยู่ข้างทางพอดี และเดินเข้ามาหลบฝนเช่นกัน

เฉินเหวยเจิ้งส่งสายตาให้กับพวกของกัวเจียหุ้ย ให้พวกเขาเว้นที่ให้กับผู้เฒ่าที่หนึ่ง เมื่อเห็นผู้เฒ่าเดินเข้ามาหลบฝน

“ผู้อาวุโส ท่านนั่งตรงนี้” เมื่อผู้เฒ่าหุบเก็บร่มกระดาษแล้ว หลี่เจี้ยนคุนรีบสละที่ให้และกล่าวกับผู้เฒ่า

“เหอะ เหอะ เหอะเวลานี้คนหนุ่มที่มีมารยาทมีไม่มาก มีไม่มาก” ผู้เฒ่าหัวเราะเหอะเหอะแล้วนั่งลง

เฉินเหวยเจิ้งถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อผู้เฒ่าได้นั่งลงแล้ว

ผู้เฒ่าลักษณะเช่นนี้พลันปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฝน เขารู้สึกว่ามันบังเอิญไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าไปครุ่นคิดพิจารณาโดยละเอียด

“พ่อหนุ่มนับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก และมีลักษณะท่าทางกิริยางดงาม เป็นผู้ที่มีความสามารถมาก และมีลักษณะท่าทางกิริยางดงาม” ครั้นผู้เฒ่าจัดการกับร่มกระดาษมันของตนเรียบร้อยแล้ว สายตาตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน จากนั้นได้กล่าวชื่มชมขึ้นมา

ภายในใจของพวกกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างหลี่เจี้ยนคุนถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาเองก็รู้ว่าปรมาจารย์ของพวกเขามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก และมีความสามารถยอดเยี่ยมมาก

แต่ว่า ลักษณะท่าทางของปรมาจารย์ในเวลานี้ของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้ากับคำว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก และมีลักษณะท่าทางกิริยางดงาม ปรมาจารย์พวกเขาในเวลานี้นอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนไม่ไหวติง คนที่ไม่รู้ความยังเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งเท่านั้น

ต่อให้เวลานี้หลี่ชิเย่ไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน หน้าตาของเขาดูไปแล้วก็ธรรมดาๆ ธรรมดามากๆ ไม่ว่าอย่างไรก็บอกไม่ได้ว่าเป็นผู้ที่มีลักษณะท่าทางกิริยางดงาม

ในเวลานี้ เมื่อพวกของหลี่เจี้ยนคุนได้ยินการกล่าวชื่นชมในลักษณะเช่นนี้ของผู้เฒ่าแล้ว อดที่จะรู้สึกประหลาดมากบังเกิดขึ้นในใจของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขา

ครั้นเฉินเหวยเจิ้งได้ยินผู้เฒ่ากล่าวชื่นชมเช่นนี้ ร้องในใจขึ้นมาว่าเกรงว่าจะยุ่งแล้วสิ เกรงว่าผู้เฒ่าผู้นี้หาใช่เข้ามาหลบฝนโดยบังเอิญขนาดนี้ เกรงว่าจะต้องมาด้วยเรื่องปรมาจารย์ของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่นอนเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนเสมือนดั่งตกอยู่กับการหลับใหลเป็นเวลานาน เหมือนว่าไม่เคยได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าเลย

“เก่ากะลาชื่นชอบหลักซานไฉมาแต่เยาว์วัย ได้เรียนรู้ศาสตร์เร้นลับวิชาดูโหงวเฮ้ง เก่ากะลาดูจากรูปลักษณ์ของพ่อหนุ่มแล้วนับว่ายอดเยี่ยมมาก” ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมกับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนว่าไม่แคร์กับการไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองของหลี่ชิเย่

“ผู้อาวุโส ท่านปรมาจารย์ของพวกเราได้หลับไปแล้ว ท่านไม่ได้ยินคำพูดของท่านหรอกนะ” ลู่ยั่วซีที่มีอายุน้อยนิสัยร่าเริงจึงกล่าวเตือนผู้เฒ่าด้วยความใจดี

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าจะคุยสนุกๆ กับพ่อหนุ่มนิดหนึ่ง เก่ากะลาเชื่อว่าในใจของเขาสามารถได้ยินได้” ผู้เฒ่าหัวเราะเหอะ เหอะด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าที่ดูมีอัธยาศัยดี

ลู่ยั่วซียังจะพูดต่อ แต่ว่าถูกเฉินเหวยเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงตัวออกไป นางยังไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร เฉินเหวยเจิ้งได้ส่ายหน้ากับนางเบาๆ ส่งสัญญาณให้นางอย่าได้พูดอะไร

“เก่ากะลาดูจากรูปลักษณ์ของพ่อหนุ่มแล้ว เป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งนะเนี่ย” ในเวลานี้ ผู้เฒ่าได้พูดเรื่องมโนสาเร่กับหลี่ชิเย่อีกแล้ว เหมือนว่าพวกเขาคือสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีอย่างนั้น ก็เลยพูดคุยเล่นเรื่องสัพเพเหระสนุกๆ ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติเช่นนี้

“พ่อหนุ่มเรียกได้ว่าฐานะสูงส่งอย่าบอกใครเชียวนะเนี่ย” ผู้เฒ่าไม่สนใจว่าหลี่ชิเย่จะสนองตอบหรือไม่ และไม่สนใจว่าหลี่ชิเย่จะได้ยินคำพูดของตนหรือไม่ ยังคงพูดของตนเองคนเดียวต่อไป

“ความเห็นของเก่ากะลา พ่อหนุ่มไม่เพียงมีใบหน้าที่สูงส่งอย่าบอกใคร ทั้งยังมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ชะตาชีวิตเช่นนี้นับว่าพบเห็นได้ยากในรอบร้อยปี ผู้ที่มีรูปลักษณ์ใบหน้าเช่นนี้เรียกได้ว่าลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง มั่งมีมากด้วยบารมี” ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมกับหัวเราะเหอะเหอะ

เฉินเหวยเจิ้งนั้นตื่นเต้นจนถึงขีดสุด ถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อเห็นผู้เฒ่าหัวเราะเหอะ เหอะคุยเล่นเรื่องมโนสาเร่กับหลี่ชิเย่ ภายในใจของเขาเข้าใจได้ว่า ผู้เฒ่าผู้นี้มาด้วยเรื่องของปรมาจารย์อย่างแท้จริง ส่วนที่ว่าจะมาดีหรือมาร้ายนั้นไม่อาจรู้ได้

สำหรับนังหนูลู่ยั่วซีที่มีนิสัยร่าเริงกลับไม่ได้พบว่ามีอะไรที่ผิดปรกติ นางยังคงเข้าใจว่าผู้เฒ่าผู้นี้ก็แค่เหงาเลยต้องการหาผู้ที่จะมาคุยเล่นสนุกๆ เท่านั้นเอง

“พ่อหนุ่ม พูดถึงเรื่องที่อายุยืนยาวเป็นร้อยปี ลูกหลานเต็มบ้านนั้น นังหนูของบ้านข้าก็มีชะตาชีวิตเหมือนกับท่าน” ผู้เฒ่าหัวเราะเหอะเหอะกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “เอ๊ะ ว่าไม่ได้พ่อหนุ่มกับนังหนูของบ้านข้าเรียกว่ามีชะตาชีวิตที่เหมือนกัน พ่อหนุ่ม ให้เก่ากะลาช่วยดูลายมือให้กับท่านดีหรือไม่ ดูว่ามีวาสนาต่อกันกับนังหนูบ้านข้าหรือไม่”

เมื่อผู้เฒ่าเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หยุดนิดหนึ่ง มองดูหลี่ชิเย่ แต่ว่าหลี่ชิเย่ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย เหมือนว่าไม่ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าอยู่แล้ว

“แบบนี้แสดงว่าพ่อหนุ่มเห็นด้วยแล้วสิ มา มะ มาเก่ากะลาจะดูลายมือให้กับพ่อหนุ่ม” เมื่อผู้เฒ่าเห็นหลี่ชิเย่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงหัวเราะเหอะเหอะช้อนเอาฝ่ามือของหลี่ชิเย่ขึ้นมา

ขณะที่ผู้เฒ่าผู้นี้ช้อนเอาฝ่ามือของหลี่ชิเย่ขึ้นมานั้น สร้างความตระหนกตกใจยิ่งให้กับเฉินเหวยเจิ้งที่อยู่ด้านข้าง เขาเกือบจะร้องขึ้นมา แต่ว่า ท้ายสุดแล้วยังคงอดกลั่นเอาไว้

ในเวลานี้เอง หลี่เจี้ยนคุนก็รู้สึกว่าผู้เฒ่าผู้นี้มีปัญหา ส่วนเป็นปัญหาเรื่องอะไรนั้นเขาเองก็พูดไม่ถูก

ขณะที่ผู้เฒ่าช้อนเอาฝ่ามือของหลี่ชิเย่ขึ้นมานั้น ไม่เพียงแต่เฉินเหวยเจิ้งเท่านั้น แม้แต่หลี่เจี้ยนคุน และพวกของกัวเจียหุ้ยก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ดูเหมือนผู้เฒ่าจะมองไม่เห็นพวกของเฉินเหวยเจิ้งที่รู้สึกตื่นเต้นโดยสิ้นเชิง หลังจากที่เขาช้อนเอาฝ่ามือของหลี่ชิเย่ขึ้นมาได้แล้ว ได้เอามือล้วงเข้าไปคลำหาในกระเป๋าของตนทีหนึ่ง หยิบเอาแว่นตาคนแก่ขึ้นมาสวม จะนั้นพินิจพิเคราะห์ฝ่ามือของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด

“ผู้อาวุโส เป็นอย่างไรบ้าง? ลายมือของปรมาจารย์พวกเขาเป็นอย่างไรกันเล่า?” ลู่ยั่วซีที่มีอายุอ่อนเยาว์ที่สุดยังคงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอยู่บ้าง ถึงกับเอามือไว้ที่คาง กะพริบตาทีหนึ่ง และมองดูผู้เฒ่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายถึงกับทำอะไรไม่ถูก เมื่อมองเห็นลักษณะท่าทางเช่นนี้ของลู่ยั่วซี นังหนูผู้นี้เรียกได้ว่าอ่อนต่อโลกจริงๆ ไร้เดียงสา บริสุทธิ์มากเกินไปเสียแล้ว จนถึงบัดนี้ยังไม่พบว่าผู้เฒ่าผู้นี้มีปัญหา

“เยี่ยม เยี่ยม ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน” หลังจากที่ผู้เฒ่าได้พินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่แล้ว ถอดแว่นคนแก่ออก และกล่าวชื่นชมเป็นการใหญ่

“ยอดเยี่ยมอย่างไรรึ?” ลู่ยั่วซีเสมือนดั่งเป็นเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น ถึงกับกล่าวด้วยความประหลาดใจ

ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความหมายที่ลึกซึ้ง และกล่าวว่า “ลายมือนี่ล่ะนะ นับว่าเยี่ยมยอดมากที่สุด เหมาะสมกับนังหนูบ้านข้าอย่างที่สุด ลายมือเช่นนี้ เป็นลักษณะของการเป็นสามีภรรยากับนังหนูของพวกเรา เป็นคู่สร้างคู่สมเลยนะเนี่ย พลันที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาก็คือสามีภรรยา”

“โอ้อวดเกินจริงมากไปหรือเปล่า?” ลู่ยั่วซีรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของผู้เฒ่า

“เป็นเช่นนี้จริงๆ” ท่าทางของผู้เฒ่ายิ้มหน้าบาน และกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “พ่อหนุ่มเอ๊ย เห็นทีท่านกับนังหนูของพวกเราเหมาะสมกันยิ่งนัก เป็นดวงของคู่สามีภรรยา เอาอย่างนี้ ท่านกับข้าสองตระกูลดองกันดีหรือไม่? สำหรับเก่ากะลารู้สึกว่า ท่านก็จะต้องชอบนังหนูของพวกเรา และนังหนูของพวกเราก็ต้องชอบท่านอย่างแน่นอน”

“ผู้อาวุโส เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว ปรมาจารย์ของพวกเราคือผู้เยี่ยมยุทธ…” ลู่ยั่วซีก็มีใบหน้าที่ยิ้มหน้าบานเช่นกัน ส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น

แต่ว่า นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเฉินเหวยเจิ้งดึงตัวไปอีกด้านหนึ่งแล้ว

………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *